สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 209 ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องลูกอีกต่อไป
บทที่ 209 ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องลูกอีกต่อไป
“เซวียนเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น?” ฮองเฮามองลูกชายข้างนางที่จู่ ๆ ก็อารมณ์เสียขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ “ตอนนี้ยังไม่ดีขึ้นหรือ เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เสียงนั้นลอยเข้าหูของเขา และสุดท้ายความอดทนของเขาก็ขาดสะบั้นลง ตามมาด้วยเสียง ‘โครม’ หมี่เซวียนรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างในหัวใจของเขาแตกสลายลง
“ข้าไม่ว่างแม้แต่จะกินอะไรทั้งนั้น!”
หมี่เซวียนหันกลับมา และกระโจนใส่ฮองเฮาที่อยู่ข้างเขา จากนั้นตรึงนางไว้ใต้ตัวเขา บีบคอนางจนเส้นเลือดที่คอของนางปูดโปนพลางร้องคำราม “เหตุใดท่านต้องสนใจว่าข้าจะกินสิ่งใด! เหตุใดท่านต้องบังคับให้ข้ากินขิงที่ข้าไม่ชอบ! ข้าหยิบมันออกมาไว้ข้าง ๆ อย่างชัดเจน แล้วจะคีบให้ข้าอีกทำไม!”
“องค์รัชทายาท!”
“ฮองเฮา!”
“ฝ่าบาท!”
นางกำนัลในตำหนักสังเกตเห็นความโกลาหลที่จู่ ๆ ก็เกิดขึ้น พวกนางต้องการไปดึงหมี่เซวียนออกมา หากแต่ไม่กล้าลงมือ
“อึก… อึก…” ใบหน้าของฮองเฮาแดงก่ำ และมือของนางก็จับเขาอย่างแผ่วเบา
“เร็วเข้า รีบดึงองค์รัชทายาทออกมา!” หัวหน้านางกำนัลเฒ่าสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งผิดปกติ จึงรีบก้าวเข้าไปเอาแขนโอบเอวของหมี่เซวียนและพยายามดึงเขาออก
“ไปให้พ้น!” หมี่เซวียนยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วเหวี่ยงหญิงชราไปข้างหลังเขาอย่างง่ายดาย และบีบคอของฮองเฮาต่อไป
“เหตุใดท่านถึงไม่ชอบหรือยอมรับในสิ่งที่ข้าชอบ แต่ท่านกลับบังคับให้ข้ายอมรับในสิ่งที่ข้าไม่ชอบ!”
“ข้าไม่ชอบต๋งเหม่ยจิงแต่ท่านก็บังคับข้า! ข้าชอบเสวี่ยเหลียนแต่ท่านก็ส่งนางไป นางตั้งท้องลูกของข้า ท่านฆ่าลูกของข้า!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ข้าก็ไม่ต้องแต่งงานกับต๋งเหม่ยจิง ข้าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทรยศของต๋งชวน และเสด็จพ่อก็จะไม่มีวันทอดทิ้งข้า! ทั้งหมดคือความผิดของท่าน! ท่านฆ่าลูกของข้า! ท่านทำร้ายข้า!”
การอยู่ในโอวาทมานาน และความกตัญญูกตเวทีพังทลายลงในตอนนี้ ดวงตาของหมี่เซวียนแดงก่ำ มือของเขายังคงออกแรงบีบ จนกระทั่งพระหัตถ์ของฮองเฮาที่อยู่ใต้ตัวเขาห้อยลง แต่เขาก็ยังคงบีบคอของนางอย่างไม่ยอมปล่อย
กร๊อบ
เสียงกระดูกหักดังขึ้น
สามารถได้ยินเสียงที่คมชัดนั้นในห้องโถงที่เงียบสงบได้อย่างชัดเจน
นางกำนัล ขันทีและสาวใช้ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่หมี่เซวียนและฮองเฮาที่ตาเหลือกอยู่ใต้ตัวเขา ทุกคนตกตะลึงในที่เดียวกันราวกับว่าถูกใครบางคนสกัดจุดไว้ ไม่มีใครพูดหรือกล้าเข้าใกล้หมี่เซวียน
การเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจทำให้ปัสสาวะไหลออกมาจากใต้ตัวฮองเฮา น้ำสีเหลืองค่อย ๆ มาหยุดอยู่ที่เท้าของนางกำนัลที่อยู่ใกล้ที่สุด
ความเปียกชื้นที่เย็นยะเยือกแผ่ซ่านเข้าสู่ฝ่าเท้าของนาง ทำให้นางกำนัลตัวน้อยฟื้นคืนจากอาการช็อกในตอนแรก
“อ่า—องค์รัชทายาท! ฆ่า! ฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว!”
นางกำนัลตัวน้อยหวาดกลัวสุดขีดจึงตะโกนอย่างสติแตก
หมี่เซวียนลุกขึ้นจากฮองเฮา แล้วมองนางกำนัลตัวน้อยที่กำลังกรีดร้องอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะแสยะยิ้มมืดมน
“ใครฆ่าหรือ? ใครตาย?”
หมี่เซวียนดึงตัวนางกำนัลตัวน้อยที่กำลังจะหนีกลับมาอย่างง่ายดาย เขาใช้มือข้างหนึ่งบีบคอของนางยันไว้กับผนัง
“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าใครตาย?” ใบหน้าของหมี่เซวียนมืดมนและทั้งร่างของเขาก็แผ่รังสีอำมหิตออกมา “นางเป็นฮองเฮา นางจึงต้องคอยดูแลข้าไปตลอดชีวิต นางจะตายได้อย่างไร”
หลังพูดประโยคนี้จบ หมี่เซวียนก็ออกแรงมือเพิ่มเล็กน้อย และศีรษะของนางกำนัลตัวน้อยที่หวาดกลัวก็เอียงลงเล็กน้อยและตาเหลือกทันที ก่อนจะล้มลงจากกำแพงโดยปราศจากลมหายใจ
“ฝ่า ฝ่าบาท…” หญิงชราที่เฝ้ามองหมี่เซวียนเติบโตขึ้นมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ตอนนี้นางตกใจมาก เขามักจะให้เกียรติ สุภาพและกตัญญูต่อหน้านางเสมอ นางคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าชายหนุ่มผู้นี้จะบีบคอแม่ของตัวเอง และฆ่านางกำนัลต่อหน้านาง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” หมี่เซวียนดูร่าเริงขึ้นทันที เขาหันหลังวิ่งไปหาร่างฮองเฮาที่นอนนิ่ง ผลักนางและพูดอย่างตื่นเต้น “เสด็จแม่ ท่านรอลูกก่อนนะ ตั้งแต่คืนนี้จะไม่มีผู้ใดที่เป็นภัยคุกคามต่อตำแหน่งองค์รัชทายาทของลูกอีกต่อไปแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องเลือกผู้หญิงน่าเบื่อเหล่านั้นให้กับลูก และท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับลูกอีกต่อไป”
หลังจากที่หมี่เซวียนวิ่งออกจากตำหนักเฟิ่งเสียงอย่างตื่นเต้น คนที่อยู่ในห้องโถงหลักก็ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์
ตำหนักเฟิ่งเสียงที่เงียบไปสองสามวัน จู่ ๆ ก็เกิดความโกลาหลขึ้น ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ และเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ดังก้องอยู่เหนือตำหนักตลอดเวลา
ตำหนักของอ๋องหลี่ชิน
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ซือต๋าได้มาอาศัยอยู่ในตำหนักด้วย เหตุผลก็ไม่มีอะไรนอกจากวันครบกำหนดคลอดของเสี่ยวเข่อผ่านไปสองวันแล้ว แต่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด หมี่โม่หรู่จึงกังวลและยืนกรานที่จะให้ซือต๋ามาอยู่ด้วย
ฉินปู้เข่อที่นอนอยู่บนเตียงก็กังวลมากเช่นกัน
ในยุคปัจจุบันอย่างน้อยก็มีการฉีดยากระตุ้นให้คลอด แต่ที่นี่ทำได้แค่รอเท่านั้น
“เฮ้อ…” นางถอนหายใจเบา ๆ แล้วพลิกตัวไปมา
การเคลื่อนไหวเล็กน้อยเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มข้างนางตื่นขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเริ่มปวดท้องแล้วหรือ?”
ฉินปู้เข่อเอ่ยปลอบเขาอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ต้องกังวล หม่อมฉันแค่นอนเยอะในตอนกลางวัน ตอนนี้จึงนอนไม่หลับ”
“งั้นก็ลุกขึ้นนั่งก่อนดีหรือไม่” หมี่โม่หรู่ลุกขึ้นจุดเทียนเงิน แล้วช่วยนางลุกขึ้นนั่ง และเอนตัวพิงหัวเตียง
ฉินปู้เข่อลังเล “ท่านช่วยหน่อยได้หรือไม่”
“แน่นอน” หมี่โม่หรู่หัวเราะขณะที่ช่วยสวมรองเท้าให้นาง และพูดติดตลกว่า “เท้าของเจ้าบวมมากจนดูน่ารักจริง ๆ”
“เจ้าเล่ห์” ฉินปู้เข่อกลอกตาและยืนจับท้องของตน “บอกตามตรงหม่อมฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะคลอดเลย หม่อมฉันคิดว่าตัวเองอาจจะตั้งท้องนาจาอยู่ก็ได้”
“นาจาหรือ?”
ฉินปู้เข่ออธิบายด้วยใบหน้าขมขื่น “นาจาเป็นเด็กอัจฉริยะตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แม่ของเขาตั้งท้องเขามาสามปีก่อนจะให้กำเนิดเขา”
หมี่โม่หรู่ “…ไม่ดีเลย หากเจ้าตั้งครรภ์สามปีข้าก็คงทนไม่ไหว”
ตอนกลางคืนเงียบสงัด และข้างนอกห้องก็เงียบสงัด
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ฉินปู้เข่อแทบไม่เคยลุกจากเตียงเลยในระหว่างวันเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ และซือต๋าก็เกือบจะเป็นบ้า เพราะถูกหมี่โม่หรู่เรียกตัวมาตรวจชีพจรของนางทุกครึ่งชั่วยาม
“ท่านช่วยพาข้าไปเดินเล่นข้างนอกได้หรือไม่” ฉินปู้เข่อดึงแขนเสื้อของหมี่โม่หรู่แล้วออดอ้อนอย่างน่าสงสาร “ในเวลากลางวัน ท่านกลัวว่าจะมีคนมากเกินไปในตำหนักจึงอาจถูกชนได้ แต่ตอนนี้ทุกคนพักผ่อนกันหมดแล้ว ไปเดินเล่นกันเถอะเพคะ”
เมื่อพิจารณาร่างที่เทอะทะของนางในตอนนี้ หมี่โม่หรู่ก็คิดอยากจะปฏิเสธนาง แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวดูไม่ร่าเริง เขาจึงใจอ่อน “ข้าจะเอาเสื้อคลุมมาให้”
“ฮ่า ๆ” ฉินปู้เข่อหัวเราะอย่างประสบความสำเร็จ และจับแขนของหมี่โม่หรู่เพื่อพยุงกายให้ลุกขึ้น “ขอบพระทัยสวามีเพคะ”
จากนั้นนางก็หอมแก้มหมี่โม่หรู่เบา ๆ
หมี่โม่หรู่รู้สึกว่าการยอมพาไปนั้นไม่เลว อย่างน้อยก็มีรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ
“เจ้าว่าเป็นเพราะเด็กคนนี้รอให้ข้ากลับมาก่อนหรือเปล่า เขาจึงยังไม่ยอมออกมา”
ในตอนกลางคืนตำหนักเงียบสงัด ซวงหวนถือโคมไฟเดินนำหน้า ส่วนฉินปู้เข่อก็จับแขนหมี่โม่หรู่เพราะไม่ค่อยเห็นทางและเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย
เดิมทีมันเป็นเพียงเรื่องตลก แต่หมี่โม่หรู่ยกนิ้วขึ้นมานับอย่างจริงจัง “ข้ากลับมาเร็วกว่ากำหนดห้าวัน ข้าเดาว่าเจ้าตัวเล็กน่าจะรู้ดี ช่างเป็นเด็กที่รู้จักรักพ่อของเขาจริง ๆ”
“พอเถอะเพคะ~” ฉินปู้เข่อบุ้ยปากให้กับความหลงตัวเองของใครบางคน
นางไม่คิดว่าหมี่โม่หรู่จะกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ แต่ไม่เป็นอะไร หากนางต้องเผชิญหน้ากับการคลอดลูกคนเดียว นางก็คงกังวลอยู่ อย่างน้อยนางก็สบายใจเมื่อมีเขาอยู่เคียงข้าง
“แต่ที่เจ้าบอกให้เหยาอี๋ฮวนแลกเปลี่ยนชื่อเสียงทางทหาร กับการเป็นแม่ทูนหัวของเด็กไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่”
ฉินปู้เข่อส่ายหน้าอย่างงุนงง “ไม่ใช่ หม่อมฉันแค่บอกว่าหากนางทำชื่อเสียงทางทหารได้ก็จะชวนนางไปทานอาหารเย็น ใครจะขอให้อดีตนางสนมของสามีมาเป็นแม่ทูนหัวกัน”
“ก็ดีแล้ว” หมี่โม่หรู่คิดในใจว่าในเมื่อคนอื่นไม่ทำเช่นนั้น พระชายาตัวน้อยของเขาก็คงจะไม่ทำจริง ๆ
“กลับกันเถอะ หม่อมฉันเดินเหนื่อยแล้ว” อันที่จริงยังใช้เวลาเดินไม่นาน แต่ท้องของนางใหญ่เกินกว่าจะเดินได้จริง ๆ
หมี่โม่หรู่จับเอวนาง “ตกลง หากเจ้าเดินไม่ได้ ข้าก็จะอุ้มเจ้ากลับเอง”
“เอ๊ะ เอ๊ะ ถ้าท่านไม่ยอมปล่อย…”
“หมี่โม่หรู่!” ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ก็มีสายตาอันเยือกเย็นจ้องมาหาเขา แล้วหมี่เซวียนก็กระโดดลงมาจากกำแพงตำหนักในความมืด
พวกเขามีซวงหวนและอู๋เหินอยู่ด้วย แต่หมี่โม่หรู่ก็กอดฉินปู้เข่อโดยไม่รู้ตัวและถอยหลังสองก้าว
“หมี่ หมี่เซวียนหรือ?” ฉินปู้เข่อตกใจหมี่เซวียนที่ก้าวเข้ามาขวางหน้าพวกเขาด้วยดาบ
การตั้งครรภ์ทำให้นางเปลี่ยนเป็นสุขุมและสุภาพขึ้นอย่างนั้นหรือ?!
ในอดีตนางเคยพบมือสังหารที่ปกปิดใบหน้าและสวมใส่ชุดดำ แต่ตอนนี้เขาสวมเสื้อผ้าขององค์รัชทายาทจริง ๆ และเขาไม่แม้แต่จะปิดบังใบหน้าของตนหรืออำพรางเสียงของตนเลยอย่างนั้นหรือ?!
หากไม่ใช่เพราะหมี่เซวียนมั่นใจในวิทยายุทธ์ของตนมากเกินไป ก็คงเป็นเพราะเขายากจนเกินกว่าจะจ้างมือสังหาร
“อย่าทำร้ายใคร ข้าจะส่งพระชายากลับไปก่อน” หมี่โม่หรู่ก็แปลกใจกับเรื่องนี้เช่นกัน ตอนนี้เขาแค่คิดว่าหมี่เซวียนเมาแล้วมาสร้างปัญหาด้วยดาบ
เขายังคงเป็นองค์รัชทายาท หากเขาได้รับบาดเจ็บในตำหนักของอ๋องหลี่ชิน เขาก็จะรับมือได้ไม่ง่ายในวันพรุ่งนี้
“เจ้าจะไปไหน?” หมี่เซวียนยกดาบขึ้นมาขวางไว้ เขาถือดาบและมองหมี่โม่หรู่ตรงหน้าเขาแล้วหัวเราะ “น้องสะใภ้ของข้ายังไม่คลอด เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เกรงว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่เพื่อดูหน้าลูกเสียแล้ว”
หมี่โม่หรู่กอดฉินปู้เข่อแน่นและพูดอย่างเย็นชาว่า “องค์รัชทายาท ไม่ทราบว่ามาเยือนที่นี่ในยามวิกาลเพราะเหตุใด หากไม่มีอะไรสำคัญก็เชิญพรุ่งนี้เถิด อีกอย่างคือที่แห่งนี้เป็นที่ประทับของอ๋องหลี่ชิน ไม่ใช่ที่ที่จะมาเมาสุราและพูดจาโอ้อวดได้”
ขณะที่เขาพูด เหล่าองครักษ์ในตำหนักก็ปรากฏตัวจากหลังต้นไม้ และสร้างกำแพงมนุษย์เพื่อแยกหมี่เซวียนและหมี่โม่หรู่ออกจากกัน
“ส่งองค์รัชทายาทออกไป!” หมี่โม่หรู่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันกลับไปกอดฉินปู้เข่อเพื่อจะพาเดินไปสวนชิงอวี้
ฟึ่บ
ลูกธนูเพลิงถูกยิงข้างหน้าเขา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หมี่เซวียนมองดูลูกไฟแล้วชี้ไปรอบ ๆ ก่อนจะหัวเราะจนตัวโยกไปมา “พวกเจ้าช่างน่าขันนัก ยังดีที่ออกมาเดินเล่นกลางดึก มิฉะนั้นพวกเจ้าก็คงต้องติดอยู่ในห้องและถูกไฟคลอกตาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เมื่อเขาหันไปมองทางสวนชิงอวี้ก็พบว่ามีไฟลุกโชนขึ้นจริง ๆ แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้อยู่ในห้อง นางกำนัลและองครักษ์ที่อยู่ภายในจึงไม่ตื่นตระหนกเกินไป และพวกเขาก็ดับไฟได้อย่างเรียบร้อยและพร้อมต่อสู้กลับ
นักธนูจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงอย่างรวดเร็ว แต่ละคนถือธนูเพลิงอยู่ในมือ และเป้าหมายของกลุ่มลูกธนูทั้งหมดก็มีเพียงไม่กี่คนในตำหนัก
ฉินปู้เข่อคว้าแขนเสื้อของหมี่โม่หรู่อย่างวิตกกังวล เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าหมี่เซวียนไม่ได้ดูเหมือนไร้สมอง หากแต่เป็นบ้าไปแล้ว
หมี่เซวียนเป็นบ้า
การพาผู้คนมาโจมตีตำหนักของอ๋องหลี่ชินด้วยการยกทัพใหญ่มาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเสียจากว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว
……………………………………………………………………………