สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 21 ทุกอย่างล้วนเป็นการแสดง
บทที่ 21 ทุกอย่างล้วนเป็นการแสดง
“เจ้าก็รู้งั้นหรือว่าข้ากำลังโมโห” ฮูหยินใหญ่ฟาดดอกเหมยหมื่นจุดลงมาอีกครั้ง และจงใจกดลึกลงบนแผ่นหลังของนาง “เพราะเจ้า เสวี่ยเหลียนจึงถูกส่งตัวกลับบ้านเกิด! เพราะเจ้า นางถึงต้องโดนผู้คนทั้งต้าเซี่ยหัวเราะเยาะ!”
“เหอะ ท่านพี่ไม่รู้จักรักนวลสงวน ทั้งยังไปให้ท่าองค์รัชทายาท เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้า ยาตกเลือดถ้วยนั้นก็เป็นของกำนัลจากองค์ฮองเฮา มิใช่ข้า”
แม้ว่าร่างกายจะถูกเฆี่ยนตี แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินเสวี่ยเหลียนเจอแล้วนางก็อยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ
ในยุคโบราณที่เป็นสังคมศักดินา ช่างโหดร้ายกับเพศสตรีเป็นพิเศษ
ต่อให้ฉินเสวี่ยเหลียนเป็นทายาทสายตรงจวนมหาเสนาบดี แต่หลังจากผ่านเรื่องท้องก่อนแต่งและแท้งจนถูกถอนหมั้นแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าแต่งงานกับหญิงสาวที่ชื่อเสียงไม่ดีเช่นนี้
นางจึงถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิด นั่นหมายความว่านางเป็นตัวหมากที่ฉินเฉิงหย่งทอดทิ้งแล้ว จากนั้นอาจจะต้องอยู่คนเดียวไปจนแก่ก็ได้
“เจ้ายังจะกล้าเถียงอีกรึ!” ฮูหยินใหญ่โดนฉินปู้เข่อยั่วโมโหจนบันดาลโทสะขึ้นมา มือที่ถือดอกเหมยหมื่นจุดง้างขึ้นอีกครั้ง
ปึ้งๆ ๆ
“ฮูหยินใหญ่ นายท่านและท่านอ๋องหลี่ชินเร่งมาจากโถงหน้าหลายรอบแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่และพระชายาได้โปรดรีบไปเถิดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่แค่นน้ำเสียงเย็นยะเยือก “วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน” สาวใช้ที่นางส่งไป หากไม่ถึงเวลาคับขันจริง ๆ ก็คงจะยื้อเวลาจากทางนั้นต่อไปไม่ได้แล้ว
เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก ฮูหยินใหญ่ก็ก้าวเดินออกไปด้วยความสะใจ ร่างกายของฉินปู้เข่ออ่อนตัวยวบลงไปกองกับพื้นในทันที
“ปู้เข่อ แม่ทำได้ไม่ดีพอเอง แม่ไม่สามารถข่มความโกรธของนางเอาไว้ได้ แม่น่าจะทำอะไรสักอย่างให้นางได้ลงมือกับแม่ก่อน” อนุหลัวโอบไหล่บุตรสาวเอาไว้อย่างปวดใจ และเอ่ยขอโทษไม่หยุด
ฉินปู้เข่อนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างเพื่อพักฟื้นร่างกาย หญิงสาวดึงร่างของมารดาให้ลุกขึ้น
สั่งให้ผู้อื่นคุกเข่าอยู่บนแผ่นกระเบื้องแตก ๆ ช่างเลวทรามเสียจริง ๆ มิน่าล่ะ เขาถึงบอกกันว่าพิษร้ายที่สุดก็คือจิตใจของสตรี ฮูหยินใหญ่เป็นคนโหดเหี้ยมที่หาได้ยาก
“ท่านแม่ ตอนนี้ข้าแต่งงานแล้ว หลังจากนี้ท่านต้องอยู่อย่างยากลำบากเพียงลำพังในจวนแห่งนี้”
อนุหลัวอายุไม่มาก ใบหน้าของนางยังคงดูอ่อนวัย สามารถมองออกได้ว่ายามเมื่อนางยังสาวจะต้องเป็นสตรีที่งดงามคนหนึ่ง แต่เนื่องจากถูกใช้แรงงานมานานหลายปี สองมือจึงเหี่ยวเหมือนเปลือกต้นไม้ ไรผมสองฝั่งก็เริ่มมีสีขาวแซมขึ้นมา ดูเหมือนป้าแก่ที่มีอายุ 50 กว่าปี
“ท่านแม่ นี่คือน้ำตาลดำปลูกผมเจ้าค่ะ ท่านแม่ดื่มแทนน้ำชาทุกวันนะ” ฉินปู้เข่อนำสินค้าใหม่ในระบบออกมายื่นให้อนุหลัว “นี่คือสิ่งที่ท่านอ๋องประทานให้ข้า ผลลัพธ์ดีมาก ดื่มสักสามครั้งก็จะสามารถเปลี่ยนผมขาวเป็นผมดำได้ ดูสิว่าท่านแม่ยังสาว แต่เพราะข้าจึงโดนทรมานจนผมขาวหมดแล้ว”
ซวงหวนตรงเข้ามาพันแผลตรงมือและเข่าสองข้างให้อนุหลัวอย่างใส่ใจ
“ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ ท่านอ๋องรักใคร่ข้ามาก รู้ว่าข้ายังไม่มีนางกำนัลจึงส่งซวงหวนมาปรนนิบัติรับใช้ข้าโดยเฉพาะ” ฉินปู้เข่อพยุงอนุหลัวเพื่อส่งนางกลับห้อง “วันนี้ท่านแม่คงลำบากมามาก วันหน้าข้าค่อยพาท่านอ๋องมาเยี่ยมท่านนะเจ้าค่ะ”
ซวงหวนที่ยืนอยู่นอกประตูรู้สึกแสบจมูก นางเข้าใจความรู้สึกแบบนี้อย่างลึกซึ้ง สมัยเด็กที่นางฝึกวรยุทธ ทุกครั้งนางมักจะโดนศิษย์พี่ในสำนักเดียวกันรังแก แต่ทุกครั้งที่ได้เจอพ่อแม่ก็จะบอกแค่เรื่องดีและข้ามเรื่องไม่ดีไป พยายามแสดงให้เห็นว่าตนมีชีวิตที่ดีมาก
ตั้งแต่ชายาเข้ามายังตำหนักก็โดนจับเข้าคุกใต้ดิน ทั้งยังเกือบได้ดื่มเหล้าพิษในวัง ท่านอ๋องไม่เพียงแต่ไม่ค่อยสนใจนาง ทั้งยังส่งตนเองไปจับตาดูนางอีก ชีวิตเช่นนี้น่ะหรือเรียกว่า ‘รักใคร่เอ็นดูมาก’
โถงหน้า เมื่อหมี่โม่หรู่เห็นฉินปู้เข่อออกมาแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองนาง และส่งยิ้มให้บาง ๆ ฉินปู้เข่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างกายเขาพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่เหนื่อยนิดหน่อยเพคะ หม่อมฉันจึงให้นางไปพักผ่อนก่อน ท่านอ๋องอย่าถือสานะเพคะ”
หมี่โม่หรู่คนนี้ก็แปลก ทุกครั้งที่ได้เจอเขา ชายหนุ่มมักจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ทำดีสุภาพกับนางทุกอย่าง แต่นั่นกลับทำให้นางรู้สึกมีระยะห่าง และรู้สึกว่าเขาเย็นชาและห่างเหิน
“ไม่เป็นไร พระชายาก็รีบกินข้าวเถิด เย็นแล้วจะไม่ดีต่อท้องไส้” พูดเสร็จหมี่โม่หรู่ก็คีบอาหารใส่ถ้วยตรงหน้าฉินปู้เข่อด้วยตนเอง
เอ่อ…
ตอนนี้ฉินปู้เข่อเข้าใจแล้วว่าท่านอ๋องผู้นี้ก็กำลังแสดงละครเช่นกัน ไม่เหมือนกับนางที่พยายามแสดงภาพลักษณ์ให้เป็นกุลสตรีสุภาพอ่อนโยน
หมี่โม่หรู่กำลังแสดงเป็นสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว
ดูท่าท่านอ๋องผู้นี้ก็เป็นนักแสดงชั้นเยี่ยมเช่นกัน
เริ่มจากแสดงว่าตนเองยังเป็นโรคไออยู่ ตอนนี้แสดงเป็นรักกันดีกับนาง
“ขอบพระทัยเพคะ ท่านอ๋อง” ฉินปู้เข่อแสดงต่อตามบท การให้ความร่วมมือของนางจะเพิ่มคะแนนในการจีบชายในฝัน
“เห็นท่านอ๋องรักและดูแลปู้เข่อของหม่อมฉันเช่นนี้ หม่อมฉันก็สบายใจเพคะ” ฮูหยินใหญ่เข้าร่วมกองทัพนักแสดงด้วย แสดงท่าทีสนิทสนมประหนึ่งแม่แท้ ๆ
หากไม่ใช่ว่ายังเจ็บหลังอยู่ ฉินปู้เข่อต้องคิดว่านางเป็นแม่แท้ ๆ ของตนเองเป็นแน่
“ใช่เลย กระหม่อมกังวลมาตลอดว่าการแต่งงานกะทันหันของปู้เข่อและท่านอ๋องจะไม่ค่อยเหมาะสมกันเท่าใดนัก แต่ดูจากตอนนี้เห็นทีกระหม่อมคงจะคิดมากไปพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเฉิงหย่งเอ่ยขึ้น
ฉินปู้เข่อกลอกตามองบนในใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นไปตามแผนที่ตาเฒ่ายายเฒ่าสองคนนี้วางเอาไว้หมดแล้ว ตอนเข้าบ้านมาก็ทำเป็นกระตือรือร้น หลังจากนั้นคนหนึ่งรับหน้าที่ถ่วงหมี่โม่หรู่ไว้ คนหนึ่งฉวยโอกาสนี้ลงโทษตามอำเภอใจอยู่ลานด้านหลัง
บัดนี้ยังจะแสดงท่าทีเป็นครอบครัวสุขสันต์ นางขยะแขยงจนอยากจะอ้วก
มื้ออาหารคืนเหย้านี้จบลงภายใต้บรรยากาศ ‘สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว’ ‘พ่อแม่เอ็นดูลูก’ ‘ครอบครัวสุขสันต์’
หลังจากขึ้นรถม้ามาแล้ว ฉินปู้เข่อก็ยังคงไม่ผ่อนคลาย หญิงสาวนั่งหลังตรง
“พระชายาสบายดีหรือไม่” ตั้งแต่เริ่มกินข้าวหมี่โม่หรู่ก็พบว่าสีหน้านางไม่สู้ดีเท่าไรนัก หากมองดี ๆ ก็เห็นว่าริมฝีปากล่างมีรอยกัดอย่างแรง
“สบายดีมากเพคะ” ฉินปู้เข่อตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ พลางขยับหลัง โดยไม่ให้เขารู้ตัว
แผลที่หลังมีเลือดซึมไหล ไม่ใช่แบบที่ไหลพราก แต่เป็นการซึมด้วยจำนวนน้อยมาก ๆ นอกจากนางจะเจ็บหลังแล้วยังรู้สึกคันเล็กน้อยอีกด้วย
“ข้าเห็นเจ้าไปอยู่ลานด้านหลังตั้งนาน คุยเรื่องส่วนตัวกับฮูหยินหลัวรึ”
“เพคะ” เหตุใดวันนี้ท่านอ๋องถึงอยากรู้อยากเห็นขนาดนี้ ตอนนี้ไม่มีคนนอกในรถม้าแล้วยังจะแสดงอีก