สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 217 เขาวงกต
บทที่ 217 เขาวงกต
ฉินปู้เข่อวางตะเกียงลงบนโต๊ะแล้วเอนกายลงพักบนเก้าอี้นวม
ร่างกายของนางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และเหนื่อยมากหลังจากเดินมาทั้งวัน แต่หากแต่หญิงสาวไม่ต้องการเสียเวลา ดังนั้นจึงลากขาที่เจ็บของนางเดินไปเปิดประตูต่อไป
หลังจากสำรวจห้องแล้ว ฉินปู้เข่อก็หมดแรงจนไม่สามารถแม้แต่จะยกตะเกียงได้
“หากฮูหยินหิว ข้าน้อยจะพาท่านกลับไปพักผ่อน และให้คนเตรียมอาหารเย็นมาให้เพคะ”
ฉินปู้เข่อถอนหายใจ “เหตุใดถึงมีห้องว่างมากมายในตำหนักแห่งนี้ เปิดไปยี่สิบห้องแล้ว และแต่ละห้องก็ค่อนข้างสะอาด”
“สิบแปด ฮูหยินสำรวจไปสิบแปดห้องเพคะ” อีฮ่วยเอ่ยเตือน
“สำรวจไปแล้วกี่ห้องก็ไม่สำคัญ แต่เนื่องจากทุกห้องสะอาดสะอ้านแล้วคืนนี้ข้าขอนอนที่นี่ได้หรือไม่ อย่างไรเสียพรุ่งนี้ข้าก็ต้องตื่นมาเปิดประตูอีกครั้ง มันจะลำบากหากต้องกลับไปที่เดิม” มือของฉินปู้เข่อตกลงไปข้างเก้าอี้นวมอย่างนุ่มนวล ขณะพึมพำกับตัวเอง
“ข้าน้อยจะไม่ขัดการตัดสินใจของฮูหยิน และท่านสามารถพักผ่อนได้ทุกที่ที่ท่านต้องการ”
อะไรนะ!! ฉินปู้เข่อหงุดหงิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น วันนี้ไม่ว่านางจะถามหรือทำอะไรก็ตาม อีฮ่วยก็จะตอบอยู่แค่ไม่กี่ประโยคซ้ำไปมาคือ นางสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้
“เช่นนั้นเจ้าก็ให้คนยกอาหารเย็นมาที่นี่ คืนนี้ข้าจะกินและนอนที่นี่”
อีฮ่วยรับคำอย่างร่าเริง “ฮูหยินโปรดรอสักครู่เพคะ”
หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังจากไป ราวกับว่านางไม่ได้กังวลเลยว่าฉินปู้เข่อจะใช้โอกาสนี้หลบหนี
แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าตอนนี้นางจะไม่จากไปไหนแน่นอน ต้องมีเหตุผลที่ทำให้หมี่อี้เหิงมั่นใจในการรักษาความปลอดภัยของตำหนักแห่งนี้มาก และรู้สึกว่าน่าจะไม่มีใครสามารถหาที่นี่เจอ หรือหาเจอแต่ไม่อาจเข้ามาได้
พรึ่บ
เมื่อน้ำมันในตะเกียงหมดไฟก็ดับ
ฉินปู้เข่อขี้เกียจเกินกว่าจะลุกไปจุดตะเกียง เพราะเมื่ออีฮ่วยพาคนมา ตะเกียงก็จะสว่างขึ้นเอง
ขณะที่นางจ้องมองตะเกียงก็ดูเหมือนนางจะได้ยินเสียงเปิดประตูเบา ๆ
เอี๊ยด
ไม่น่าจะเป็นอีฮ่วย หากนางพาคนมาจัดจาน การเคลื่อนไหวก็คงจะไม่เบานัก
ด้วยความมั่นใจเกี่ยวกับตำหนักนี้ ฉินปู้เข่อจึงไม่กลัวและยังคงนอนอยู่บนเก้าอี้นวม พลางมองไปทางประตูด้วยสายตาแข็งกร้าว เงาดำกำลังเดินเข้ามาจากด้านนอก
หลังจากที่คนผู้นั้นปิดประตูแล้ว นางก็ถามอย่างชัดเจนว่า “เจ้าเป็นใคร”
ร่างสูงตัวแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า ฉินปู้เข่อสงบสติอารมณ์และเอ่ยเตือนว่า “หากเป็นขโมย ข้าแนะนำให้เจ้ารีบออกไปเร็ว ๆ เถอะ เดี๋ยวคนอื่นก็จะมาที่นี่แล้ว เอ่อ ข้าก็ไม่รู้จักที่นี่เหมือนกัน หรือว่าเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่อยู่แล้ว…”
ขณะที่นางกำลังพูดอยู่ ร่างนั้นก็พุ่งจากประตูมาด้านข้างของฉินปู้เข่อในชั่วพริบตา แล้วดึงนางขึ้นจากเก้าอี้นวมด้วยมือใหญ่ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งปิดปากของนางที่กำลังจะร้องออกมา แล้วพูดด้วยเสียงแหบ “สาวน้อย”
ฉินปู้เข่อตัวสั่นสะท้าน นางลดปิ่นปักผมที่จ่อคอของชายคนนั้นลง และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เสด็จอาหรือ?”
“ใช่แล้ว”
เสียงที่คุ้นเคยทำให้ฉินปู้เข่อน้ำตาไหลออกมา นางรู้ว่ามีคนสามารถหาสถานที่แห่งนี้เจอ
น้ำตาเปียกอกเสื้อสีดำของหมี่เฉินอี้ เขาเม้มริมฝีปากและใช้พลังทั้งหมดเพื่อระงับความตื่นเต้นในใจของเขา และลูบผมของฉินปู้เข่อเบา ๆ “ไม่ต้องกลัว เสด็จอาจะพาเจ้ากลับเอง”
ฉินปู้เข่อกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หมี่เฉินอี้มองไปที่ประตูแล้วปล่อยมือจากนาง และรีบหลบไปที่ห้องชั้นในอย่างรวดเร็ว
เสียงคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินอยู่นอกประตูอย่างเป็นระเบียบดังขึ้น ฉินปู้เข่อเอนกายลงบนเก้าอี้นวมและมองประตูที่ถูกผลักเปิดออก
“ฮูหยิน?”
เนื่องจากการร้องไห้เมื่อสักครู่นี้ เสียงของฉินปู้เข่อจึงสั่นเล็กน้อย “ข้ายังอยู่ตรงนี้ ตะเกียงดับแต่ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะลุกไปจุดตะเกียง”
แชะ
ไฟติดแล้วเพราะอีฮ่วยจุดเทียนเงินบนโต๊ะ และเมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าใบหน้าของฉินปู้เข่อเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
นางเม้มปากแล้วฝืนยิ้มก่อนจะบอกว่า “ข้าหิวมากและคิดถึงลูกนิดหน่อย”
อีฮ่วยเม้มปากแล้วเขยิบไปด้านข้าง และสาวใช้ที่ถือถาดอยู่ตรงประตูก็สลับกันเข้ามาวางจานอาหารแล้วจากไป
ฉินปู้เข่อลุกขึ้นนั่งและเดินไปที่โต๊ะ “พี่หญิงฮ่วย เจ้าเดินกับข้ามาทั้งวันแล้ว นั่งลงกินด้วยกันเถอะ”
“ข้าน้อยจะไปเตรียมน้ำร้อนให้ฮูหยิน เชิญท่านรับประทานเลยเพคะ”
ฉินปู้เข่อหยิบตะเกียบมาพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกลั้นน้ำตาไว้ “อย่าบอกเรื่องนี้แก่เจ้านายของเจ้านะ มันค่อนข้างน่าอับอาย”
ทั้งสองต่างรู้ว่านางกำลังพูดถึงการร้องไห้
“เพคะ” อีฮ่วยรับคำและถอยออกไป
ลมพัดมาจากประตูเบา ๆ ทำให้เทียนเงินริบหรี่
“ปิดประตูด้วย” ฉินปู้เข่อก้มหน้าลงและเสียงของนางก็แข็งขึ้นเล็กน้อย
อีฮ่วยมองศีรษะที่สั่นเทาของนางแล้วปิดประตูอย่างแน่นหนา
ตะเกียบในมือของนางสั่น ฉินปู้เข่อยืนขึ้นและเดินซวนเซไปที่ห้องชั้นใน เมื่อนางก้าวผ่านฉากกั้นห้องเข้าไปแล้ว นางก็พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของหมี่เฉินอี้ที่กำลังจะออกมา
น้ำตาที่นางฝืนทนกลั้นไว้ได้ไหลออกมาอีกครั้ง หมี่เฉินอี้ไม่ได้เอ่ยคำใดและลูบหลังนางเบา ๆ เพราะกลัวว่านางจะสำลัก
เมื่อนางสงบลงเล็กน้อย เขาก็กระซิบว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อืม” ฉินปู้เข่อก้าวถอยหลังจากอ้อมแขนของเขา “หม่อมฉันสบายดี แต่ไม่รู้ว่าลูกอยู่ที่ใด”
“ไม่ต้องห่วง เขาจะไม่ทำร้ายเด็ก”
ฉินปู้เข่อปาดน้ำตาด้วยแขนเสื้อแล้วพูดว่า “ที่นี่ที่ไหน หม่อมฉันเพิ่งฟื้นเมื่อวานและเจอแค่สามคนเท่านั้น นางกำนัลบอกหม่อมฉันว่าที่นี่อยู่ในเมืองหลวง แต่หม่อมฉันไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใด และไม่รู้ว่าประตูอยู่ตรงไหนจึงหาทางออกไม่ได้”
“ตำหนักขององค์ชายสองหมี่เหิง” หมี่เฉินอี้อธิบายเสียงเบา และในขณะเดียวกันเขาก็ฟังการเคลื่อนไหวภายนอก “ลานนี้ไม่ใหญ่โตนักแต่มีการออกแบบที่ซับซ้อน คนทั่วไปจึงไม่สามารถออกไปได้หลังจากเข้ามาแล้ว”
ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้น “เขาวงกตหรือ? แล้วท่านเข้ามาแล้วจะออกอย่างไร?”
สีหน้าของหมี่เฉินอี้ชะงักไป ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ร้อนขึ้นทันทีและอดยกมือขึ้นลูบหน้าไม่ได้ “ข้าไม่ได้มาเพื่อตามหาเจ้าโดยเฉพาะ”
อันที่จริงมีองครักษ์ไม่กี่คนที่ลานตำหนัก ด้วยทักษะของเขาจึงไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อเขาเข้ามา แต่อย่างที่ฉินปู้เข่อพูดนั่นแหละ เขาหลงทาง
มันเป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่เพราะต้องการหาใครสักคนเช่นกัน แต่ตำหนักเงียบสงัดราวกับว่าไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ หลังจากหันรีหันขวางอยู่หลายครั้ง หมี่เฉินอี้ก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ฉินปู้เข่ออดไม่ได้ที่จะหมั่นไส้ “โอ้ ความสามารถในการหาคนของเสด็จอาช่างล้ำเลิศนัก เพียงแค่เปิดประตูก็พบที่ที่หม่อมฉันอาศัยอยู่แล้ว”
“จุ๊!” หมี่เฉินอี้ยกมือขึ้นเขกหน้าผากนาง “เรื่องบางเรื่องรู้อยู่ในใจแต่ไม่ควรพูด ข้าไม่ได้เขกหัวเจ้ามานานแล้ว เขกอีกสักทีดีหรือไม่?!!”
ฉินปู้เข่อตกใจและยกยิ้มด้วยความเจ็บปวด นางอยากจะร้องออกมาดัง ๆ แต่ก็กลัวว่าจะดึงดูดความสนใจคนอื่น ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงกัดฟันและจ้องหมี่เฉินอี้ “เช่นนั้นก็รีบคิดหาวิธีพาหม่อมฉันออกไปได้แล้ว!”
ไม่น่าแปลกใจที่หมี่อี้เหิงสบายใจที่จะให้นางเดินไปมาในตำหนัก เพราะเขามั่นใจว่านางออกจากเขาวงกตนี้ไม่ได้ วันนี้ทั้งวันเขาจึงไม่สนใจเลยเมื่อนางผลักเปิดห้องแต่ละห้อง
“ไปหาอะไรกินก่อนเถอะ มีคนกำลังมา” ขณะที่หมี่เฉินอี้พูดเช่นนั้น เขาก็กลิ้งตัวผ่านเตียงไปซ่อนตัวอยู่หลังกองผ้าห่ม
…………………………………………………………………………….