สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 221 การเปิดเผยซึ่งกันและกัน
บทที่ 221 การเปิดเผยซึ่งกันและกัน
ฉินปู้เข่อเม้มปาก และพูดอย่างระมัดระวังหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ท่านพ่อสามี ท่านเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของโม่หรู่จริงหรือ?”
หมี่อี้เหิงขมวดคิ้ว “ใช่”
“เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง ดังนั้นท่านพ่อสามีจะไม่ทำร้ายโม่หรู่และหลานใช่หรือไม่” น้ำเสียงของฉินปู้เข่อระมัดระวังขึ้นเล็กน้อย ซึ่งบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจ
“อย่างน้อยก็ในตอนนี้ หากโม่หรู่ไม่เริ่มดำเนินการกับข้าก่อน ข้าก็จะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขา”
เมื่อถามถึงจุดนี้ ฉินปู้เข่อก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยและทำหน้ามุ่ย “ท่านช่วยดึงหน้าของท่านหน่อยเพคะ”
“หือ?” สมองของสาวน้อยคนนี้ทั้งแจ่มใสและแปลกประหลาดจนเขาไม่ทันตั้งตัว
“หม่อมฉันต้องทำให้มั่นใจก่อนว่าใบหน้าของท่านเป็นของจริง หากมีคนมานำหน้าท่านมาติดและแกล้งปลอมตัวเป็นพ่อสามีของหม่อมฉันล่ะ” ฉินปู้เข่อยืดตัวขึ้นและเสียงของนางก็ดังขึ้นเล็กน้อย
หมี่อี้เหิง “…”
เขารู้แล้วว่าเหตุใดหมี่เฉินอี้ถึงเขกหน้าผากนางทุกครั้งที่เจอสาวน้อยคนนี้
ช่างเหลือเกินจริง ๆ
“ในเมื่อเจ้าสงสัยใบหน้าข้า แล้วเหตุใดเจ้าไม่สงสัยข้าไปเลยล่ะ ทุกคนในโลกต่างบอกว่าหมี่อี้เหิงตายไปแล้ว เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนตรงหน้าเจ้าเป็นบิดาของอ๋องหลี่ชินสามีเจ้า และเป็นพ่อสามีของเจ้า?” หมี่อี้เหิงหายใจเข้าลึก ๆ แล้วปฏิบัติตามคำพูดของนางอย่างประชดประชัน
ฉินปู้เข่อตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ท่านลุงพูดถูก ดูเหมือนว่าหม่อมฉันต้องขอตัวก่อน…”
“ท่านลุงหรือ? หือ?” หมี่อี้เหิงยื่นมือออกไปบิดหูของหญิงสาวตรงหน้าเขา เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าท้าทายเขาเช่นนี้ สาวน้อยคนนี้ช่างเหมือนหมี่เฉินอี้
ไม่สิ นางน่ารำคาญกว่าเจ้าเด็กหมี่เฉินอี้เสียอีก อย่างมากที่สุดหมี่เฉินอี้ก็โต้เถียงเขาต่อหน้าหรือไม่ก็ใส่ร้ายเขาลับหลัง แต่แม่สาวน้อยคนนี้กวนประสาทยิ่งนัก
“เอ๊ะ โอ๊ย โอ๊ย พ่อสามี ท่านเป็นพ่อสามีของหม่อมฉัน และเป็นพ่อแท้ ๆ ของโม่หรู่จริง ๆ!” ฉินปู้เข่อยืนขึ้นด้วยแรงดึงหูและยังคงคร่ำครวญ
คนผู้นี้ใช้ความอาวุโสรังแกคนอื่นเหมือนหมี่เฉินอี้ได้อย่างไร ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก
“จะบอกหรือไม่!” มือของหมี่อี้เหิงบิดแรงขึ้น
หูเล็กขาวในตอนแรกถูกเขาบิดจนเบี้ยวและกลายเป็นสีแดง
“บอก บอก บอก” ฉินปู้เข่อกรีดร้องและอยากตบเขา แต่ก็กลัวว่าหูจะขาด
หมี่อี้เหิงปล่อยมือและสูดลมหายใจอย่างเย็นชา “หากเจ้าต้องการจะพูดก็พูดให้ชัดเจน”
ฉินปู้เข่อขยี้หูและกระทืบเท้าพลางน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด
นางเหลือบมองประตูและข้างนอก “ท่านให้คนออกไปก่อน ไม่ว่าท่านจะไว้วางใจมากเพียงใด”
หมี่อี้เหิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อีฮ่วยปิดประตูและฝีเท้าของคนเหล่านั้นก็ถอยออกไปทีละคน
สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงบ
ฉินปู้เข่อมองดูคนรอบตัวและยืนยันเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง “ท่านบอกว่าหากหม่อมฉันบอกท่านแล้ว หม่อมฉันจะพาลูกออกไปได้ใช่หรือไม่”
“เจอลูก” หมี่อี้เหิงแก้ไข “เจ้าเพิ่งบอกว่าเจ้าจะขออนุญาตเจอลูก ไม่ใช่พาลูกออกไป”
ฉินปู้เข่อ “จิ้งจอกเฒ่า!” นางพูดอย่างไม่ลังเลด้วยความหงุดหงิด
“จิ้งจอกน้อย” ฮึ่ม ต้องระวังสาวน้อยคนนี้เสียแล้ว
“อะแฮ่ม” ฉินปู้เข่อยกแขนขึ้นกระแอมให้คอโล่งแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “หม่อมฉันจะถามถึงสิ่งที่พ่อสามีทราบและต้องการจะทราบก่อน เพื่อที่หม่อมฉันจะได้ตอบอย่างเป็นระเบียบ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเอาอะไรออกมาให้คนกิน” หมี่อี้เหิงไม่ได้ปิดบัง “ข้ารู้ทุกอย่างตั้งแต่ขวดน้ำที่เจ้าให้โม่หรู่ในคืนแรกที่เจ้าเข้าไปในตำหนัก”
ฉินปู้เข่อหนาวไปทั้งตัว “ให้ตายเถอะ ท่านติดตามโม่หรู่มานานขนาดนี้เลยหรือ?! ท่านช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
“ข้าจึงอยากรู้ว่าเจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากที่ใด เหตุใดแต่ละอย่างถึงมีสรรพคุณแปลก ๆ และน่าอัศจรรย์” หมี่อี้เหิงมองจมูกของฉินปู้เข่อและลังเล “ไม่รู้ว่าวันนี้เจ้ากินอะไรถึงได้จมูกไวเช่นนี้?!
“เอ่อ~” ฉินปู้เข่อเลิกคิ้วขึ้น “ใช่แล้ว ตอนแรกจมูกของหม่อมฉันไม่ค่อยไว แต่หลังจากกินบางอย่างจมูกของหม่อมฉันก็ไวขึ้น โดยพื้นฐานแล้วจะได้กลิ่นสิ่งที่ท่านได้สัมผัสภายในห้าวันก่อน ตราบใดที่มันมีกลิ่น หม่อมฉันก็จะได้กลิ่น”
“ภายในห้าวันหรือ?”
“ไม่เพียงเท่านั้น หม่อมฉันยังได้กลิ่นของคนที่ติดต่อกับท่านมากที่สุด เช่นหมี่เหิงที่เป็นเจ้าของตำหนักแห่งนี้” เมื่อเห็นท่าทางที่สงบของหมี่อี้เหิง ฉินปู้เข่อก็รู้สึกสนุกกับการเปิดเผยเช่นนี้ “เขามีกลิ่นเหมือนน้ำมันดอกกุหลาบของพระชายาสอง และท่านได้ติดต่อกับหมี่เหิงเมื่อสามวันก่อน ดังนั้นจึงมีกลิ่นของน้ำมันดอกกุหลาบจาง ๆ ด้วย”
หมี่อี้เหิงมองลึกลงไปที่หญิงสาวตรงหน้าเขา ดวงตาของเขาสั่นไหวโดยไม่ตั้งใจ
นางพูดถูก นางสามารถได้กลิ่นจากจมูกอันทรงพลัง ไม่ว่าเขาจะย้ายเด็กไปกี่ห้องก็ตาม
ในเวลานี้เขาจึงปฏิเสธความคิดที่จะเปลี่ยนห้องเด็กในตอนบ่ายไปอย่างสิ้นเชิง
ฉินปู้เข่อเหลือบมองหมี่อี้เหิงและพูดอย่างใจเย็น “ท่านพ่อสามีอยากรู้จริง ๆ หรือ หลังจากที่หม่อมฉันพูดไปแล้ว ท่านต้องไม่กักขังหม่อมฉันในฐานะแม่มดนะเพคะ”
“เจ้าเป็นแม่ของหลานชายตัวน้อยของข้า และข้าจะไม่จัดการเจ้า” หมี่อี้เหิงอดไม่ได้ที่จะพูด
ฉินปู้เข่อมีสีหน้าขมขื่น “มีหลายสิ่งหลายอย่าง แล้วเราควรเริ่มที่อันไหนก่อนดี?
“จมูก เริ่มด้วยประสาทการดมกลิ่นที่เฉียบแหลมของเจ้าในวันนี้”
ฉินปู้เข่อสูดหายใจยาวแล้วเปิดระบบในใจ ก่อนจะเปิดดูหน้าระบบอย่างรวดเร็วด้วยการยกเปลือกตาขึ้น
ชั่วก้านธูปหมี่อี้เหิงก็มองไปยังหญิงสาวที่นิ่งไปครู่หนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “สาวน้อย เจ้าเสียใจหรือเผลอหลับไปแล้ว”
“หม่อมฉันกำลังหาอยู่” ฉินปู้เข่อยังคงขยับเปลือกตาขึ้นลง และตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “หม่อมฉันพบแล้ว คุกกี้รูปกระดูกสุนัขที่สามารถปรับปรุงความสามารถในการดมกลิ่นของมนุษย์ได้ร้อยเท่าจากเดิม”
เมื่อพูดเช่นนั้นก็มีคุกกี้ชิ้นเล็กปรากฏขึ้นในมือของฉินปู้เข่อ นางจึงยื่นคุกกี้ให้เขา
“สิ่งนี้มาจากไหน?” หมี่อี้เหิงมองดูคุกกี้ชิ้นเล็กที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น และต้องการจะสัมผัสแขนเสื้อของสาวน้อย
“ซื้อจากในระบบ” ฉินปู้เข่อมองตาของเขาแล้วยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อเตือนว่า “มองที่มือของหม่อมฉัน อย่ากะพริบตา”
จากนั้นขวดชาเขียวก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
“นี่คือชาเขียวหูเทพ หลังจากดื่มแล้วหูของท่านจะมีประโยชน์มาก เพราะท่านจะสามารถได้ยินความคิดในใจของคนที่อยู่ใกล้เคียง” ฉินปู้เข่อลืมตามองหมี่อี้เหิงอย่างสงบ “วันนี้หม่อมฉันได้ยินคำพูดในใจของพ่อสามีหมดแล้ว ตัวอย่างเช่น ท่านรังเกียจที่หม่อมฉันซดโจ๊กเสียงดังในตอนเช้า จึงคิดว่าสาวน้อยคนนี้หยาบคายมากเมื่ออยู่ใกล้โม่หรู่หรือ”
หัวใจของหมี่อี้เหิง ‘กระตุก’ ไปชั่วครู่ และตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะแปลกใจกับเรื่องไหนดี
เขาควรจะแปลกใจกับสิ่งที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นในมือนาง หรือควรแปลกใจกับสิ่งที่นางเพิ่งพูดไป
“ท่านสามารถแปลกใจกับทั้งสองอย่างได้ อย่างไรเสียท่านพ่อสามีไม่กรี๊ดออกมาก็เยี่ยมแล้ว” ฉินปู้เข่อเอียงศีรษะ “อย่างที่หม่อมฉันได้พูดไปเมื่อสักครู่นี้ สิ่งนี้ทำให้สามารถได้ยินความคิดคนได้ เรานั่งใกล้กันมากฉะนั้นท่านพ่อสามีอย่าคิดมาก”
“ตอนนี้ไม่ว่าท่านจะต้องการฆ่าหม่อมฉัน หรือคิดว่าจะจัดการกับหม่อมฉันหรือโม่หรู่อย่างไรในอนาคต หม่อมฉันก็ได้ยิน”
……………………………………………………………………………..