สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 223 เกรี้ยวกราดอย่างเปิดเผย
บทที่ 223 เกรี้ยวกราดอย่างเปิดเผย
“ฮ่า ๆ” หมี่อี้เหิงหัวเราะเบา ๆ พลางมองฉินปู้เข่ออย่างขบขัน
“เหตุใดสาวน้อยถึงคิดว่าข้าจะสนับสนุนหมี่เหิง หรือเหตุใดข้าถึงสนับสนุนโม่หรู่หรือ?”
ฉินปู้เข่อตอบโดยไม่จำเป็นต้องคิดว่า “บัลลังก์ฮ่องเต้ หม่อมฉันรู้ว่าท่านและเหล่าองค์ชายต่างหมายปองตำแหน่งฮ่องเต้”
“โอ้ ใช่แล้ว” หมี่อี้เหิงยกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าคิดว่าข้าจะเลือกหมี่เหิงเพื่อชิงบัลลังก์”
ฉินปู้เข่อมองเขาแล้วรำพึงกับตัวเองว่า “เฮ้อ บางครั้งหม่อมฉันก็นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าพวกท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ตำแหน่งฮ่องเต้นั้นต้องแย่งชิง หากโม่หรู่เป็นเพียงองค์ชาย หม่อมฉันก็จะยังคงชอบเขามาก แต่หากเขาอยากเป็นฮ่องเต้จริง ๆ หม่อมฉันก็จะ…”
ขณะที่นางพูด จู่ ๆ ฉินปู้เข่อก็ไม่พูดต่อและจ้องมองใบชาลอยขึ้นลงในถ้วยชาอย่างว่างเปล่า
นางไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กสาวอายุสิบหกปีเลยตั้งแต่นางทะลุมิติมา อำนาจของฮ่องเต้ไม่ค่อยมีอิทธิพลในใจนางมากเท่าใดนัก ดังนั้นไม่ว่านางจะสื่อสารกับใครก็ตาม นางก็จะไม่มีความเคารพและความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะความอาวุโส แต่จะเคารพจากใจจริงเท่านั้น
หมี่อี้เหิงมองหญิงสาวตรงหน้าเขาที่กำลังก้มหน้าลงอย่างเศร้าใจและฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะนาง “ไปเถอะ เจ้าไม่อยากเจอลูกหรือ”
“จริงหรือเพคะ? เจอตอนนี้ได้เลยหรือ” เมื่อพูดถึงลูก ฉินปู้เข่อก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที เขาเป็นลูกคนเดียวของนางในสองชาติภพ หากบอกว่านางไม่ได้คิดถึงก็คงเป็นเรื่องโกหก
ไม่นานหลังจากที่นางเดินตามหลังหมี่อี้เหิงไป นางก็ได้ยินเสียงร้องของทารกอยู่ใกล้ ๆ แต่เมื่อมองหมี่อี้เหิงก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินอะไรเลย เพราะเป็นหูของคนธรรมดา
“เอ๊ะ…” ฉินปู้เข่อเดินตามหลังหมี่อี้เหิงและถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าลูกจะปวดท้องอีกแล้วเพคะ”
“เจ้าได้ยินเสียงร้องไห้หรือ?!” หมี่อี้เหิงถามอย่างสบาย ๆ เพราะรู้ว่าตอนนี้นางหูดีมาก
“เพคะ” ฉินปู้เข่อตอบ ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก แล้วเดินผ่านหมี่อี้เหิงไปอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ท่านพ่อสามี หม่อมฉันจะไปหาลูกก่อนนะเพคะ”
นางไม่รอให้หมี่อี้เหิงนำทางให้อีกแล้ว นางเดินตามเสียงไปเพื่อค้นหาเอง
แม่นมกำลังอุ้มทารกน้อยและโยกไปมาขณะเดินอยู่ในห้อง นางพยายามพูดกับเด็กเพื่อให้เด็กหยุดร้อง
ฉินปู้เข่อเปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปหาแม่นมและกอดทารกไว้
“เอ๊ะ เจ้ามาจากไหน ขโมยเด็กไปได้อย่างไร!” พี่เลี้ยงกลับมารู้สึกตัวเมื่อพบว่าแขนของตนว่างเปล่า นางจึงรีบวิ่งไปหาฉินปู้เข่อทันที
“หยุดนะ” เสียงของหมี่อี้เหิงดังมาจากประตูพลางบ่นว่า “สาวน้อย เจ้าวิ่งเร็วเกินไป ข้าไม่มีเวลาอธิบายให้พวกนางฟัง”
น่าแปลกที่ทารกน้อยที่ร้องไห้ตลอดเวลาหยุดร้องไห้ทันที หลังจากที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของฉินปู้เข่อ เขาหลับตาเล็ก ๆ และกำหมัดขณะผล็อยหลับไปอย่างสงบ
ฉินปู้เข่อกอดทารกน้อยไว้แน่น และไม่อาจละสายตาจากใบหน้าของเขาได้
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็หันไปหาหมี่อี้เหิงแล้วพูดว่า “ท่านพ่อสามี เป็นแม่นมคนนี้แหละที่ตามใจปาก นางมีกลิ่นเหมือนขนมฟักทอง และเด็กมีอาการท้องร่วงหลังจากกินนมฟักทองของนาง”
เมื่อแม่นมหูได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองฉินปู้เข่อ แล้วหันกลับมาคุกเข่าต่อหน้าหมี่อี้เหิงเพื่อแสดงความจงรักภักดี “นายท่าน ข้าน้อยไม่รู้ว่านายน้อยกินฟักทองไม่ได้ นี่เป็นอาหารธรรมดามาก”
หมี่อี้เหิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้กินฟักทองไม่ได้ และตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเขาแพ้ฟักทองจึงสามารถเลี่ยงได้ในอนาคต และไม่จำเป็นต้องไล่นางออก
“เจ้าลุกก่อนเถอะ แล้วต่อไปอย่าให้เขากินฟักทองอีก” เขายกโทษให้และอนุญาตให้แม่นมลุกขึ้น
“เพคะ” แม่นมหูปาดน้ำตาแล้วยืนขึ้น ก่อนจะนางเหลือบมองฉินปู้เข่อ “ข้าน้อยขอคำนับฮูหยินเพคะ”
ฉินปู้เข่อมองสตรีที่ก้มศีรษะคำนับตรงหน้านาง และสัญชาตญาณบอกให้นางรู้สึกเกลียดชังยิ่งนัก
“ท่านพ่อสามี หม่อมฉันไม่ชอบแม่นมคนนี้ ท่านโปรดไล่นางออกด้วยเถิด” ฉินปู้เข่อจำสิ่งที่นางเพิ่งได้ยินเมื่อครู่นี้ได้จึงเอ่ยปากขับไล่นางออกไปอย่างหยาบคาย
แม่นมหูมองหมี่อี้เหิงด้วยน้ำตาคลอเบ้า และเตรียมจะคุกเข่าตรงหน้าเขาอีกครั้ง “นายท่าน ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าข้าน้อยทำอะไรผิด แล้วฮูหยินจะขับไล่ข้าน้อยออกไปทันทีเมื่อเพิ่งเจอข้าน้อย…”
“เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรอย่างนั้นหรือ?” ฉินปู้เข่อมองไปรอบ ๆ ห้องแล้วเดินอุ้มลูกไปให้แม่นมอีกคนที่กำลังก้มศีรษะเงียบ
ขณะที่นางเดินผ่าน สายตาของฉินปู้เข่อเหลือบมองแม่นมหูที่อยู่ตรงหน้านางอย่างไร้ความปรานี ดวงตาของนางเต็มไปด้วยคำเตือนและการข่มขู่
“แม่นม เมื่อเด็กเพิ่งผล็อยหลับไป เจ้าควรอุ้มเขาไว้ครู่หนึ่งโดยไม่ต้องเขย่า แล้ววางเขาลงบนเตียงหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม” ฉินปู้เข่อวางทารกลงในอ้อมแขนของแม่นมอีกคนอย่างระมัดระวัง แล้วผลักแม่นมคนนั้นเข้าไปในห้องชั้นใน
หมี่อี้เหิงไม่ได้เอ่ยคำใดอีก เขาเดินไปรอบ ๆ แม่นมแล้วนั่งบนเก้าอี้ พลางเท้าแขนดูแม่นมร้องไห้และอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างเงียบ ๆ
แม่นมหูขนลุกเล็กน้อยเมื่อถูกเขามองด้วยสายตาเย็นชา นางคิดกับตัวเองว่าชายผู้นี้มีอารมณ์อ่อนโยนมาก ทุกครั้งที่เขามาหาเด็ก เขามักจะยิ้มแย้มและหยอกล้อ และเขาดูพอใจมากเมื่อนางรายงานเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของเด็กให้เขาฟัง
แม้ว่าช่วงนี้เด็กจะไม่สบายและร้องไห้บ่อย แต่นางก็ไม่เห็นเขาอารมณ์เสียเพราะแม่นมเลย แต่เขาสั่งให้หมอหลวงคิดหาวิธีรักษา
ดูเหมือนนายท่านจะไม่ได้ว่าอะไร ดูจากสถานการณ์แล้ว สตรีผู้นี้เป็นแม่ของเด็ก แต่ไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน จึงคิดว่าสถานภาพของนางในตำหนักน่าจะไม่สูงนัก นางทำงานอยู่ในตำหนักชั้นในและพบเห็นการพลิกผันมามากมาย นางจึงรู้ว่าผู้หญิงบางคนมีฐานะต่ำและไม่โชคดีพอที่จะเลี้ยงลูกด้วยตนเองหลังคลอดได้ ซึ่งนางก็คิดว่า ‘ฮูหยิน’ คนนี้ก็มีสถานะเช่นนี้
ดังนั้นแม่นมหูจึงคลานเข่าไปหาหมี่อี้เหิงสองก้าว แล้วใช้ประโยชน์จากช่องว่างที่ฉินปู้เข่อบอกมาพลางร้องไห้ “นายท่าน วันนี้ข้าน้อยได้รู้แล้วว่านายน้อยไม่สามารถกินฟักทองได้ และต่อไปข้าน้อยจะไม่มีวันให้กินฟักทองอีกอย่างเด็ดขาด จะกินเพียงอาหารที่ห้องเครื่องจัดให้เท่านั้น”
เพียะ!
ฉินปู้เข่อที่ออกมาจากห้องชั้นในเดินไปข้างหน้าแม่นมหูสองก้าวแล้วตบนาง ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “พูดเบา ๆ หน่อย! เด็กกำลังหลับอยู่!”
จากการสอดแนมในปีที่ผ่านมาและจากข้อมูลที่ส่งมาจากแหล่งต่าง ๆ หมี่อี้เหิงจึงรู้ว่าลูกสะใภ้ของเขาค่อนข้างจะมีอารมณ์ร้อน เมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงไม่ได้เอ่ยคำใด
แม่นมหูลดเสียงของนางลงและมองไปที่หมี่อี้เหิงขณะที่กุมหน้าด้วยความเศร้า “นายท่าน…”
“นายท่านน้องสาวเจ้าสิ!” ฉินปู้เข่อยืนขึ้นแล้วถีบหน้าอกของแม่นมหูลงไปกองกับพื้น ก่อนจะเตะนางกระเด็นออกจากห้องโดยไม่รอให้นางร้องไห้ต่อ
หลังจากที่แม่นมหูกลิ้งตกบันได นางก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญ
“หุบปาก! หยุดเห่าหอนได้แล้ว!” ฉินปู้เข่อหยิบผ้าอ้อมเด็กที่เพิ่งเปลี่ยนจากตะกร้าใต้เปล แล้วบีบปากของแม่นมหูก่อนจะยัดมันเข้าไป
เนื่องจากพวกนางได้ออกมาจากห้องแล้ว ฉินปู้เข่อจึงไม่พูดเสียงเบาอีกและตะโกนว่า “เจ้ารู้จักข้าดีแล้วหรือ นั่นคือสิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดกับเด็กเมื่อครู่นี้ใช่หรือไม่!?”
……………………………………………………………………………