สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 224 บทเรียนของแม่นม
บทที่ 224 บทเรียนของแม่นม
สายตาของหมี่อี้เหิงที่อยู่ในห้องกลายแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ไม่น่าแปลกใจที่แม่สาวน้อยจะเร่งฝีเท้าของนาง ปรากฏว่านางได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากในห้อง
ที่หน้าประตู ฉินปู้เข่อบีบคางของแม่นมหูแล้วยัดผ้าอ้อมเข้าปากนางพลางตะโกนอย่างโกรธเคืองว่า “รู้สึกดีหรือไม่ รู้สึกดีหรือไม่ที่ถูกปิดปากเวลาที่เจ้าร้องไห้?! บ้านเจ้าสิ กล้าดีอย่างไรมาปิดปากลูกชายของข้าจนเกือบหายใจไม่ออกตาย!”
ขณะที่นางอยู่บนทางเดินเมื่อสักครู่นี้ นางได้ยินเสียงเด็กร้องไห้และได้ยินเสียงดุด่าของแม่นม จากนั้นเสียงเด็กร้องก็เงียบลงเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะเด็กเงียบเสียงแต่เพราะมีคนมาปิดปากเด็ก เสียงร้องจึงอู้อี้เล็กน้อยเพราะถูกคนเอามือมาปิดปาก
“‘ร้องไห้ทำไม’ ‘ข้าจะขายเจ้าทิ้งหากเจ้าร้องไห้อีกครั้ง’ ‘หากเจ้าร้องไห้ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าไม่ร้องไห้ให้ตายไปเลยล่ะ’ เจ้าพูดประโยคเหล่านี้กับลูกของข้าหรือ?! นังสารเลว เจ้ากล้าปฏิบัติกับเด็กน้อยเช่นนี้แล้วยังมีหน้ามาถามข้าว่าตัวเองทำผิดอะไร เจ้าแอบดุด่าเขาใช่หรือไม่?!”
ฉินปู้เข่อกำลังจะระเบิดด้วยความโกรธ ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้เจอลูก แต่ก่อนที่นางจะได้เจอลูก นางกลับได้ยินคนด่าลูกของนาง วันนี้นางดื่มชาเขียวหูเทพที่ทำให้นางมีประสาทรับเสียงที่ว่องไว มิฉะนั้นนางก็คงไม่รู้ว่าในอนาคตหญิงแพศยาผู้นี้จะปฏิบัติต่อลูกของนางอย่างไร
หลังจากที่แม่นมหูที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางถูกทุบตีจนหมดสติไป ฉินปู้เข่อก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปในห้องด้วยความโกรธ แล้วจ้องมองหมี่อี้เหิงก่อนจะพูดอย่างไม่สุภาพว่า “ท่านพ่อสามี ดูคนของท่านสิ! ท่านเป็นปู่ของลูกหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงไม่รังเกียจหากท่านพาเขาไปเลี้ยง แต่อย่างน้อยก็ต้องปล่อยให้เขาอยู่ในมือของคนที่ไว้ใจได้”
หมี่อี้เหิงไอเบา ๆ แล้วพูดด้วยทัศนคติที่ดี “เรื่องนี้เป็นเพราะความประมาทของข้าเอง เมื่อก่อนจะมีองครักษ์ที่แอบรายงานทุกการเคลื่อนไหวของแม่นมให้ข้ารู้เสมอ แต่ข้าไม่เคยได้ยินคำพูดไม่ดีของแม่นมมาก่อน อาจเป็นเพราะว่าในช่วงสองสามวันนี้เด็กไม่สบายมาก จนพี่เลี้ยงคนนี้พูดเช่นนั้นออกมาโดยไม่ทันได้คิด”
“แต่เจ้าก็ทำสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน ไม่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่นางพูดจาไม่ดีใส่หมิงเอ๋อร์หรือไม่ เจ้าก็ไม่อาจทนได้ มาเถิด เอาตัวคนที่อยู่บนพื้นออกไปข้างนอก”
ภายในชั่วพริบตา แม่นมหูผู้หมดสติก็ถูกนำตัวออกไปนอกประตู และรอยเลือดบนพื้นก็ถูกทำความสะอาด
ทัศนคติที่จริงจังและการให้ความร่วมมือดังกล่าวช่วยลดความเกลียดชังของฉินปู้เข่อได้ในทันที ตอนแรกนางคิดว่าแม่นมคนนี้มักจะมีทัศนคติเช่นนี้อยู่เสมอ แต่หมี่อี้เหิงก็ไม่รู้ว่าเขาถูกหลอก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเลิกเพิกเฉยและเอาใจใส่ลูกของนางมากขึ้น
“คือว่า ท่านพ่อสามี หม่อมฉันขออภัยเพคะ หม่อมฉันรีบพูดเกินไปหน่อยและหม่อมฉันต้องขอโทษท่านด้วย” ฉินปู้เข่อเดินไปหาหมี่อี้เหิงเพื่อยอมรับความผิดของตนเองได้ทันเวลา และนางก็ไม่ได้ใจแคบเมื่อต้องขอโทษ
“ไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าเป็นแม่ของหมิงเอ๋อร์ ครั้งแรกที่เจ้าเจอเขาแล้วต้องเจอกับเรื่องเช่นนี้ก็ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการมีอารมณ์โกรธได้” พูดตามตรงคือเขาคิดว่าพระชายาของโม่หรู่ก็มีความประพฤติดี แม้ว่าจะอารมณ์ร้อนเกินไปเล็กน้อย แต่นางก็เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่เย่อหยิ่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่โม่หรู่รักนางปานจะกลืนกิน
ฉินปู้เข่อเลิกคิ้วขึ้น “ท่านพ่อสามีอย่าพึ่งด่วนสรรเสริญหม่อมฉันในหัวใจของท่าน หม่อมฉันเกรงว่าสิ่งที่หม่อมฉันกำลังจะบอกท่านจะทำลายความประทับใจที่ดีของท่านที่มีต่อหม่อมฉัน”
หมี่อี้เหิงอ้าปากเล็กน้อย ก่อนตบหน้าผากของตนแล้วพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยว่า “ข้าลืมเรื่องการได้ยินของเจ้าอีกแล้ว และข้าก็คิดไปเรื่อย”
“ไม่เป็นอะไร ตอนนี้หม่อมฉันแทบไม่ได้ยินแล้ว มันใกล้จะหมดฤทธิ์แล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อนั่งลงตรงข้ามเขาและมองเขา “ท่านพ่อสามีเพิ่งเรียกลูกของหม่อมฉันว่า ‘หมิง’ ท่านตั้งชื่อลูกของหม่อมฉันโดยได้รับความยินยอมจากหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ”
นางกับโม่หรู่อ่านหนังสือตั้งชื่อลูกโบราณล่วงหน้าครึ่งปี ใครจะรู้ว่าความตั้งใจของพวกเขาจะถูก ‘ท่านพ่อสามี’ ชิงตัดหน้าไปเสียแล้ว
“หมิงหมิงหรือหมิงเอ๋อร์นี้เป็นเพียงชื่อเล่น เจ้าและโม่หรู่สามารถตั้งชื่อลูกเองได้” ตอนนี้หมี่อี้เหิงชอบลูกสะใภ้คนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน้อยนางก็น่ามองกว่าพระชายาสองของหมี่เหิงยิ่งนัก
ฉินปู้เข่อลดอารมณ์ลงแล้วพูดว่า “ก็ไม่เลวนะเพคะ เช่นนั้นเรามาคุยกันเรื่องคำถามต่อไป เมื่อไรท่านจะปล่อยให้ลูกกับหม่อมฉันกลับไป หม่อมฉันคิดว่าโม่หรู่รู้แล้วว่าท่านพาพวกเราออกมา แม้ว่าเขาจะรู้ว่าท่านจะไม่ทำร้ายเรา แต่หม่อมฉันต้องรีบพาลูกกลับไปหาเขา”
“นี่…” หมี่อี้เหิงหลับตาลง มีสีหน้าเย็นชาขึ้นเล็กน้อย “หลังจากพระจันทร์เต็มดวงข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่ตำหนักอ๋องหลี่ชินอย่างปลอดภัย แต่หมิงเอ๋อร์ต้องอยู่ต่อ”
“เพราะเหตุใด! หม่อมฉันไม่สนใจว่าท่านหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้ท่านอาศัยอยู่ที่นี่กับหมี่เหิง ดังนั้นชีวิตของหมิงเอ๋อร์อาจตกอยู่ในอันตรายได้ ใครจะรู้ว่า… ” ฉินปู้เข่อกัดลิ้นของตนและกลืนคำพูดส่วนที่เหลือลงไป บริเวณนี้ทั้งหมดคืออาณาจักรของหมี่เหิง ไม่ค่อยดีนักที่จะปล่อยให้เขาได้ยิน
เมื่อคืนนี้หมี่เฉินอี้เล่าเหตุการณ์ภายนอกให้นางฟังสั้น ๆ ว่าหมี่เซวียนเป็นบ้าไปแล้ว ตำแหน่งองค์รัชทายาทจึงว่าง และฮ่องเต้ต้าเซี่ยจะเลือกระหว่างโม่หรู่ หมี่ฉงและหมี่เหิง
หมี่เหิงทำงานในราชสำนักมาหลายปีแล้ว ในช่วงปีแรก ๆ เขาถูกองค์รัชทายาทขโมยความสนใจและชื่อเสียงไปหมด ดังนั้นการปรากฏตัวของเขาในราชสำนักจึงไม่ชัดเจน แต่ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาหลังจากที่หมี่เซวียนถูกสั่งขังและสูญเสียอำนาจ การดำเนินการของเขาก็เป็นไปอย่างราบรื่น และเขาอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกับโม่หรู่
ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ว่าหมี่อี้เหิงถูกปิดประตูขังไว้หรือเต็มใจลงไปในน้ำเอง ถึงได้เลือกมาอาศัยอยู่ในตำหนักของหมี่เหิง ซึ่งจากนี้ไปดูเหมือนว่าเขาจะสนับสนุนหมี่เหิงอย่างแน่นอน และอาจจะถึงกับเป็นไพ่ตายของหมี่เหิงที่ใช้ในการปราบปรามโม่หรู่
การต่อสู้ระหว่างองค์ชายเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ บางครั้งก็กลายเป็นสงครามระหว่างทายาทด้วย วันหนึ่งลูกของนางอาจจะถูกหมี่เหิงคุกคามที่นี่ ดังนั้นนางจะไม่มีวันทิ้งลูกไว้ในท้องเสือ
“หมิงเอ๋อร์จะไม่มีวันเป็นอะไรไป ไม่มีใครกล้าแตะต้องหมิงเอ๋อร์แม้แต่น้อย” หมี่อี้เหิงย่อมเข้าใจดีว่าฉินปู้เข่อกำลังคิดอะไรอยู่ เพียงแต่ว่าสถานะปัจจุบันของเขานั้นไม่อาจประกาศให้สาธารณชนทราบได้ มันจึงเป็นสาเหตุหลักที่เขาไม่ได้มองไปที่โม่หรู่โดยตรง
ยิ่งกว่านั้นคือเขาเฝ้ารอให้เด็กคนนี้มาแข่งขันกับคนในวัง แล้วหมิงเอ๋อร์จะตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเสียง ‘วี้ดด’ แหลมดังออกมาจากหูของนาง หลังจากนั้นเลือดสีแดงสดก็ไหลออกจากหูทั้งสองของฉินปู้เข่ออย่างช้า ๆ นางมองปากที่เปิดและปิดของหมี่อี้เหิง และรู้ตัวว่านางกำลังจะเริ่มต้นเข้าสู่พื้นที่เงียบสงัดเป็นเวลาสามวัน
“สาวน้อย เจ้า!” หมี่อี้เหิงเห็นเลือดไหลออกจากหูสองข้างของนางแล้วตกใจมาก ปรากฏว่าผลข้างเคียงของสิ่งอัศจรรย์นั้นช่างหนักหนาสาหัสยิ่งนัก การที่เลือดออกจากรูหูของนางเป็นไปได้ว่าแก้วหูของนางจะแตก
ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด พลางอดทนกับอาการหูอื้อจากเสียงในหัวของนาง จากนั้นค่อย ๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าไหมขึ้นมาเช็ดเลือด แล้วมองไปที่ริมฝีปากของหมี่อี้เหิงและพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หม่อมฉันจะอ่านปากเพคะ”
“ท่านพ่อสามี หม่อมฉันไม่ทราบว่าท่านกำลังวางแผนอะไร และหม่อมฉันก็ไม่อยากรู้เรื่องความพัวพันระหว่างท่านกับฮ่องเต้และพระสนมเสียนผิน เพราะนั่นเป็นเรื่องของท่าน แต่ท่านไม่อาจพาลูกหม่อมฉันไปได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นลูกของหม่อมฉัน!” ฉินปู้เข่อมีความมุ่งมั่นว่าจะต้องพาลูกออกไปให้ได้
หมี่อี้เหิงที่อยู่ข้างหน้านางเปลี่ยนท่าทางจากอ่อนโยนและใจดีเป็นเย็นชา “สาวน้อย ข้อตกลงเดียวระหว่างเราในวันนี้คือ ‘เจอเด็ก’ หากเจ้ามีความคิดอื่นก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จ”
……………………………………………………………………………