สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 226 จุดประสงค์ที่แท้จริง
บทที่ 226 จุดประสงค์ที่แท้จริง
กรอด กรอด
หมี่เฉินอี้กัดฟันอีกครั้งและถ่มน้ำลาย “ข้าถามเขาว่าเขาดูเป็นอย่างไร ดูเศร้าหรือขุ่นเคืองหรืออย่างอื่น! ข้าต้องรู้ด้วยหรือว่าเขาดูดีหรือไม่?!”
“อ๋อ ฮ่า ๆๆ” ฉินปู้เข่อหัวเราะ “เขาดูนิ่งสงบราวกับว่าไม่เคยมีความขุ่นเคืองปรากฏบนใบหน้าเขามาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ดูเหมือนคนมีความสุขนัก”
หมี่เฉินอี้เม้มปาก ย้อนกลับไปในตอนที่อาเหิงใจดีกับเขา เขาคิดว่าเขาอันตราย ในตอนที่เขามีประสบการณ์จากสนามรบ และยังจำได้อีกว่าคนผู้นั้น ‘ตาย’ แล้ว
ฉินปู้เข่อนั่งลงบนเตียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เสด็จอา ท่านช่วยเล่าเรื่องความคับข้องใจระหว่างพวกท่านสามคนให้หม่อมฉันฟังได้หรือไม่? ฟังจากน้ำเสียงของท่านพ่อสามี ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาน่าจะไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลย แล้วตอนนั้นท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาตายไปแล้ว?”
“ไม่ใช่ ‘ตาย’ มันคือ ‘หายตัวไป’ อย่างไร้เหตุผล” หมี่เฉินอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย “ตอนนั้นข้าหาเขาไม่พบ และฮ่องเต้ก็ไม่เอ่ยถึงเขาอีกเลยราวกับว่าเขาไม่เคยปรากฏตัวในวัง หลังจากที่เขาหายตัวไปข้าก็แอบไปสืบดู ปรากฏว่าเสด็จแม่ได้ให้สุราพิษแก่เขา แต่ข้าไม่รู้ว่าเขารอดมาได้อย่างไร”
ต่อมาหมี่เฉินอี้ก็เล่าประสบการณ์ของพวกเขาทั้งสามคน ฉินปู้เข่อยึดมั่นในแนวทางที่ดีของคนอยากรู้อยากเห็นอย่างสมบูรณ์ นางนั่งกินผลไม้ในจานพลางอ่านปากของหมี่เฉินอี้ และยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกมีอารมณ์ร่วม
เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ที่น่าสนใจของฮ่องเต้ยุคโบราณนั้นช่างวิเศษเหลือเกิน
ความรักของฮ่องเต้ต้าเซี่ยเป็นสองแบบ สุดยอด สุดยอด~~
“ส่วนโม่หรู่รู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นลูกของอาเหิงนั้นข้าไม่รู้” หมี่เฉินอี้รื้อฟื้นความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของไทเฮา ทัศนคติของฮ่องเต้ต้าเซี่ยที่มีต่อโม่หรู่ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนดูเกลียดชังแต่ปัจจุบันกลับรักปานจะกลืนกิน
ฉินปู้เข่อกะพริบตาและพูดว่า “หม่อมฉันมีคำถามหลังจากที่ฟังมามากแล้ว ท่านถามไทเฮาซึ่ง ๆ หน้าเพราะต้องการยืนยันว่านางให้สุราพิษเขาใช่หรือไม่?”
“เกือบถูกแล้ว ข้ารู้เรื่องนี้มาจากหัวหน้านางกำนัลข้างกายไทเฮา จนกระทั่งไทเฮาเริ่มโจมตีเจ้า ข้าก็เลยถามเรื่องนี้ต่อหน้านาง และนางก็ไม่ได้ปฏิเสธ”
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็คงคิดมาตลอดว่าพ่อสามีตายไปนานแล้ว แล้วฮ่องเต้ล่ะ เขาคิดว่าพ่อสามีตายหรือว่าหายสาบสูญไปด้วยหรือไม่?” ฉินปู้เข่อรู้สึกเสมอว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากตรงจุดนี้ แต่นางกลับละเลยมันไป
หมี่เฉินอี้จ้องมองนาง “แน่นอนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จพี่กับเสด็จแม่ไม่ราบรื่นก็เพราะว่าเหตุนี้”
“ไม่สิ” แสงสว่างวาบขึ้นมา ฉินปู้เข่อตบหน้าผากตัวเองแล้วนั่งยอง ๆ ข้างหมี่เฉินอี้อย่างตื่นเต้น “เสด็จอา ท่านบอกว่าพ่อสามีเป็น ‘เด็กเก็บมาเลี้ยง’ ไม่ใช่หรือ เมื่อเขาจากไปตอนที่เขายังเด็ก ท่านและฮ่องเต้ก็จะประชวรหนักทันที ฉะนั้นหากเขาถูกไทเฮาวางยาพิษจริง ท่านกับฝ่าบาทก็คงจะสิ้นพระชนม์กันไปนานแล้ว”
“นั่นคือคำพูดของนักบวชลัทธิเต๋า ‘เด็กเก็บมาเลี้ยง’ แล้วอย่างไร เด็ก ๆ ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะเจ็บป่วย มันจะเป็นไปได้อย่างไร…” หมี่เฉินอี้กล่าวขณะที่เขาก็เริ่มลังเลเช่นกัน
หากเป็นความจริงที่ว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ของโชคชะตา ในตอนที่เขายังเป็นเด็กนั้นไม่สามารถแม้แต่จะก้าวออกไปได้ครึ่งก้าว และความสัมพันธ์ของโชคชะตาอาจอ่อนลงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ความสัมพันธ์นั้นอาจไม่หายไปทั้งหมด โชคชะตาของเขาและเสด็จพี่จึงต้องสัมพันธ์กับอาเหิงอย่างใกล้ชิด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาและพระเชษฐาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยดีเพราะอาเหิงยังมีชีวิตอยู่
เมื่อฉินปู้เข่อเห็นว่าสายตาของเขาค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นก็มีความสุข “เป็นเช่นนั้นเองหรือ แสดงว่าหม่อมฉันเดาถูกแล้ว ฮ่องเต้คงรู้มานานแล้วว่าพ่อสามียังมีชีวิตอยู่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้ เขาจึงเกลียดชังโม่หรู่เพราะความรักและความเกลียดชัง อืม ต้องเป็นเช่นนี้แน่”
จินตนาการของหญิงสาวบรรเจิด ฉินปู้เข่อเชื่อในการคาดเดาของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ใช่ เหตุผลที่ทำให้โม่หรู่แปลกแยกก็เพราะเสด็จแม่ และเสด็จพี่ต้องการปกป้องโม่หรู่ ดังนั้นท่านจึงปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น” หมี่เฉินอี้พูดช้า ๆ “หากอาเหิงเป็นกุญแจสำคัญในชีวิตของเราสองพี่น้องก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้ แต่โม่หรู่นั้นสามารถกำจัดได้ตามต้องการ”
ฉินปู้เข่อหยุดการเคลื่อนไหว “อืม เป็นไปได้ แล้วจุดประสงค์ของพ่อสามีคืออะไร?”
หลังจากเดินไปมาที่นี่นานแล้ว นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงต้องการอยู่ในที่ของหมี่เหิง และทิ้งลูกไว้ข้างหลัง
“เขาต้องการให้เหล่าองค์ชายต่อสู้แย่งชิงกัน เขาต้องการเห็นเหล่าองค์ชายสังหารพ่อของพวกเขาเอง ต้องการให้องค์ชายไร้ซึ่งทายาทสืบต่อ จากนั้นก็จะช่วยให้ลูกของโม่หรู่ขึ้นมาเป็นองค์รัชทายาท และเขาก็จะเป็นผู้สำเร็จราชการแทน” หลังจากเงียบไปนาน ในที่สุดหมี่เฉินอี้ก็พูดสิ่งที่เขาคิดออกมา
ถ้าคนที่แอบใส่ร้ายเขาเรื่องการทรยศคืออาเหิง จุดประสงค์ของอาเหิงก็ย่อมไม่ใช่อำนาจทางทหารในมือของเขาอย่างแน่นอน แต่เพื่อต้องการให้เขาและเสด็จพี่คลางแคลงใจซึ่งกันและกัน
และการผลักดันโม่หรู่ให้ดำรงตำแหน่งก็เพียงเพื่อให้องค์ชายทุกองค์ในราชสำนักมีส่วนร่วมในการต่อสู้สืบทอด เขาต้องการให้ฮ่องเต้ได้สัมผัสกับการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่ง ความแตกแยก และการเสียเลือดเนื้อขององค์ชาย
องค์รัชทายาทเป็นบ้าไปแล้ว และฮองเฮาก็ถูกโอรสของตนบีบคอจนสิ้นพระชนม์ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่อาเหิงต้องการจะเห็นมากที่สุด
หมี่เฉินอี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดในใจ หากความตั้งใจของอาเหิงเป็นเช่นนี้จริง ๆ ก็จะไม่โทษเขา
หัวใจของอาเหิงช่างเต็มไปด้วยค วามขมขื่นเสียเหลือเกิน แม่ที่เขาเคารพและกตัญญูมาโดยตลอดมอบสุราพิษให้เขา และคนที่เขาไว้ใจอาจเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังสุราพิษจอกนั้น หรือยอมรับในการมีอยู่ของสุราพิษจอกนั้น
“ให้ตายเถอะ พ่อสามีเป็นคนเลือดเย็นและวิปริต”
หมี่เฉินอี้ “…” ราวกับว่าเขาบีบคอนางจนเกือบตาย เพราะสุดท้ายแล้วอารมณ์ที่กลั่นออกมาในตอนแรกก็หายไปในทันที เพราะนางรู้สึกว่าการกระทำของอาเหิงนั้นเลือดเย็นเกินไป
ถ้าไม่เป็นอย่างอื่นก็ดูเหมือนว่าเขามีเจตนาที่จะต้อนโม่หรู่ไปสู่ทางตัน
“แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไรกันดี” ฉินปู้เข่อจ้องหมี่เฉินอี้ เพราะกลัวว่าจะพลาดการเคลื่อนไหวบนปากของเขา แต่นางไม่ได้ยินเขาในตอนนี้เลย และทำได้เพียง ‘ได้ยิน’ เขาผ่านริมฝีปากของเขาเท่านั้น
หมี่เฉินอี้พ่นลมหายใจ “แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร หรือว่าจะคิดหาวิธีพาเด็กออกไปก่อน”
“ท่านต้องการจะพบเขาสักครั้งหรือไม่ ใช้มิตรภาพในอดีตระหว่างท่านทั้งสอง เพื่อทำความเข้าใจและจัดการด้วยเหตุผลจะได้หรือไม่เพคะ?”
“ข้าไม่มีมิตรภาพร่วมกับเขา” หมี่เฉินอี้พูดความจริง ก่อนที่เขาจะเข้ากองทัพ เขาเกลียดอาเหิงยิ่งนัก ทุกครั้งที่พบเขาต้องตะคอกใส่หรืออารมณ์เสียเพราะเขา
ฉินปู้เข่อ “อะไรของเสด็จอา คนแก่ทำอะไรไม่ได้เลย ไปนอนดีกว่า!”
หมี่เฉินอี้ “เจ้าจะนอนได้อย่างไร ยัยตัวแสบ รีบไปเอายาแก้พิษมาให้ข้ากินสิ ข้าต้องไปห้องสุขา!”
ฉินปู้เข่อบนเตียงหูหนวกชั่วคราวทั้งสองข้าง แน่นอนว่านางไม่ได้ยินคำพูดของหมี่เฉินอี้เลย หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
วันรุ่งขึ้น เมื่อฉินปู้เข่อขยี้ตาและลุกขึ้นนั่งก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่บนพื้น ขนมโก๋แข็งทื่อออกฤทธิ์อยู่แค่สองชั่วยาม ดังนั้นหมี่เฉินอี้จึงสามารถเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ
นางบิดขี้เกียจแล้วหยิบผ้าห่มบนพื้นขึ้นมา และทันทีที่นางโยนมันลงบนเตียงแล้วหันกลับมา นางก็พบกับใบหน้าอันโกรธเกรี้ยวของหมี่เฉินอี้
“กรี๊ด—” ทันทีที่นางกรีดร้องออกมาหมี่เฉินอี้ก็รีบตะครุบปากนางทันที
จากนั้นชายตรงหน้าหยุดนางเอาไว้ และยกยิ้ม
“ท่านต้องการอะไร” ขนมโก๋จานนั้นออกฤทธิ์เพียงแค่สองชั่วยาม หากมีผลสักสองชั่วยามครึ่ง หรือสามชั่วยามก็คงจะดี
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” หมี่เฉินอี้ยกมือขึ้นเขกหน้าผากของฉินปู้เข่อ “ข้าต้องกลั้นปัสสาวะทั้งคืน แต่เจ้ากลับนอนหลับสบายทั้งคืน และเจ้ายังจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่ข้าเรียกเจ้าบ่อยถึงเพียงนี้อีกหรือ?!”
โป๊ก โป๊ก โป๊ก
หมี่เฉินอี้เขกหัวนางห้าหรือหกครั้งด้วยความหงุดหงิดจนหน้าผากของฉินปู้เข่อแดงก่ำ และน้ำตาก็ไหลอาบแก้มนาง
‘เจ็บมาก’ ฉินปู้เข่อเอามือกุมหัวและด่าในใจ วายร้ายผู้นี้จะต้องถูกทำโทษ! หลังจากที่นางกลับไป นางต้องหาของในระบบมาทำให้ชายผู้นี้ประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่อย่างสาสม!
“ฮูหยิน” เสียงของอีฮ่วยดังขึ้นที่ประตู และหมี่เฉินอี้ก็กระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังคา
ฉินปู้เข่อไม่ได้ยินเสียง นางจึงไม่รู้ “ลุงเจ้าสิ…”
อีฮ่วยที่เพิ่งเดินมาถึงฉากกั้นห้องชะงัก “ฮูหยิน ข้าน้อยทำอะไรผิด…”
“เอ๊ะ~ เจ้าเข้ามาเมื่อไร” ฉินปู้เข่อปล่อยมือที่กุมหน้าผากเมื่อเห็นอีฮ่วยคุกเข่าลงตรงหน้านาง
“ข้าน้อยเคาะประตูก่อนจะเข้ามา แล้วท่านก็ดุข้าน้อยเพคะ” แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิดไป แต่อีฮ่วยก็ขอโทษตามสัญชาตญาณของคนรับใช้ที่วิตกกังวล
เข้ามาเร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ? ฉินปู้เข่ออธิบายว่า “ข้าไม่ได้ดุเจ้า ข้าแค่กลิ้งตกจากเตียงเลยดุตัวเอง”
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉินปู้เข่อก็กินข้าวเช้า และอีฮ่วยก็เตือนนางว่า “ฮูหยินท่านต้องการส่งจดหมายเลยหรือไม่เพคะ”
นางพูดสองครั้งแล้วฉินปู้เข่อก็ยังไม่ตอบ จนกระทั่งอีฮ่วยสะกิดนางเบา ๆ นางจึงเงยหน้าขึ้นเพื่ออ่านปากของอีฮ่วยก่อนที่จะตอบสนอง
“อยู่บนโต๊ะ ข้าจะไปเอามาให้” ฉินปู้เข่อลุกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและเดินไปที่โต๊ะ แล้วส่งจดหมายที่นางเขียนเมื่อคืนนี้ให้อีฮ่วย
“ได้เลยเพคะ”
หมี่เฉินอี้มองดูเหตุการณ์นี้จากบนหลังคาแล้วหัวใจของเขาก็เต้นแรง หลังจากที่อีฮ่วยหยิบจดหมายออกจากห้อง เขาก็ลองตรวจสอบข้อสันนิษฐานของตนอย่างกล้าหาญ “สาวน้อย ข้าหิวแล้ว หาอะไรให้ข้ากินหน่อยสิ”
สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่เบาและไม่ดัง แต่คนในห้องนั้นต้องได้ยินอย่างแน่นอน
แต่ผู้หญิงที่โต๊ะกลับไม่แยแสและยังคงก้มหน้าก้มตากินข้าว
เมื่อคืนนี้นางไม่ได้ยินเสียงเขาจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางตั้งใจฟังเขาหลังจากจุดเทียนในห้องชั้นในเมื่อคืนนี้ ที่แท้นางกำลังอ่านปากอยู่!
ที่ตำหนักของอ๋องหลี่ชิน หมี่โม่หรู่ที่เพิ่งออกจากตำหนักเดินไปที่ประตู
ตำหนักเงียบเหงายิ่งนัก เงียบเสียจนคนรับใช้ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใด ๆ ขณะเดิน เงียบเสียจนช่างที่กำลังซ่อมหลังคาวางอิฐและกระเบื้องลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา เพราะเกรงว่าเสียงของพวกเขาจะทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคือง
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ตำหนักไร้ชีวิตชีวายิ่งนัก แม้แต่อ๋องคังชินก็ถูกไล่ออกมาสองสามครั้งเมื่อเขามาถึง
ฉึก!
ลูกธนูคมกริบพุ่งขึ้นไปในอากาศ และก่อนที่มันมาไปถึงประตูตำหนัก มันก็ถูกลูกธนูอีกดอกหนึ่งลอยมาสกัดไว้ และตกห่างออกไปจากประตูตำหนักไม่กี่จั้ง
ตั้งแต่เหตุการณ์หมี่เซวียนบุกเข้ามาในตำหนักในคืนนั้น จำนวนทหารรักษาการณ์ในตำหนักก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และจำนวนองครักษ์ในที่แจ้งก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า บัดนี้แม้แต่นกกระจอกตาบอดที่บินข้ามรั้วตำหนักเข้ามาก็ถูกยิงหมด นับประสาอะไรกับคนที่จะแอบเข้ามาในตำหนัก
หมี่โม่หรู่ก็ได้ยินการเคลื่อนไหวข้างหลังเขาเช่นกัน แต่เขาไม่ได้หยุดเพื่อจัดการกับการลอบสังหารเล็กน้อยเช่นนี้
“ท่านอ๋อง มันคือจดหมายพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เหินหยิบจดหมายที่ผูกติดอยู่กับลูกธนูแล้วยื่นให้
หมี่โม่หรู่เหลือบมอง “เปิดอ่านเลย”
“พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เหินเปิดมันออกตามคำสั่งแล้วชะงักไป “ท่านอ๋อง นี่ ข้าน้อยอ่านไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ”
………………………………………………………………………….