สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 228 คนที่หายสาบสูญ
บทที่ 228 คนที่หายสาบสูญ
บทที่ 228 คนที่หายสาบสูญ
“จริงหรือเพคะ?” ฉินปู้เข่อที่เดิมเกิดท้อแท้ขึ้นมาก็รู้สึกร่าเริงขึ้นทันที และตบแก้มของตนเพื่อทำให้จิตใจสดชื่น “หม่อมฉันยังมองเห็นได้อีกสองชั่วยาม”
หมี่เฉินอี้เคยเห็นดวงตาแดงก่ำของนางตอนที่อยู่ในเขตหลินเป่ย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องปิดบังในเวลานี้
“ตกลง เจ้าหาดูว่าส่วนใดของกำแพงหินที่ไม่ขยับบ้าง” หมี่เฉินอี้หยิบกระดาษที่นางเพิ่งโยนลงบนพื้นแล้วค่อย ๆ กางออกบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง “เปรียบเทียบกับสิ่งนี้”
“เพคะ” ฉินปู้เข่อกลั้นหายใจและจ้องไปที่กำแพงด้านซ้ายและกำแพงด้านขวาไม่กะพริบตา
นางมองเห็นทุกส่วนของตำหนักอย่างละเอียด และในขณะเดียวกันนางก็หยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาเพื่อวาดเส้นทางปัจจุบัน
“ตรงนี้” นางดึงหมี่เฉินอี้ให้มาอยู่ข้างนาง และพบหินที่ยังไม่ขยับเขยื้อนอยู่ใกล้กับตำหนักที่พวกเขาอาศัยอยู่อย่างรวดเร็ว
ฉินปู้เข่อเดินไปตามทางเพื่อค้นหาหินอย่างระมัดระวังท่ามกลางหินมากมาย และก็พบหินที่มีลักษณะแปลกประหลาดในนั้น
ต้องบอกว่าตานี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในตอนนี้ ไม่ว่ากำแพงจะหนาเพียงใดและมีหินกี่ก้อนก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเลย และแม้แต่หินก็กลายเป็นเหมือนแผนที่สามมิติในอากาศที่สามารถมองทะลุเข้าไปได้
“มันอยู่ที่ด้านล่างซ้ายของทางเดินหินเล็ก ๆ นั่น” ฉินปู้เข่อยืนขึ้นและแสดงว่ามีทางเดินหินอยู่ข้างหน้านาง แล้วทำท่าทางบอกว่า “จะไปเอาตอนนี้เลยหรือไม่”
หมี่เฉินอี้พยักหน้าแล้วส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนแผนผังบ่อยแค่ไหน หากเราถอดมันออกวันนี้และเราไม่มีเวลาออกไปข้างนอกได้ล่ะ และหากเขาจะเปลี่ยนแผนผังอีกครั้งจะทำอย่างไรดี”
“ไม่เปลี่ยนหรอก พ่อสามีของหม่อมฉันคงไม่เปลี่ยนแผนผังอีก” ฉินปู้เข่อคิดว่าคงเป็นเพราะว่านางไปหาหมิงเอ๋อร์คืนนี้โดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ ดังนั้นหมี่อี้เหิงน่าจะไม่ได้เปลี่ยนแผนผังง่ายดายเพียงนั้น
ตราบใดที่นางไม่ออกจากห้องในอีกสองสามวันข้างหน้า หรือหากนางแสดงท่าทีเชื่อฟังเพียงเล็กน้อยและแอบจดจำเส้นทาง หมี่อี้เหิงก็คงจะไม่เคลื่อนย้ายแผนผังตำหนักง่าย ๆ
สามวัน ต้องใช้เวลาสามวันในการรอให้ดวงตาของนางดีขึ้น ตราบใดที่มันยังไม่เปลี่ยนแปลงไปในสามวันนี้ก็จะไม่มีปัญหา
หมี่เฉินอี้ย่อมนึกถึงเรื่องนี้ได้เช่นกันและพูดอย่างสบายใจว่า “ในกรณีนี้ข้าจะไปเดินเล่นและเอาหินที่เป็นกุญแจนี้ออกมา หรือทำลายมันซะ”
“เพคะ” ฉินปู้เข่อขยี้ตา “ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะรอท่านอยู่ในห้อง”
“อืม” หมี่เฉินอี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเส้นเลือดสีแดงก่ำค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่ด้านล่างของดวงตาของนาง และดวงตาทั้งสองข้างก็เริ่มกลายเป็นรูเลือดกลวงโบ๋
นี่มันดีจริง ๆ หูหนวก ตาบอด และไม่สามารถอ่านปากได้
“เจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ พักอยู่ในห้องของเจ้าสักสองสามวัน” หมี่เฉินอี้ยื่นมือออกไปจับไหล่ของนางแล้วผลักนางเข้าไปในห้องชั้นใน หลังจากที่นางนั่งบนเตียงแล้ว เขาก็กระโดดออกไปนอกหน้าต่างตามเส้นทางที่นางเพิ่งเขียน แล้วค้นหาหินก้อนนั้น
ไม่นานนัก เมื่อฉินปู้เข่อมองเห็นเงาราง ๆ หมี่เฉินอี้ก็เข้ามาจากหน้าต่าง “เอาล่ะ กลไกถูกรวมเข้ากับหินและไม่สามารถขยับได้ ข้าพยายามขยับมันด้วยมือและเท้าแต่ก็ไม่อาจขยับได้”
“เยี่ยมไปเลย” ฉินปู้เข่อยกยิ้มราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เสด็จอา ท่านออกไปได้แล้ว ตามแผนที่ที่สองที่หม่อมฉันวาดไว้ตอนนี้ท่านสามารถปีนข้ามกำแพงแล้วออกไปได้”
“อืม” หมี่เฉินอี้เม้มริมฝีปากและไม่ขยับ
“เหตุใดท่านไม่ไป” ฉินปู้เข่อกะพริบตาที่เจ็บ และดวงตาของนางก็ค่อย ๆ มืดลง
หมี่เฉินอี้หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเลือดและน้ำตาออกจากดวงตาของนาง ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วเขียนอย่างระมัดระวังในฝ่ามือของนาง
“เดิมทีข้าแอบเข้ามาเพื่อจะพาเจ้าออกไป ตอนนี้เจ้าจะออกไปกับข้าเลยหรือไม่ หากเจ้าไม่ไป ข้าจะอยู่รอจนกว่าดวงตาเจ้าจะหายดี และเราหาเด็กด้วยกันแล้วพาเด็กออกไปด้วย”
ฉินปู้เข่อดึงมือออกจากมือของเขา ดวงตาที่มองไม่เห็นของนางมองที่ฝ่ามือ “ท่าน รู้หรือว่าหม่อมฉันไม่ได้ยิน?”
“อืม” หมี่เฉินอี้จับมือนางแล้วเขียนว่า “ข้ารู้ว่าเมื่อคืนเจ้าอ่านปากของข้า”
“มันไม่เป็นอะไร วันมะรืนก็จะได้ยินแล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อดึงมือออกแล้วนอนลงบนเตียงพลางพูดด้วยเสียงอู้อี้ “ไปนอนเถิด ตอนนี้หม่อมฉันกลายเป็นคนง่อยแล้ว หม่อมฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ”
วันรุ่งขึ้นอีฮ่วยเคาะประตูสองสามครั้ง เมื่อไม่มีใครตอบนางจึงผลักประตูเข้าไป
เมื่อนางหันไปหลังฉากกั้นห้องก็เห็นคนบนเตียงหลับตาตัวสั่นสะท้านอยู่ในผ้าห่มผืนหนา
“ฮูหยิน?” เมื่อเห็นดังนั้นอีฮ่วยก็รีบเข้าไปสำรวจหน้าผากของนาง มันร้อนมาก
“หนาว” เมื่อฉินปู้เข่อรู้ตัวว่ามีใครบางคนอยู่ข้าง ๆ นางก็เอื้อมมือไปจับมือของอีฮ่วยที่แตะหน้าผากของตนอยู่
หน้าผากก็ร้อน มือก็เย็น เท้าก็เย็น อีฮ่วยจับมือของนางซุกเข้าไปในผ้าห่มและพูดอย่างเชื่องช้า “ฮูหยินโปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปเชิญท่านหมอเฟิงให้มาที่นี่เพคะ”
ในไม่ช้าเฟิงเหรินเยี่ยก็มาพร้อมกับกล่องยาและพูดหลังจากจับชีพจรว่า “ในช่วงกักตัว ร่างกายมีภูมิต้านทานอ่อนแอ จิตใจก็หดหู่และลมยามราตรีพัดเข้าร่างกาย ต้องหลับให้สนิทเป็นเวลาสามวันและดื่มยาเล็กน้อย”
จากนั้นเขาก็อธิบายข้อควรระวังอย่างละเอียด แล้วอีฮ่วยก็จดลงไปและกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าน้อยจะไปพบท่านหมอเฟิง ท่านนอนพักไปก่อน แล้วข้าน้อยจะนำยามาให้ท่านเมื่อยาพร้อมแล้วนะเพคะ”
ฉินปู้เข่อหลับตาลงบนเตียงและเข้าสู่ห้วงนิทราทันที โดยไม่ได้ให้คำตอบกับอีฮ่วยเลย
เมื่ออีฮ่วยเห็นเช่นนั้นก็ห่มผ้าห่มให้นาง และเดินออกไป
เมื่อประตูปิดลง หมี่เฉินอี้ก็กระโดดลงมาจากหลังคาทันใด ก่อนจะจับมือของฉินปู้เข่อมาเขียนว่า “เจ้ารู้จักคนที่จับชีพจรเจ้าหรือไม่?”
“หม่อมฉันเคยเจอเขาครั้งหรือสองครั้งหลังจากฟื้นขึ้นมา เขาช่วยทำคลอดให้หม่อมฉัน” ฉินปู้เข่อดูจริงจังและพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ไร้วี่แววของไข้สูงและอาการเซื่องซึม
“ชื่อว่าอะไร?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเร่งรีบของคนเขียนฝ่ามือ ฉินปู้เข่อก็ขมวดคิ้ว “เขาบอกว่าชื่อของเขาคือเฟิงเหรินเยี่ย ท่านรู้จักเขาหรือเพคะ?!”
เฟิงเหรินเยี่ยหรือ?!
หมี่เฉินอี้เผลอบีบมือของฉินปู้เข่อ ไม่ได้สติจนกระทั่งนางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“สองสามวันนี้เจ้าพักผ่อนอยู่ในห้องของเจ้าให้เต็มที่ ข้าจะออกไปคุยกับโม่หรู่ก่อน แล้วเราค่อยมาคิดหาวิธีพาเด็กออกไป” หลังจากที่เขาเขียนข้อความบนฝ่ามือของฉินปู้เข่อเสร็จ เขาก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาอีกครั้ง
จู่ ๆ ก็รีบออกไปเลยหรือ? ฉินปู้เข่อวางมือลงบนผ้าห่มแล้วครุ่นคิดด้วยความสงสัย
แอ๊ดดด
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก ฉินปู้เข่อรีบหลับตาและแสร้งทำเป็นอาการหนัก
ครึ่งชั่วยามต่อมา ณ ตำหนักอ๋องหลี่ชิน
หมี่เฉินอี้ในชุดดำบุกเข้าไปในห้องอ่านหนังสือของหมี่โม่หรู่อย่างโจ่งแจ้ง
“เสด็จอา นี่ท่าน…” หมี่โม่หรู่แปลกใจเล็กน้อย หน้าตาของชายตรงหน้าดูซีดเซียว มีตอหนวดไม่เท่ากันที่คาง และสิ่งสำคัญที่สุดคือเขาสวมชุดอำพรางตัวตอนกลางคืนในตอนกลางวัน
พริบตาต่อมาเขาก็ลุกขึ้นวิ่งไปหาหมี่เฉินอี้ทันที “ท่านพบเสี่ยวเข่อหรือไม่? ตอนนี้นางอยู่ที่ใด นางปลอดภัยหรือไม่ คนผู้นั้นพานางไปเพื่ออะไร?”
หมี่เฉินอี้ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรินชาสองสามถ้วยแล้วพูดว่า “เด็กน้อยไม่ต้องรีบร้อน เจ้าเดาถูกแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อยืนยันที่อยู่ของคนอื่น”
“ใคร?”
“ลูกชายของฉีเหวินกง พ่อของซือต๋า” หมี่เฉินอี้ถอดชุดดำออกแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ข้างเขา “นำเสื้อผ้ามาให้ข้าด้วย”
ดวงตาของหมี่โม่หรู่เป็นประกาย “ซือฉือ ท่านพบซือฉือหรือ?”
คนรับใช้นำเสื้อผ้าใหม่มาให้อย่างรวดเร็ว หมี่เฉินอี้หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาและสวมใส่เองอย่างไม่เป็นระเบียบ “ข้าได้ยินมาว่า ซือต๋าตามหาพ่อของเขามาหลายปีแล้ว แต่เขายังหาไม่เจอใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว เมื่อราวสิบสามหรือสิบสี่ปีที่แล้ว ซือฉือหายตัวไปอย่างลึกลับขณะเดินทางกลับจากนอกเมืองไปยังเมืองหลวง ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นอีกเลย เป็นเวลาหลายปีที่ฉีเหวินกงและซือต๋าตามหาเขาแต่ก็ไม่พบ นอกจากนี้ข้ายังได้ช่วยพวกเขาค้นหาในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาด้วย และมันก็ไม่ได้ผลเช่นกัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หมี่โม่หรู่ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ซือต๋าคอยสนับสนุนเขาอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด ทั้งช่วยเขาหาเงินและช่วยล้างพิษให้เขา แต่เขากลับไม่สามารถแม้แต่จะทำตามคำขอร้องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ได้
“ชิ ข้าไม่แปลกใจหรอกที่เจ้าหาเขาไม่เจอ” หมี่เฉินอี้หัวเราะ “คนผู้นั้นอยู่เคียงข้างอาเหิงและใช้นามแฝงว่าเฟิงเหรินเยี่ย และเขาก็เป็นคนทำคลอดลูกของเจ้าด้วย”
หมี่โม่หรู่หยุดชะงักชั่วคราว “เขายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ใช่หรือไม่”
อันที่จริงทุกวันนี้เมื่อเขาคิดถึงทุกคนที่อาจจะลักพาตัวเสี่ยวเข่อและลูกไป สุดท้ายก็กลับไปที่ ‘อี้เฉียนเซียว’ และสรุปได้ว่า หมี่อี้เหิงยังมีชีวิตอยู่ และเป็นคนพาเสี่ยวเข่อกับลูกไป
คาดไม่ถึงว่าเขาจะพาซือฉือ พ่อของซือต๋าไปอยู่ด้วยเมื่อหลายปีก่อน
“ลองคิดดูว่าจะพาเด็กออกมาได้อย่างไรก่อน” หมี่เฉินอี้เปลี่ยนเรื่อง “คนผู้นั้นไม่ต้องการให้เด็กกลับมา แม่สาวน้อยไปเจรจาแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล”
หมี่โม่หรู่ขมวดคิ้ว “แล้วทุกวันนี้เสี่ยวเข่ออยู่ที่ใด เมืองหลวงหรือ? ข้าได้รับจดหมายของนางเมื่อวานนี้และข้าเดาได้ว่านางอยู่ในเมืองหลวง”
“ในสวนหลังบ้านของตำหนักหมี่เหิง” หมี่เฉินอี้อธิบายสั้น ๆ ว่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นในตำหนัก แล้วนำแผนผังเส้นทางปัจจุบันของตำหนักออกมา
“หมี่เหิงหรือ? ละเลยสถานที่นี้ไปจริง ๆ” หมี่โม่หรู่อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น พูดอีกอย่างคือเขาก็ให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวในตำหนักของหมี่เหิง แต่มันก็ดูเหมือนเป็นปกติ ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉย
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย ด้วยเส้นทางของตำหนักนี้ ตอนนี้เด็กอยู่ที่ใดข้าก็ยังไม่รู้เลย” หมี่เฉินอี้ชี้บนแผนที่ขณะพูด เขารู้เส้นทางก่อนที่มันจะเปลี่ยนไป แต่ตอนนี้เขาไม่รู้หลังจากเส้นทางเปลี่ยนไป
หมี่โม่หรู่จ้องแผนที่และเอ่ยอย่างแช่มช้าว่า “บุกเข้าไป”
“บุกเข้าไปหรือ?” หมี่เฉินอี้แทบจะพ่นน้ำชาออกมา “ตำหนักนี้เพียงที่เดียวสามารถดักคนได้จำนวนมาก แต่เจ้ายังคิดจะบุกเข้าไปอีกหรือ? เหมือนใช้ฝ่ามือตบพสุธา เขาจัดองครักษ์สามสิบหรือสี่สิบคนไว้ในตำหนักแล้วจะบุกเข้าไปได้อย่างไร?! นอกจากนี้ก็เกรงว่าแม่สาวน้อยจะไม่เห็นด้วย นางไม่ต้องการปล่อยให้เหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นรอบตัวลูกของนางมากเกินไป”
“เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็ยังไม่มีทางออกที่ดี” หมี่โม่หรู่พูดความจริง ทุกวันนี้เขากังวลยิ่งนัก เขาคิดอยู่ทุกวันว่าเสี่ยวเข่อกับลูกอยู่ที่ใด เขาคิดทุกวันว่าหากเขารู้ที่อยู่ของนาง เขาจะใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาเพื่อพานางกลับมาอย่างสะดวกที่สุด
เหมือนวิธีการที่หมี่เซวียนพาคนมาบุกตำหนักในคืนนั้น ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี
“เรียกทั้งสองคนมาพูดคุยหารือ ค่อย ๆ คุยกัน” หมี่เฉินอี้เคาะโต๊ะ “โดยเฉพาะซือต๋าที่มีพ่อของเขาอยู่ที่นั่น เขาคงกังวลไม่น้อยไปกว่าเจ้า”
แน่นอนว่าซือต๋ารีบวิ่งเข้ามาทันทีหลังจากได้ยินข่าว และเกือบจะคุกเข่าลงต่อหน้าหมี่โม่หรู่ “มีข่าวเรื่องพ่อของข้าจริง ๆ หรือ?!”
“ใช่ ข้าเจอตัวเขาแล้ว” หมี่เฉินอี้กล่าว
ขณะที่เขากำลังพูด องครักษ์ที่ประตูก็ก้าวมาข้างหน้าและพูดว่า “ท่านอ๋อง องค์ชายสองเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
…………………………………………………………………………