สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 230 กุนซือ
บทที่ 230 กุนซือ
บทที่ 230 กุนซือ
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตำหนักเพิ่งมีเด็กเพิ่มเข้ามาจริง แต่เขาไม่ใช่ลูกของข้า หากเป็นลูกของกุนซือผู้เป็นขุนนางคนหนึ่งในตำหนัก” หมี่เหิงหันกลับมาและพูดว่า “เมื่อเร็ว ๆ นี้ลูกสะใภ้ของท่านกุนซือได้ให้กำเนิดบุตร ว่ากันว่าเป็นหลานชายตัวน้อยของเขา”
“ขุนนางที่เป็นกุนซือหรือ?” หมี่โม่หรู่อยากจะหัวเราะเยาะสิ่งนี้ เป็นเรื่องปกติของตำหนักขององค์ชายที่จะสนับสนุนเหล่าข้าราชบริพารและกุนซือ ซึ่งอ๋องหลี่ชินก็ได้สนับสนุนขุนนางเหล่านี้ไว้ด้วยเช่นกัน แต่การใช้คำเรียกนี้กับหมี่อี้เหิงทำให้เขาทั้งโกรธและขบขันจริง ๆ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าหมี่เหิงจะไม่รู้จักตัวตนของเขาเลย?!
หมี่เหิงพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าพบกุนซือท่านนี้โดยบังเอิญเมื่อข้าเดินทางไปตรวจสอบที่ชนบทเมื่อปีก่อน ตอนนั้นเขาเขียนวิธีแก้ปัญหาข้อหนึ่งได้ดีมาก ข้าจึงจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเชิญเขาเข้าตำหนัก ต่อมาเมื่อต้องประสบปัญหายุ่งยาก กุนซือท่านนี้ก็สามารถคิดหาวิธีแก้ที่มีประสิทธิภาพได้เสมอ”
“ตอนแรกที่เขาเข้ามา เขาคิดจะจากไปเพื่อกลับบ้านเกิด ข้าพยายามเกลี้ยกล่อมเขาหลายครั้งเพื่อจะโน้มน้าวให้เขาอยู่ ตอนนี้เขาให้จ้างแม่นมส่งไปให้เขาเพื่อไปเลี้ยงเด็กเกิดใหม่ในครอบครัวเขา”
“ชนบทหรือ?” หมี่โม่หรู่ดูเหมือนจะครุ่นคิดบางอย่าง “มันคือที่ใด?”
หมี่เหิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเขตเฉิงเป่ย ตอนนั้นมีโรคระบาด ข้าอยู่ที่นั่นตอนที่ให้หมี่เซวียนเอาใจเจ้าหน้าที่และประชาชน กุนซือท่านนี้มีส่วนร่วมในการควบคุมโรคระบาดในขณะนั้นด้วย และชื่อเสียงของเขาในท้องถิ่นก็ดีมาก”
เขตเฉิงเป่ย หมี่โม่หรู่คิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง เขาจำได้ว่าเขตหลินเป่ยและเขตเฉิงเป่ยอยู่ติดกัน และมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่อยู่ระหว่างสองเขตนี้ และราชสำนักก็เลี้ยงม้าศึกไว้ที่นั่น
“ว่าแต่น้องเจ็ดรู้ได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าจะรู้จักกุนซือท่านนี้?”
หมี่โม่หรู่ถอนใจแล้วพูดว่า “เมื่อมีเด็กเกิดใหม่ในตำหนักก็เป็นเรื่องที่อ่อนไหวเสมอ เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้ยินหมอประจำตำหนักบอกว่าหมอประจำตำหนักองค์ชายสองต้องจับชีพจรเด็ก วันนี้ได้เจอท่านจึงถามสักหน่อย”
“ปรากฏว่ากุนซือท่านนี้อาศัยอยู่อย่างสันโดษและไม่ถูกวังผูกมัด และข้ายอมรับว่าไม่สามารถควบคุมเขาได้ จึงได้จัดตำหนักให้เขาอยู่และไม่ค่อยได้สนใจเขานัก ยกเว้นต้องหารือเรื่องสำคัญ บางทีเมื่อเร็ว ๆ นี้หลานชายตัวน้อยของเขาอาจจะรู้สึกไม่ค่อยสบาย”
หลังจากพูดคุยกันไม่กี่คำหมี่โม่หรู่ก็ไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ในใจ และหลังจากพูดคุยกับหมี่เหิงอีกเล็กน้อย การสนทนาก็จบลง
หลังจากกลับไปที่ห้องอ่านหนังสือแล้ว เขาก็ได้เล่าเรื่องจากการสนทนากับหมี่เหิง หลายคนคาดเดาว่าเขายังคงสับสนอยู่และเขาไม่รู้ว่าเจตนาสูงสุดของหมี่อี้เหิงคือการปกปิดตัวตนของเขา ด้วยการอาศัยอยู่ในตำหนักขององค์ชายสอง
ขณะเดียวกันหมี่เหิงก็ขึ้นรถม้าเพื่อกลับตำหนัก และไม่หยุดเมื่อผ่านทางเข้าหลักของตำหนัก แต่ให้คนขับรถม้าขับไปตามถนนอีกสองสายเพื่อไปยังทางเดินแคบ ๆ ก่อนจะหยุดลง
มีประตูตำหนักบานเล็กอยู่ที่ปลายทางเดิน ทางเข้าหลักของตำหนักสามารถเข้าไปได้จากภายในตำหนักองค์ชาย แต่มันถูกปิดเอาไว้ตลอดทั้งปี และกุญแจเหล็กก็ขึ้นสนิมมานานแล้ว ดังนั้นจึงต้องเข้าทางประตูหลังที่เปิดอยู่ในตรอกนี้
คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิดเลยว่าด้านหลังประตูไม้นี้จะเชื่อมต่อกับตำหนักขององค์ชายสอง แม้แต่หมี่เหิงก็ยังสงสัยว่าเขาขยายตำหนักที่นี่และสร้างประตูเล็กๆ ที่มีทางเดินเข้าสองทางได้อย่างไร
ก๊อก ก๊อก
มีเสียงเคาะประตูไม่เบาและไม่หนักสองครั้ง และในไม่ช้าเสียงกุกกักก็ดังขึ้นจากด้านใน
สาวใช้หน้ากลมเปิดประตูและเห็นหมี่เหิงจึงทำความเคารพ “ถวายบังคมเพคะ”
“อืม” หมี่เหิงเคยชินกับคำพูดให้เกียรติเช่นนี้อยู่แล้ว เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วก้าวเข้าไปในประตูไม้ และเดินตามสาวใช้หน้ากลม
มีก้อนหินและทางเดินหินที่มีกำแพงล้อมรอบอยู่ทุกหนทุกแห่ง หมี่เหิงเดินตามเอ้อร์ฮ่วยและรู้สึกว่าทางเดินที่พวกเขาใช้ในครั้งนี้ดูแตกต่างจากครั้งที่แล้วเล็กน้อย
“เจ้านายของเจ้าเปลี่ยนแผนผังอีกแล้วหรือ” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เอ้อร์ฮ่วยพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “นายท่านชอบคิดค้นกลไกเหล่านี้เมื่อไม่มีอะไรทำ แต่จะทำให้ท่านไม่ค่อยสะดวกทุกครั้งที่ท่านมาที่นี่”
“ก็ไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ว่าเจ้าก็… เป็นคนนำทางตลอดไม่ใช่หรือ”
เมื่อรู้สึกถึงความไม่แน่ใจในน้ำเสียงของหมี่เหิง เอ้อร์ฮ่วยก็หันไปเล็กน้อยและกล่าวว่า “หม่อมฉัน เอ้อร์ฮ่วย ทุกวันนี้อีฮ่วยกำลังดูแลนายน้อยเพคะ”
“ฮ่า ๆ” หมี่เหิงยกยิ้มเจื่อน นางกำนัลฝาแฝดสองคนนี้มีหน้าตา น้ำเสียง ฝีเท้า และรูปร่างเหมือนกัน เขามาที่นี่ห้าหรือหกครั้งจึงจะรู้ว่านางกำนัลที่มารับเขาทุกครั้งไม่ใช่คนเดียวกัน
“แม่นมคนใหม่มาถึงที่นี่เมื่อคืนนี้ใช้ได้หรือไม่?” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่นมหูเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้เขาเสียหน้าไปหลายวัน คราวนี้เขาใช้เวลาคัดเลือกแม่นมอย่างพิถีพิถัน โดยใช้วิธีการคัดเลือกแม่นมของราชวงศ์แทน
เอ้อร์ฮ่วยยกยิ้มและพูดว่า “ดีมากเพคะ ท่านเลือกคนถูกแล้วเพคะ”
ขณะที่สนทนา เอ้อร์ฮ่วยก็พาเขามาที่ตำหนักของชายผู้นั้น แล้วเอ้อร์ฮ่วยก็พาเขามาส่งอย่างสงบและจากไป
หมี่เหิงมองตำหนักที่เงียบสงบข้างหน้าเขาและหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับชายผู้นี้ เขาก็รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางอย่าง ไม่ใช่เพราะเขาน่ากลัว แต่เพราะคนผู้นี้มีรัศมีของความน่าเกรงขาม
คล้ายกับรัศมีของเสด็จพ่อ
สุดท้ายแม้ว่าเขาจะเป็นองค์ชาย แต่เขาก็กลัวคนเช่นนี้
“มาแล้วหรือ?”
คาดว่าเมื่อเห็นหมี่เหิงยืนอยู่นอกประตูเป็นเวลานาน คนที่อยู่หลังม่านจึงเป็นฝ่ายส่งเสียงที่อ่อนโยนและไพเราะออกมาก่อน
หมี่เหิงผลักประตูที่ซ่อนเร้นอยู่แล้วเดินเข้าไป “ใช่แล้ว”
แสงในห้องมืดมากเพราะมีม่านหนาทึบ หมี่เหิงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของคนในห้องได้ เขาเห็นเพียงร่างที่คุ้นเคยของคนผู้หนึ่งนั่งหันหลังให้เขาอยู่หลังโต๊ะ
“วันนี้น้องเจ็ดเป็นอย่างที่ท่านบอกจริง ๆ เขาถามเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านมาอยู่ที่ตำหนัก และข้าก็ตอบเขาตามที่ท่านบอกข้า” หมี่เหิงหาที่นั่งและยื่นมือออกไปหยิบถ้วยชามาถือไว้ในมือ อุณหภูมิของมันก็กำลังดี
ชายผู้นี้มักจะคาดเดาเหตุการณ์และเวลาทั้งหมดได้อย่างแม่นยำอยู่เสมอ
“ขอบพระทัยยิ่งนัก”
แม้ว่ามันจะดูไม่จริงจังมากนัก แต่เมื่อหมี่เหิงเห็นร่างนั้นโค้งคำนับ ท่าทางเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง และความรู้สึกระหว่างเจ้านายและคนรับใช้ก็แผ่ซ่านออกมาจากใจของเขา
เขายกมุมปากขึ้นจากถ้วยน้ำชาแล้วยกยิ้ม ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นองค์ชาย และคนในห้องนี้ก็เป็นเพียงกุนซือที่เขาอุปถัมภ์
ในวินาทีถัดมา ดูเหมือนว่าสายตาอันเฉียบคมจะมาจากด้านหลังม่าน ซึ่งทำให้หมี่เหิงรู้สึกราวกับว่าตนถูกจับได้ว่าคิดอะไรอยู่
เขาสงสัยอยู่ชั่วขณะหนึ่งว่าคนที่อยู่หลังม่านจะรู้ความคิดลับ ๆ ของเขา หัวใจของหมี่เหิงสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะกระแอมสองครั้งด้วยความรู้สึกผิด
“รู้สึกไม่ค่อยดีหรือ?”
“แค่สำลัก” หมี่เหิงโบกมือเพื่ออธิบายและลังเลใจเล็กน้อย “ข้าขอถามว่าเหตุใดท่านถึงรู้ว่าน้องเจ็ดจะถามเกี่ยวกับท่านและ… หลานชายตัวน้อยของท่าน”
อันที่จริงเขาต้องการถามว่า ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกุนซือและน้องเจ็ดคืออะไร
“ใช้เวลานานมากกว่าจะรู้” หมี่อี้เหิงมององค์ชายที่นั่งอยู่นอกม่านแล้วพูดด้วยความคิดเล่น ๆ ว่า “ท่านกังวลหรือไม่ว่าข้าจะรับใช้อ๋องหลี่ชิน?”
“ไม่ ๆ” หมี่เหิงกล่าวอย่างจริงใจ “ดังคำกล่าวที่ว่า ‘จะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงใครก็อย่าใช้เขา’ เนื่องจากท่านกุนซือยินดีจะอาศัยอยู่ในตำหนักของข้า ดังนั้นข้าจึงไม่สงสัยในความจงรักภักดีของท่าน”
หมี่อี้เหิงยกยิ้มมุมปาก ตอนนี้เขาต้องการดื่มชาเขียวหูเทพของแม่สาวน้อย บางครั้งการสามารถสอดแนมความคิดภายในของคนอื่นได้ก็เป็นเรื่องที่น่าดึงดูดใจ
…………………………………………………………………………….