สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 236 พ่อและลูกชายพบกัน
บทที่ 236 พ่อและลูกชายพบกัน
บทที่ 236 พ่อและลูกชายพบกัน
อีฮ่วยเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองฉินปู้เข่อ ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “นายน้อยเพคะ”
“โม่หรู่หรือ?!” ฉินปู้เข่ออุทานด้วยความประหลาดใจและใช้ข้อศอกกระทุ้งหมี่อี้เหิง “ลูกชายของท่านมาพบท่านที่นี่”
หมี่อี้เหิงขมวดคิ้วต่างจากท่าทางตื่นเต้นของฉินปู้เข่อ “เขามาที่นี่ได้อย่างไร เขาเข้ามาเองหรือ?”
“เพคะ น่าจะเข้ามาทางประตูหลังตำหนักที่ท่านผู้สูงศักดิ์เข้ามาครั้งล่าสุดเพคะ” อีฮ่วยสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดของเจ้านาย เสียงของนางจึงเบาลงมาก
ฉินปู้เข่อไม่สนใจบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเลย นางเชิดคางขึ้นและพูดจาด้วยประโยคอันยั่วยุ “เป็นอะไร? ตื่นเต้นเกินไปที่จะได้พบเขาหรือเพคะ?”
หมี่อี้เหิงเหลือบมองนางอย่างเย็นชา และนางก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน “หากท่านกังวลและไม่มีความสุขเพราะความคิดของท่าน หม่อมฉันสามารถช่วยท่านได้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะตอบ ฉินปู้เข่อจึงยืนขึ้นและเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว “หม่อมฉันจะไปแล้วนะเพคะ ฮ่า ๆ”
“หยุด” จู่ ๆ น้ำเสียงไร้อารมณ์พร้อมกับแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวก็ได้ตรึงฉินปู้เข่อไว้กับที่ นางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกได้ถึงรัศมีของฮ่องเต้ต้าเซี่ยจากกายหมี่อี้เหิงตรงหน้านาง
เมื่อไม่กี่วันก่อนชายผู้นี้ยังแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจนางอยู่เลย
“ฮ่า ๆ ท่านพ่อสามี ได้โปรด หม่อมฉันไม่ไปแล้วเพคะ หม่อมฉันแค่จะเปิดประตูให้ท่าน” หญิงสาวที่หมดหวังในการเอาตัวรอดเดินไปที่ประตูและเปิดประตูแล้วทำท่า ‘เชื้อเชิญ’ ราวกับเป็นสาวน้อยมารยาทงาม
การแสดงออกของหมี่อี้เหิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาที่เฉียบคมและเย็นชาผ่อนคลายลงเล็กน้อย สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางประตูและบรรยากาศอันคุกรุ่นภายในห้องก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก
อีฮ่วยแอบมองฉินปู้เข่อที่ใบหน้าเต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้มและความหวาดเกรง แล้วก้มหน้าลงพลางกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นหัวเราะ
หมี่อี้เหิงพ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วยืนขึ้นช้า ๆ ก่อนจะเหยียดขายาวของเขาเดินไปที่ประตู เมื่อมาถึงประตูเขาก็หยุดข้างฉินปู้เข่อ “อยู่ที่นี่ทั้งวัน หากเจ้าทำตัวดี เจ้าจะสามารถมานอนกับหมิงเอ๋อร์คืนนี้ได้”
ฉินปู้เข่อกลอกตาขึ้นบนท้องฟ้าพลางบ่นในใจ มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ข้าต้องขออนุญาตท่านเพื่อให้ได้นอนกับลูกชายของข้า
แม้ว่าจะคิดเช่นนี้ในใจ แต่ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางพูดอย่างร่าเริงว่า “ได้เพคะ ไม่มีปัญหา ขอบคุณท่านพ่อสามีที่เข้าใจ”
เมื่อนางหันหน้ากลับไปอีกครั้ง หมิงเอ๋อร์น้อยก็กินจนอิ่มและร่าเริงพอที่แม่นมจะพาออกมาเล่นได้
เมื่อฉินปู้เข่อเห็นว่าเขาลืมตามองอย่างเชื่อฟัง ความรักของแม่ก็พลุ่งพล่านออกมาในทันใด นางรีบเอื้อมมือออกไปอุ้มลูกมาไว้ในอ้อมแขน “หมิงเอ๋อร์ตัวน้อยของแม่ เหตุใดเจ้าถึงน่ารักเช่นนี้ ไม่เจอแม่ตั้งหลายวัน คิดถึงแม่หรือไม่~”
ดูเหมือนว่าหมิงเอ๋อร์จะรับรู้กลิ่นบนร่างกายของนาง หลังจากที่เขาได้กลิ่นและอยู่ในอ้อมแขนของแม่ เขาก็ไม่ร้องไห้หรือสร้างปัญหาใด ๆ เลย เขายกมือเล็ก ๆ ขึ้นแล้วโบกไปมาตรงหน้านาง การโบกมือเช่นนี้ทำให้ความรู้สึกของแม่ในตัวฉินปู้เข่อเอ่อล้นขึ้นเป็นพันเท่า
ทันใดนั้นคำชมเด็กทั้งหมดก็ออกมาจากปากของนาง เอ่ยชมเสียจนแม่นมที่อยู่ด้านข้างไม่รู้จะพูดอย่างไรเลย
ในห้องอ่านหนังสือของหมี่อี้เหิง เขานั่งอยู่หลังม่านตามปกติ แต่ความแตกต่างคือครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะประหม่าจริง ๆ
เขาไม่ค่อยประทับใจลูกชายแท้ ๆ อย่างโม่หรู่มากนัก ตอนนั้นที่เขารู้ว่าพระสนมเสียนผินตั้งครรภ์ หมี่เจ๋อเฉินได้บอกเขาอย่างชัดเจนว่าพระสนมเสียนผินกำลังตั้งครรภ์ลูกของเขาเอง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยไปเยี่ยมเยียนพระสนมเสียนผินเลย เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในตอนนั้น และเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาและหูของไทเฮาเจิ้ง
แม้ว่าโม่หรู่จะเกิดแล้ว แต่หมี่เจ๋อเฉินก็ยังอำนวยความสะดวกให้เขาเป็นพิเศษ และบอกให้เขาไปเยี่ยมพระสนมเสียนผินแต่เขาก็ไม่ไป
ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้สึกผูกพันทางสายเลือดกับหมี่โม่หรู่เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งหมี่โม่หรู่เริ่มเติบโตขึ้นและเข้าไปเรียนพร้อมกับองค์ชายองค์อื่น เขาก็เพียงแค่มองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
จากมุมมองเช่นนี้ วันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างเขากับลูกชายแท้ ๆ เดิมทีเขาแค่ต้องการจะปฏิบัติต่อหมี่โม่หรู่เหมือนเป็นคนแปลกหน้า แต่หลังจากได้ฟังสิ่งที่สาวน้อยพูดเมื่อวานนี้ก็ดูเหมือนจะมีส่วนหนึ่งในหัวใจของเขากำลังร้อนรุ่ม
เขาไม่สามารถปฏิบัติต่อหมี่โม่หรู่เหมือนเป็นคนแปลกหน้าได้อีกต่อไป
“นายท่าน นายน้อยเสด็จมาแล้วเพคะ” หลังจากที่อีฮ่วยกล่าวแนะนำจบก็ผลักประตูออกไป แล้วปิดประตูด้วยความเคารพ
ภายในห้องเงียบสงบ ธูปหอมที่ถูกจุดในกระถางธูปมีกลิ่นหอมมากจึงทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันเป็นเวลานาน
หมี่อี้เหิงมองดูชายหนุ่มในห้องโถงใหญ่ผ่านม่านเป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าไม่น่าแปลกใจที่แม่สาวน้อยจะคิดว่าตัวเขาเองเป็นหมี่โม่หรู่ในวันแรกที่นางฟื้นขึ้นมา ในอดีตเขาก็เคยได้ยินองครักษ์รายงานว่าหมี่โม่หรู่คล้ายกับเขายิ่งนัก
เมื่อได้มองเห็นเขาผ่านม่านในตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่าหมี่โม่หรู่นั้นคล้ายกับเขาตอนที่ยังเป็นหนุ่มจริง ๆ แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นลักษณะใบหน้าของเขาได้ชัดเจนนัก แต่ความรู้สึกโดยรวมเมื่อเห็นเขายืนอยู่ที่นั่นช่างเหมือนเขาตอนที่ยังเป็นหนุ่ม
“มานี่สิ” หมี่อี้เหิงเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ
หมี่โม่หรู่ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ พลางมองคนที่นั่งอยู่หลังผ้าม่านหนาที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งจั้ง และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ “ท่านเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่หมี่เหิง ข้าหมายถึงองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันมาพบท่านเลยหรือ”
“เกือบทุกครั้ง”
บทสนทนาแรกกับลูกชายของเขาเป็นเช่นนี้ ก็ดี ไม่ได้สุภาพและก็ไม่ได้เย็นชานัก ความตึงเครียดในหัวใจของหมี่อี้เหิงลดลงเล็กน้อย และจิตใจของเขาก็สงบลงมากเช่นกัน
“นายท่าน ท่านฉลาดพอ ๆ กับปีศาจจิ้งจอก ท่านสามารถควบคุมจิตใจของผู้คนได้ด้วยทักษะพิเศษ ซึ่งโม่หรู่ไม่อาจเทียบเทียมได้”
ปรากฏว่าหมี่เหิงไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาจริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาหรอก เกรงว่าคงจะไม่เคยเห็นแม้แต่ใบหน้าที่แท้จริงของเขาด้วยซ้ำ
แต่ถึงกระนั้นหมี่เหิงก็ยังคงเชื่อฟังเจ้านายของเขา และปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพ
“เขาได้รับในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว บัดนี้เขาได้ตำแหน่งองค์รัชทายาทมาครองแล้ว ข้าเกรงว่าในอนาคตเขาจะไม่เชื่อฟังข้าอีกต่อไป”
หมี่โม่หรู่ยกยิ้ม “อะไรกัน? รู้สึกฝืนใจเล็กน้อยที่จะรู้สึกเช่นนี้หรือ?”
“มันไม่เกี่ยวกับการฝืนใจ ถึงไม่มีเขาก็ยังมีคนอื่นอีก ว่าแต่เจ้าพอใจกับสถานะปัจจุบันหรือไม่?” หมี่อี้เหิงพ่นลมหายใจเบา ๆ “หากปล่อยสถานการณ์ให้ดำเนินไป หากหมี่เหิงไม่ได้ถวายหนังสือเสนอตัว องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันก็อาจเป็นเจ้า”
“ข้าไม่ได้กังวลอยู่แล้ว” หมี่โม่หรู่ผ่อนคลายไหล่ของเขาแล้วเดินไปที่เก้าอี้เพื่อหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาถือในมือ น้ำชายังร้อนอยู่ แต่เขาพลาดอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการดื่มไปแล้ว
เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดเบาๆ ว่า “สำหรับสถานะปัจจุบัน ข้าไม่ได้พอใจกับมันมากนักแต่ก็ไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนมัน”
“เอ๊ะ? แล้วถ้าหากเป็นเจ้า แล้วเจ้าจะเต็มใจหรือไม่?”
หมี่โม่หรู่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “การใช้การเลื่อนตำแหน่งอย่างอุกอาจมาหลอกล่อเช่นนี้อาจได้ผลกับข้าในอดีต แต่ไม่ใช่ในวันนี้ ข้าอยากพบภรรยาและลูกของข้าในวันนี้และไม่ต้องการคิดเรื่องการเมือง แต่ในอนาคตก็อาจเริ่มได้ผล ข้าอาจจะร่วมกับหมี่เหิงทำตามความปรารถนาของท่านก็ได้”
หมี่อี้เหิงหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อความตั้งใจเดิมของเขาถูกทำลาย เขาจึงยืนขึ้นและค่อย ๆ ก้าวออกมาจากหลังม่าน
“มันได้ผล ข้าไม่สนหรอกว่ามันจะได้ผลเมื่อไร ข้าไม่มีอะไรที่จะต้องรออีกแล้ว” ม่านลูกปัดชั้นสุดท้ายแขวนอยู่ข้างหน้าเขา หมี่อี้เหิงยืนนิ่งพลางแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะมองหมี่โม่หรู่ที่บนเก้าอี้นวม และเขาไม่ได้สังเกตเห็นการแสดงออกเล็กน้อยนี้
หมี่โม่หรู่เลิกคิ้ว ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดคือเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับหมี่อี้เหิง ตั้งแต่คืนนั้นเขาตัดสินใจจะรับเสี่ยวเข่อและลูกกลับ เพื่อให้อยู่ห่างจากสงครามที่ไร้โลหิตเช่นนี้
“ช่วงนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?” หมี่โม่หรู่กระตุกมุมปากของเขาและเปิดประเด็น
หมี่อี้เหิงแหวกม่านลูกปัดออกแล้วเดินไปยังที่นั่งหลักแล้วนั่งลง “เมื่อสองวันก่อนนางป่วย เมื่อวานนางวิ่งมาร้องไห้คร่ำครวญ วันนี้นางไปหาลูก”
“อืม… แค่ร้องไห้เท่านั้นหรือ?” หมี่โม่หรู่ไม่ค่อยเชื่อนัก เพราะเสี่ยวเข่อมักไม่ค่อยระบายอารมณ์ด้วยการ ‘ร้องไห้’ เพียงอย่างเดียว
หมี่อี้เหิงเหลือบมองลูกชายของตนเล็กน้อย และนึกหมั่นไส้ความฉลาดของเขาเล็กน้อย ‘ใช่แล้ว’ เขาสามารถบอกลูกชายของตนได้หรือว่าเมื่อวานนี้เขาถูกลูกสะใภ้ด่า
“ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้าว่า ในอีกหกวันข้างหน้าตำหนักอ๋องหลี่ชินจะจัดพิธีฉลองวันเกิดในวันพระจันทร์เต็มดวงให้เด็กน้อย และข้าจะมารับเสี่ยวเข่อกลับตำหนักก่อนในตอนเย็น” หมี่โม่หรู่พูดถึงจุดประสงค์ของตนอย่างฉะฉาน “มันคงจะดีหากข้าสามารถรับลูกกลับไปได้เลย”
“สามารถพาผู้ใหญ่กลับไปได้ ส่วนเด็กให้รอไปก่อน” หมี่อี้เหิงตอบ “แม่นมสองคนที่อยู่ข้างกายเขาถูกคัดเลือกมาอย่างดี และเด็กจะปลอดภัย เจ้าวางใจได้”
หมี่โม่หรู่พยักหน้าอย่างสงบ “ท่านเป็นปู่ของเด็ก ท่านอยู่เคียงข้างเขาตั้งแต่เขาเกิด ข้าย่อมเชื่อว่าท่านสามารถดูแลเขาได้อย่างดี”
ขณะที่ทั้งสองยังอยู่ในการสนทนาที่เป็นมิตรก็มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นหลายครั้ง
“ท่านพ่อสามี หม่อมฉันนำขนมมาให้ท่านลองชิมเพคะ”
ไม่ต้องรอคำตอบจากคนในห้อง ฉินปู้เข่อก็เดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้าใบเล็ก
ทันทีที่นางเข้ามาในประตู ดวงตาของนางจับจ้องไปที่หมี่โม่หรู่ และมุมปากของนางก็เกือบจะแตะหูของเขา
“อะแฮ่ม” หมี่อี้เหิงเบิกตาจ้องมองฉินปู้เข่อ แม่สาวน้อยคนนี้ช่างกล้าหาญนัก นางยังกล้าออกมาอีกเมื่อเขาออกมาแล้ว
“ท่านพ่อสามี ท่านเจ็บคอหรือเพคะ ท่านต้องการให้อีฮ่วยต้มยาให้หรือให้ท่านเฟิงมาดูอาการท่านดีเพคะ” ฉินปู้เข่อพูดพลางเปิดประตูและตะโกนออกไปว่า “พี่หญิงฮ่วย นายท่านมีอาการคันคอ รีบไปตามท่านเฟิงมาที่นี่เร็วเข้า!”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความจริงใจ และการแสดงออกของนางก็ดูวิตกกังวล หมี่อี้เหิงอยากจะพูดเพื่อหยุดนาง แต่เขาก็ตกใจกับการกระทำของนางจนสำลักน้ำลายและไอสองสามครั้ง
อีฮ่วยที่กำลังลังเลอยู่ที่ประตูเห็นเช่นนั้นก็เชื่อคำพูดของฉินปู้เข่อ และรีบวิ่งออกไป
หมี่อี้เหิงจ้องมองนางและยกมือขึ้น โดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ฉินปู้เข่อคลี่ยิ้มและหันกลับมาวางตะกร้าไว้ในอ้อมแขนของหมี่โม่หรู่ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นและวิ่งไปข้างหมี่อี้เหิง และผลักเขาเข้าไปหลังม่าน “ท่านพ่อสามี หากท่านเจ็บคอก็ควรพูดให้น้อยลง มา ดื่มชาหน่อยเถิดเพคะ!”
นางหยิบถ้วยชาบนโต๊ะในห้องชั้นในยัดใส่มือของหมี่อี้เหิง ก่อนจะจับมือเขากระดกชาเข้าปากของเขา
“แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก” คราวนี้หมี่อี้เหิงสำลักจริง ๆ และมันก็ไม่เบาเลย
บนเก้าอี้นวม หมี่โม่หรู่กำลังถือตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็ก ๆ และรู้สึกว่าน้ำหนักของมันไม่เบานัก และสิ่งที่อยู่ในนั้นดูเหมือนจะเคลื่อนไหวอยู่ เขาค่อย ๆ หยิบผ้าที่คลุมตะกร้าขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยหัวใจที่อบอุ่น และทารกน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา ดวงตาของเขาเบิกกว้าง มือเล็ก ๆ ของเด็กน้อยกำแน่นอยู่ที่หน้าอกของเขา
หมี่โม่หรู่รู้สึกเจ็บจมูกและเขาเกือบจะร้องไห้ออกมา เขาอดไม่ได้ที่จะแตะจมูกของเด็กน้อยเบา ๆ “เจ้าลูกหมาเอ๊ย เจ้าทำให้แม่ของเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานนัก!”
หลังจากดุด้วยประโยคนี้แล้ว เขาก็สัมผัสหลังมือเล็ก ๆ ที่อ่อนโยนของเด็กน้อย เขาสัมผัสอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยนราวกับสัมผัสหยกเนื้อดี
………………………………………………………………………..