สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 24 พฤติกรรมชวนสับสน
ตอนที่ 24 พฤติกรรมชวนสับสน
“เมื่อครู่หม่อมฉันลองไตร่ตรองดูแล้วเพคะ หากกลุ่มนักฆ่าในตรอกเล็กยังไม่บรรลุเป้าหมาย และพบว่าท่านอ๋องไม่อยู่บนรถม้า ประเดี๋ยวพวกเขาจะต้องลงมือกับรถม้าอีกครั้งอย่างแน่นอนเพคะ ถึงอย่างไรความคิดของคนทั่วไป ท่านอ๋องก็เคลื่อนไหวไม่สะดวก ต้องใช้รถม้าหรือให้คนเข็นไปเพคะ”
“ครั้งนี้เราจะทิ้งเก้าอี้เข็นไว้บนรถม้า หม่อมฉันจะให้ท่านขี่หลังหม่อมฉันเอง เช่นนี้เราจะได้ปะปนไปในฝูงชน และปลอดภัยกว่าเพคะ”
ครานี้ร่างกายของหมี่โม่หรู่นิ่งงันไป ดูเหมือนเขาจะพาตนเองมาอยู่ในจุดที่น่าลำบากใจเสียแล้ว ความคิดของหญิงสาวคนนี้ออกจะโลดโผนไปหน่อย แต่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
ชายหนุ่มมองฉินปู้เข่อด้วยสายตานิ่งสงบ เขาวางแขนลงบนไหล่ของหญิงสาว และเอ่ยเตือน “ข้าหนักหน่อยนะ”
“วางใจเถิดเพคะ หม่อมฉันแรงเยอะมาก”
ความหนักที่โถมลงมาบนแผ่นนั้นราวกับมีภูเขาทับอยู่ ร่างกายของนางจึงสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็พยายามยืนขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ
นางลืมไปว่าเจ้าของร่างเดิมเป็นสตรีผู้อ่อนแอ ไม่ใช่ฉินปู่เข่อที่กล้ามเต็มตัววิ่งแบกน้ำหนักได้เป็น 10 กิโลเมื่อชาติที่แล้ว
หมี่โม่หรู่ก็เช่นกัน เห็นขี้โรคแบบนี้ตัวกลับไม่เบาเลย
“ฮ่า ๆๆ ถึงอย่างไรระยะทางก็ไม่ไกล ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อลุกขึ้นด้วยร่างกายสั่นเทา และกระชับตัวหมี่โม่หรู่ขึ้นไปด้านบนอีกหน่อย
เพียงแค่สามสี่ก้าวแรกที่ลำบากเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกหนักแล้ว
“เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าธนูดอกนั้นในวันนี้เป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำล่ะ”
ฉินปู้เข่อหัวเราะเจื่อน ๆ “วันนี้ตาหม่อมฉันกระตุกหนักมากเลยเพคะ ว่ากันว่า ‘ขวาร้าย ซ้ายดี’ ระหว่างทางที่มาเช้านี้ตาขวาหม่อมฉันกระตุกหนักเพคะ หลังจากนั้นก็โดนฮู…เอ่อ อย่างเมื่อครู่ตอนอยู่บนรถม้าตาขวาหม่อมฉันก็กระตุกอีกครั้งเพคะ เพราะฉะนั้นจะถือว่าเป็นสัญชาตญาณก็ได้เพคะ”
น้ำเสียงฉินปู้เข่อยังคงนิ่งเฉยไม่แปรเปลี่ยน แต่หมี่โม่หรู่เห็นอย่างชัดเจนว่าตอนที่นางพูดคำว่า ‘ฮู’ นัยน์ตาใสสกาวของนางหม่นหมองลง และฉายแววโหดเหี้ยมในขณะเดียวกัน
“นี่ไงเพคะท่านอ๋อง ดูสิ เราถึงแล้วเพคะ” ใบหน้าซีดเซียวของฉินปู้เข่อขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเหน็ดเหนื่อย สองขาสั่นโดยไม่รู้ตัว
ขนาดหมี่โม่หรู่ที่ฟุบอยู่บนหัวไหล่นางยังเห็นเลยว่านางกัดกรามแน่น
เมื่อผู้ดูแลตำหนักเห็นพวกเขาทั้งสองคนกลับมาจึงรีบออกมาต้อนรับ และไม่นานก็มีองครักษ์เข็นเก้าอี้เข็นสำรองออกมาจากตำหนัก ฉินปู้เข่อปล่อยเขาลงบนเก้าอี้เข็น จากนั้นนางก็ย่อตัวเล็กน้อย “ในเมื่อตอนนี้ปลอดภัยแล้ว หม่อมฉันขอกลับห้องก่อนนะเพคะ”
“พระชายา…” หมี่โม่หรู่ชี้ผ้าสีเทาเตะตาที่เผยออกมานิดหนึ่งตรงขาของนาง “กระโปรงเจ้าเปื้อนฝุ่น”
“หืม?” ฉินปู้เข่อก้มหน้ากระชากผ้าสีเทาที่หลุดลุ่ยออก พร้อมหัวเราะเบา ๆ “สิ่งนี้เรียกว่า ‘ง่ายต่อคุกเข่า’ เพคะ ใช้มัดไว้กับเข่าวันนี้มันถือว่าปฏิบัติหน้าที่ของมันได้สำเร็จแล้ว”
พูดจบฉินปู้เข่อก็โยนผ้าสีเทาทิ้งลงข้างทางโดยไม่สนใจ ก่อนจะถวายบังคมและกลับเรือนของตนเองไป
“ท่านอ๋อง ท่านบาดเจ็บพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นายหนึ่งมองสีแดงจาง ๆ ตรงหน้าอกหมี่โม่หรู่แล้วปริปากอย่างเป็นห่วง
นี่มัน…
หมี่โม่หรู่มองแผ่นหลังสั่นเทิ้มของฉินปู้เข่อ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย วันนี้นางสวมชุดสีแดงชาด หากมีเลือดซึมออกจากหลังก็ยากที่จะสังเกตเห็น
ภายในห้องหนังสือ หมี่โม่หรู่จับ ‘ง่ายต่อคุกเข่า’ ที่นางทิ้งและตกอยู่ในภวังค์ สิ่งนี้คือที่รองเล็ก ๆ ที่ทำด้วยผ้าสีเทาสองผืนสอดไส้ด้วยฝ้ายบาง ๆ ไว้ ดูจากชื่อและวิธีใช้ก็รู้ว่าเป็นการป้องกันการเจ็บเข่าที่เกิดจากการคุกเข่าเป็นเวลานาน โดยเฉพาะผ้าสีเทาในมือของเขา หลังจากตัดออกด้วยกรรไกรแล้วยังเห็นเศษกระเบื้องแตกสามสี่ชิ้นที่ทิ่มเข้าไปจากด้านนอก
นางเป็นสตรีประเภทไหนกันแน่
คืนนั้นนอนสบายอยู่ในคุกใต้ดิน มิหนำซ้ำยังเล่นไพ่นกกระจอกอีกด้วย หลังจากเห็นเขาก็ร้องห่มร้องไห้ประหนึ่งว่าได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวง
วันนี้ได้รับบาดเจ็บทั้งที่ขาและที่หลัง กลับกัดฟันแน่นไม่ยอมปริปาก
“ข้าน้อยปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ” พวกอู๋เหินปรากฏตัวต่อหน้าหมี่โม่หรู่ด้วยสภาพมอมแมมและดวงตาแดงก่ำ