สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 241 การลอบสังหารจริงและปลอม
บทที่ 241 การลอบสังหารจริงและปลอม
บทที่ 241 การลอบสังหารจริงและปลอม
“หากเจ้าต้องการคำอธิบายจริง ๆ เจ้าอาจจะเหนื่อย” หมี่โม่หรู่หลับตาลงอย่างอ่อนล้า “ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้ารู้สึกว่าการเกิดมาของข้าคือความอัปยศ ข้าทั้งเกลียดชังและโหยหาเขา”
“ในตอนนั้นข้าคิดว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่และพูดอะไรกับข้าบ้าง ข้าก็อาจจะยกโทษให้เขา แต่ต่อมาความคิดนั้นได้หายไป เหลือไว้เพียงความเกลียดชังเท่านั้น และข้าก็รู้สึกว่าทุกสิ่งที่ทำให้ข้าต้องทนทุกข์ล้วนเป็นเพราะเขาทั้งสิ้น”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อข้าเจอเขากับหมิงเอ๋อร์อีกครั้ง ข้าคิดว่าการต้องอยู่ภายใต้อำนาจของเสด็จพ่อและไทเฮาเจิ้งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย และเขาไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ”
“ข้าไม่เกลียดเขาแล้ว แต่มองเขาเฉกเช่นคนแปลกหน้า ข้าไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร แต่ข้าไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมที่นี่อีกต่อไป ข้าแค่ต้องการพาเจ้ากับลูกกลับบ้านและใช้ชีวิตอย่างปกติสุข”
“เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่า ‘ไม่อยากเป็นสตรีที่เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์’ ตอนนี้ความปรารถนาของเจ้าได้เป็นจริงแล้ว”
ฉินปู้เข่อโอบแขนรอบเอวเขาพลางฟังเสียงหัวใจเต้นผะแผ่วในอกของเขาอย่างเงียบ ๆ นางรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ปลอบโยนเขาอีกต่อไป
“หม่อมฉันแค่หวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของท่านจะไม่ได้มาจากความหุนหันพลันแล่นหรือความสุดโต่ง ท่านจะได้ไม่เสียใจภายหลัง”
หมี่โม่หรู่จุมพิตหน้าผากของนาง ‘ไม่เสียใจหรอก’ เขาจะไม่มีวันเสียใจตราบใดที่ได้อยู่กับนางและลูก
ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นมีรถม้าต่อแถวยาวที่หน้าประตูตำหนักอ๋องหลี่ชิน แม้ว่าหมี่โม่หรู่จะไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท แต่ในช่วงนี้เขามีประสบการณ์ในการทำสิ่งต่าง ๆ ในราชสำนักมากมาย และมีผลงานทางการเมืองที่ยอดเยี่ยม หลังจากที่หมี่เหิงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว เขายังคงมีท่าทีสงบนิ่ง ทำให้สามารถดึงดูดความชื่นชมจากเหล่าข้าราชบริพารชั้นสูงได้มากมาย
นอกจากนี้เขายังมีความสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ ไม่ถ่อมตัวและไม่เย่อหยิ่ง ขุนนางหนุ่มจำนวนมากจึงเต็มใจที่จะผูกมิตรกับอ๋องผู้ซื่อตรงเช่นนี้
ส่งผลให้ข้าหลวงจำนวนมากมาร่วมแสดงความยินดีกับเขาในพิธีฉลองวันเกิดพระจันทร์เต็มดวง
ฉินปู้เข่อที่แต่งตัวเรียบร้อยมองดูเด็กที่แม่นมอุ้มอยู่และอดสงสัยไม่ได้ นางรู้ว่าเด็กคนนี้คือลูกบุญธรรมของหมี่โม่หรู่ ซึ่งเขารับมาเลี้ยงจากบ้านคนอื่นล่วงหน้าครึ่งเดือน เพื่อให้ทันพิธีพระจันทร์เต็มดวง
“พ่อแม่ของเด็กน้อยคนนี้เต็มใจยอมทิ้งลูกตัวเองหรือ?” นางอดนึกถึงหมิงเอ๋อร์ของนางไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ นางคงไม่มีวันเต็มใจยกลูกให้ใครแน่นอน
หมี่โม่หรู่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่จึงปลอบนาง “ครอบครัวของเด็กคนนี้ยากจนนัก เขามีพี่ชายและน้องสาวอีกสี่หรือห้าคน เดิมทีพวกเขาต้องการเลี้ยงเด็กคนนี้จนกว่าเขาจะอายุสี่หรือห้าขวบแล้วส่งเข้าวัง ข้าจึงซื้อตัวเขามา”
“หลังจากคำนวณอย่างรอบคอบแล้ว เขาอายุมากกว่าหมิงเอ๋อร์ของเราสามหรือสี่วัน ข้าวางแผนที่จะเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ในตำหนักและปล่อยให้เขาเติบโตไปพร้อมกับหมิงเอ๋อร์ เมื่อเขายังเป็นเด็กก็จะให้เรียนด้วยกัน และเมื่อเขาโตขึ้น ข้าก็จะดูว่าเขาจะสามารถฝึกวิทยายุทธได้หรือไม่”
“ท่านช่างคิดกว่าหม่อมฉันเสมอ” ฉินปู้เข่อรับเด็กน้อยมาอุ้ม เมื่อเขาถูกลิขิตให้อยู่เคียงข้างกันก็ย่อมดีกว่าเข้าวังไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม
หญิงสาวกลายเป็นแม่แล้ว ฉินปู้เข่อเห็นลูกชายคนโตแล้วก็รู้สึกเอ็นดูยิ่งนัก และแสดงความรักของมารดาอย่างใกล้ชิดตามสัญชาตญาณ
“เด็กคนนี้หนักกว่าหมิงเอ๋อร์ของเรา ทั้งยังดูมีชีวิตชีวาและร่าเริง” นางประมาณน้ำหนักเด็ก และเด็กน้อยในอ้อมแขนของนางก็คลี่ยิ้มและหรี่ตามองนาง “ท่านตั้งชื่อเขาหรือยังเพคะ?”
“คำเดียวคือ ‘อวี๋’ ในตอนที่ข้าซื้อเขามา ข้าขอให้คนช่วยคำนวณวันเกิดเขาแล้ว และเมื่อหมิงเอ๋อร์กลับมา ข้าจะให้สกุล ‘สยง’ แก่เขา” เพื่อซ่อนเร้นสายตาและหูของคนอื่น หมี่โม่หรู่จึงไปเยี่ยมเด็กคนนี้ทุกวัน และหลังจากที่ได้เขาได้เจอหมิงเอ๋อร์ เขาก็เป็นคนรักเด็กมาก
ฉินปู้เข่อตกใจมาก สกุลหมี่คือสกุลของราชวงศ์ และ ‘สยง’ เป็นสกุลย่อยของสกุล ‘หมี่’ ดูเหมือนว่าเขาจะรักลูกคนนี้ยิ่งนัก
ทั้งสองเดินไปที่ห้องชั้นนอกเพื่อพบปะสนทนา ขณะนี้มีแขกจำนวนมากอยู่ในลานตำหนัก ฉินปู้เข่อมอบเด็กให้กับแม่นมและตามหมี่โม่หรู่ไปทักทายเหล่าญาติที่เป็นสตรี
พระอาทิตย์ตกดินและความมืดยามราตรีก็เคลื่อนคล้อยเข้ามา ฉินปู้เข่อรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจากต้อนรับและสนทนากับแขกทั้งวัน
“วันนี้มีคนมาเยอะเกินไป หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะ” ตอนนี้ญาติที่เป็นสตรีส่วนใหญ่กลับไปแล้ว และมีเพื่อนร่วมงานอีกสองสามคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหมี่โม่หรู่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมายังคงอยู่
ดวงตาของหมี่โม่หรู่เป็นประกาย เขาโอบเอวของนางไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งแล้วดึงนางไปทางสวนเฉินอวี้ “หากเจ้าเหนื่อยก็พาเสี่ยวอวี๋ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าเดาว่าข้าคงจะยุ่งอยู่ที่นี่อีกสักพัก”
“เพคะ”
เมื่อเห็นนางเข้าไปในตำหนักแล้ว หมี่โม่หรู่ก็โบกมือและเรียกอู๋เหินและอู๋หัว “จัดคนสามสิบคนเพื่อป้องกันตำหนัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ต้องไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เหินรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น และรีบนำสามสิบสุดยอดปรมาจารย์ในตำหนักไปประจำการใกล้สวนเฉินอวี้
ทันทีที่หมี่โม่หรู่เดินไปที่ห้องโถงใหญ่ นางกำนัลก็รีบมาบอกว่า “ฮ่องเต้เสด็จมาแล้วเพคะ”
ก่อนที่หมี่โม่หรู่จะไปถึงประตู ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็เดินเข้ามาเอง เขาแต่งกายด้วยชุดลำลอง เมื่อเหล่าข้าหลวงในห้องโถงใหญ่จำเขาได้ก็ลุกขึ้นทำความเคารพ
ขณะนั้นเหล่าข้าหลวงล้วนมีความคิดเดียวกันอยู่ในใจคือ องค์ชายน้อยสามารถทำให้ฮ่องเต้เสด็จมาด้วยตนเองได้ ซึ่งดูเหมือนว่าตำแหน่งขององค์ชายอาจจะยังเปลี่ยนแปลงได้
“หลานตัวน้อยของข้าอยู่ที่ใด พามาให้ข้าดูหน่อย” หลังจากนั่งลงแล้ว ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็กวาดสายตามองฝูงชนและพูดอย่างเคร่งขรึม
หมี่โม่หรู่ยืนอยู่ข้างเขาและโค้งคำนับเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะเสด็จมาที่นี่ในตอนกลางคืน ข้าได้ส่งคนไปเรียกพระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ในพิธีฉลองพระจันทร์เต็มดวงวันนี้ ข้าย่อมต้องการมาเจอหลาน และมอบของกำนัลแสดงความยินดีเป็นธรรมดา” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยโบกมือ และกล่องผ้าก็ถูกองครักษ์ฝ่ายในยกมาให้
เขาเอื้อมมือไปเปิดกล่องผ้า แต่ข้างในยังคงว่างเปล่า
เหล่าข้าหลวงที่อยู่ใกล้ ๆ งงเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าลืมใส่ของกำนัลลงไป?!
ขณะที่ทุกคนคิดเช่นนั้น ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็ปลดจี้หยกที่เอวของเขาแล้วใส่ลงในกล่องผ้า ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือสิ่งที่คู่ควรกับองค์ชายน้อยของโม่หรู่”
บัดนี้เหล่าข้าหลวงไม่อาจปกปิดความตกใจได้ ทั้งหมี่เซวียนคนก่อนและหมี่เหิงคนปัจจุบันไม่เคยได้รับสิ่งของส่วนตัวของฮ่องเต้ แต่บัดนี้ฮ่องเต้ได้มอบจี้หยกที่สวมใส่มานานหลายทศวรรษให้กับองค์ชายน้อยผู้เป็นลูกชายของอ๋องหลี่ชิน
การกระทำดังกล่าวไม่ได้หลีกเลี่ยงสายตาของบุคคลภายนอก และดูเหมือนจะยังไม่ชัดเจนว่าในอนาคตฮ่องเต้จะเข้าร่วมกับใคร
เมื่อทุกคนกลับมารู้สึกตัว ประตูห้องโถงใหญ่ที่ปิดไว้ก็ถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างแรงจนเปิดออกครึ่งหนึ่ง เมื่อทุกคนมองดูอย่างตั้งใจก็พบว่าจริง ๆ แล้วเป็นร่างขององครักษ์ประจำตำหนักที่มีคมดาบปักอยู่ที่หน้าอก เขานอนหงายนัยน์ตาเบิกโพลง ร่างกายของเขากระตุกตลอดเวลาก่อนจะสิ้นลมหายใจไปทันที
“มีผู้ลอบสังหาร!” เสียงขององครักษ์ที่อยู่นอกประตูดังขึ้น
หมี่โม่หรู่ตกใจและรีบให้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยหลบไปข้างหลังเขา “เสด็จพ่อรีบไปที่สวนหลังตำหนัก เร็วเข้า! ปกป้องฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมีความเป็นผู้ใหญ่และสงบสติอารมณ์ได้ เขาเอื้อมมือไปหยิบกล่องผ้าที่บรรจุจี้หยกส่งให้หมี่โม่หรู่ “พ่อจะไปพร้อมกับผู้คน แต่อย่าให้พระชายาและองค์ชายน้อยออกมา”
หมี่โม่หรู่ถือกล่องผ้าไว้ในอ้อมแขนและตื่นตระหนก “เร็วเข้า ไปที่สวนเฉินอวี้!”
แม้ว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยจะเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์ แต่ก็พาองครักษ์ส่วนตัวรอบกายมามากมาย บัดนี้เขาถูกกลุ่มคนล้อมรอบและค่อย ๆ ถอยไปที่สวนหลังตำหนัก
ทันทีที่เดินมาถึงสวนหลังตำหนัก ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็เห็นฉินปู้เข่อเพิ่งเดินออกจากตำหนักมาไม่ไกล นางอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนและเตรียมจะกลับไปยังสวนเฉินอวี้ ภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์
“พวกเจ้าสองสามคนจงไปดูแลความปลอดภัยของพระชายาและองค์ชายน้อย” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยชี้ไปที่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาและส่งคนห้าคนออกไป
เมื่อครู่นี้ฉินปู้เข่อได้ยินว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยเสด็จมา นางจึงรีบห่อเด็กและอุ้มออกมาเพื่อจะพาไปพบ หลังจากออกจากตำหนัก นางก็เห็นว่าบรรยากาศในตำหนักตึงเครียดขึ้นมาทันที และมีองครักษ์หลายคนอยู่ที่ทางเข้าสวนเฉินอวี้
แม้ว่านางจะถามซวงหวนหลายครั้งติดต่อกัน แต่ทุกครั้งนางก็ตอบว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี” แต่ความตื่นตระหนกที่แผ่ซ่านอยู่ในใจของนางทำให้นางกระสับกระส่าย
มีความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนตอนที่ถูกล้อมรอบด้วยกองทัพของหมี่เซวียนเมื่อเดือนที่แล้ว
มีมือสังหารในตำหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหมี่โม่หรู่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย และคิดว่าจะพามือสังหารบางส่วนไปยังทิศทางที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยออกไปตามแผน
แต่หลังจากการต่อสู้หลายครั้ง หมี่โม่หรู่ก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
มือสังหารในแผนการลอบสังหารปลอมที่เขาเตรียมไว้นั้นปะปนกับมือสังหารตัวจริง และเป้าหมายของการลอบสังหารของมือสังหารเหล่านี้ไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นเขา
จะต้องให้ฉากโศกนาฏกรรมเมื่อเดือนที่แล้วซ้ำรอยอีกแล้วหรือ
หมี่โม่หรู่ยังคงต่อสู้กลับพะวงถึงสถานการณ์ในสวนเฉินอวี้อยู่ในใจ ไม่นานนักเขาก็ถูกศัตรูจู่โจมจนกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว
เสียงการต่อสู้จากนอกตำหนักอยู่ใกล้แค่เอื้อม ฉินปู้เข่อถูกขังอยู่ในห้อง นางไม่ทราบถึงเจตนาดั้งเดิมของหมี่โม่หรู่และการเปลี่ยนแปลงที่ตามมา นางหวังแค่ว่าครั้งนี้จะมีผู้บาดเจ็บล้มตายในตำหนักของอ๋องหลี่ชินไม่เยอะเกินไป
ด้วยความตื่นตระหนก จู่ ๆ นางก็นึกถึงคำพูดที่นางตะโกนออกมาตอนที่ไม่ค่อยมีสติในคืนนั้นได้
ก่อนที่นางจะมีเวลาได้คิด ฉินปู้เข่อก็นำหยกแตกออกมาและจำลองเหตุการณ์ในขณะนั้น นางกรีดนิ้วตัวเองแล้วหยดเลือดลงบนหยกแตก แต่พบว่าหยกแตกไม่ตอบสนอง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็คิดประเด็นสำคัญขึ้นมาได้ ในวันนั้นหยกแตกเปื้อนเลือดของนางและเลือดของหมิงเอ๋อร์ ตอนนี้นางเกรงว่าจะมีเพียงโม่หรู่เท่านั้นที่สามารถเรียก ‘อี้เฉียนเซียว’ ได้
“ซวงหวน ปล่อยข้าออกไป” ทันทีที่นางเดินไปที่ประตู นางก็ถูกซวงหวนขวางไว้ วันนี้ไม่ว่านางจะพูดอะไร นางกำนัลผู้นี้ก็จะหยุดที่ประตูและไม่ยอมให้นางออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
ฉินปู้เข่อโกรธจัด หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้วนางก็แสร้งทำเป็นยอมแพ้ และหยิบชาเทพเจ้าในระบบส่งให้ซวงหวน
เมื่อเห็นเช่นนี้ซวงหวนก็ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลย นางรับชาแล้วดื่มทันที
เมื่อเห็นนางนอนสลบไสลยู่บนพื้น ฉินปู้เข่อก็รีบส่งเด็กให้แม่นมและสวมเสื้อผ้าของซวงหวน ก่อนจะแอบออกจากสวนเฉินอวี้
เมื่อนางออกจากตำหนักมาแล้ว นางก็เห็นภาพที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้งในตำหนัก องครักษ์และมือสังหารอยู่ในตำหนักทุกหนทุกแห่ง
หมี่เฉินอี้และหมี่ฉงย่อมถือว่าสถานที่แห่งนี้เป็นตำหนักของพวกเขาเองจึงช่วยกันสู้ ทว่าบัดนี้หมี่โม่หรู่หายตัวไป
ขณะที่นางกำลังมองหาหมี่โม่หรู่ไปทั่วตำหนัก นางก็เห็นจากระยะไกลว่าเขาเดินโซเซไปยังสวนเฉินอวี้โดยมีเลือดท่วมกาย
เมื่อนางรีบวิ่งไปข้างหมี่โม่หรู่ภายในไม่กี่ก้าว นางก็พบว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากการถูกแทงหลายครั้ง อาการบาดเจ็บนั้นรุนแรงมาก และมันเป็นพลังเฮือกสุดท้ายของเขาที่ใช้ป้องกันสวนเฉินอวี้ไว้ได้
ไม่มีเวลาที่จะรู้สึกเศร้าและตื่นตระหนก ฉินปู้เข่อวางจี้หยกแตกไว้บนหน้าอกของเขาที่ยังคงมีเลือดไหลทะลักออกมา และเปล่งเสียงสามคำออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “อี้เฉียนเซียว”
ภายในชั่วพริบตา ทหารหลายคนที่ไม่เคยพบมาก่อนก็ปรากฏตัวขึ้นรอบสวนเฉินอวี้
คนที่เป็นหัวหน้าเดินมาข้างฉินปู้เข่อและมองนางอย่างระมัดระวัง จากนั้นมองไปที่หมี่โม่หรู่ที่นอนหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของนาง แล้วครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
“จุ๊ สาวน้อย เจ้าเรียกพวกเรามาช้าเกินไป เกรงว่าเขาจะไม่รอดแล้ว”
………………………………………………………………………….