สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 243 เปิดเผยตัวตน
ตอนที่ 243 เปิดเผยตัวตน
ตอนที่ 243 เปิดเผยตัวตน
“ไปเรียกท่านเฟิงมาที่นี่” ทันทีที่เสียงของหมี่อี้เหิงดังขึ้น เงามืดในตำหนักก็กระโจนออกไปทันที
หมี่อี้เหิงลากหมี่เฉินอี้เข้าไปในห้องแล้ววางเขาบนเก้าอี้ยาว หยิบกรรไกรขึ้นมาตัดเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่ติดอยู่บนร่างกายของเขา เผยให้เห็นบาดแผลจากคมดาบอันน่าสะพรึงกลัวทั่วร่างกำยำของเขา
หลังจากทำความสะอาดบาดแผลที่เต็มไปด้วยเลือดออกอย่างระมัดระวังแล้ว รอยแผลเป็นจากบาดแผลเก่าบนร่างกายของเขาก็ถูกเปิดเผย
หมี่อี้เหิงเลิกคิ้วและเหลือบมองหมี่เฉินอี้ เขาค่อย ๆ รวมใบหน้าในวัยหนุ่มที่มีเสน่ห์ของเขาเข้ากับใบหน้าเด็กน้อยในความทรงจำของเขา
‘ฟึ่บ!’ ทันใดนั้นเขาก็โยนผ้าฝ้ายเปียกในมือลงบนพื้น ก่อนจะหยิบยารักษาแผลสีทองบนถาดทาลงบนบาดแผลของหมี่เฉินอี้อย่างหยาบ ๆ โดยไม่สนใจว่าคนเจ็บจะเจ็บปวดหรือไม่
บาดแผลของหมี่เฉินอี้ที่หมดสติไปถูกกระตุ้น แขนขาของเขาจึงตอบสนองด้วยการกระตุก และคิ้วของเขาก็ขมวด
หมี่อี้เหิงพูดเยาะเย้ย “ตอนนี้รู้แล้วสินะว่ามันเจ็บ ตอนนั้นใครกันที่อวดดีตะโกนว่าอยากเข้าร่วมกองทัพ! เหตุใดไม่โดนฟันจนตายในสนามรบไปเลยเล่า!”
“นายท่าน ท่านเรียกข้าน้อยใช่หรือไม่” เฟิงเหรินเยี่ยมาถึงประตูพร้อมกับกล่องยา
“เข้ามา” หมี่อี้เหิงวางยารักษาแผลสีทองในมือของเขา แล้วเดินไปที่อ่างทองแดงเพื่อล้างมือ
เฟิงเหรินเยี่ยรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นผู้บาดเจ็บอยู่บนเก้าอี้ยาว เพื่อไม่ให้สายเกินไป เขาจึงรีบทายาแล้วพันแผลด้วยผ้าพันแผล และเขียนใบสั่งยาก่อนจะเรียกคนมารับยาและปรุงยาให้
เมื่อเห็นว่าเขากำลังยุ่งมาก หมี่อี้เหิงก็ไม่ได้เอ่ยคำใดและเดินออกจากห้องพร้อมกับเสื้อคลุมในมือ
ชายชุดดำกระโจนขึ้นมากระซิบข้างหูของเขา “ตำหนักอ๋องหลี่ชินถูกโจมตี ยังไม่รู้แน่ชัดถึงความเป็นความตายของฮ่องเต้และอ๋องหลี่ชินและ ‘อี้ควนเซียว’ ก็ถูกเรียกไปจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพบตัวมือสังหารหรือไม่” ความตื่นตระหนกของหมี่อี้เหิงเกิดขึ้นทันใด ใบหน้าของเขาซีดเผือด และหากเขาสามารถเรียก ‘อี้ควนเซียว’ ออกไปได้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเลือดออก
ความกังวลที่อธิบายไม่ได้และความคับข้องใจที่เกิดจากการที่เขาถูกโจมตีก่อน ทำให้หมี่อี้เหิงรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้เล็กน้อย นิ้วมือข้างซ้ายของเขาเริ่มสั่น และแขนภายใต้เสื้อของเขาค่อย ๆ ชาวาบขึ้น
“ดูเหมือนจะเป็นคนสองกลุ่ม โดยกลุ่มที่ทำร้ายอ๋องหลี่ชินเป็นทหารวังหน้า”
“หมี่เหิงหรือ!?” หมี่อี้เหิงหรี่ตาเล็กน้อย ร่องรอยของรังสีอำมหิตฉายแววในดวงตาของเขา ความเจ็บปวดและอาการชาที่แขนของเขาแย่ลงไปอีก เขาพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก”
ชายชุดดำก้มศีรษะลงและไม่ได้เอ่ยคำใด เขาเหลือบไปเห็นแขนเสื้อที่สั่นเล็กน้อยและหลังมือซ้ายที่มีแสงสีน้ำเงินฉายออกมาดั่งแสงจันทร์ เขาจึงรีบเข้าไปในตำหนักแล้วหยิบถ้วยน้ำชาออกมา จากนั้นก็หยิบกริชมากรีดเข้าที่ข้อมือจนเป็นแผลลึก เลือดสีแดงฉานทะลักออกจากบาดแผลทันทีและไหลลงสู่ถ้วยชา
“นายท่านโปรดระงับพิษก่อน”
หมี่อี้เหิงหยิบถ้วยชามาดื่มเลือดที่อยู่ข้างใน ความเจ็บปวดและอาการชาที่แขนของเขาค่อย ๆ บรรเทาลง และมือซ้ายที่เรืองแสงของเขาก็ค่อย ๆ กลับเป็นปกติ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หมี่อี้เหิงก็พูดอย่างแช่มช้าว่า “จงเฝ้าดูตำหนักอ๋องหลี่ชินไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นใครก็อย่าให้ออกมาได้แม้แต่ก้าวเดียว”
ชายชุดดำลังเล “รวมไปถึง…” ฮ่องเต้ด้วยหรือ
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อย่าปล่อยให้ออกมาได้” หมี่อี้เหิงบีบฝ่ามือซ้ายของตนแล้วสั่งว่า “แล้วไปเรียกผู้สูงศักดิ์จากวังหน้ามาด้วย”
“รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ในชั่วพริบตาก็เหลือเพียงหมี่อี้เหิงที่อยู่ในตำหนัก
กลับมาที่ห้อง เฟิงเหรินเยี่ยได้รักษาบาดแผลของหมี่เฉินอี้อย่างถูกต้องแล้ว และเมื่อเจ้านายเดินเข้ามา เขาก็หยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วพูดว่า “ส่วนใหญ่เป็นบาดแผลที่ทำให้เสียเลือดมากเกินไป ในอีกสองสามวันข้างหน้าจะมีสัญญาณของการจับไข้ หากดูแลอย่างถูกวิธีก็จะไม่อันตรายถึงชีวิต”
“พาเขาไปห้องของเจ้าเถิด” หมี่อี้เหิงเหลือบมองหมี่เฉินอี้ที่หน้าซีดเผือด และอดคิดถึงอีกสองคนที่ได้รับบาดเจ็บในคืนนี้ไม่ได้
“พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเฟิงเหรินเยี่ยได้ยินเช่นนั้นก็กวักมือเรียกคนให้มาช่วยพาหมี่เฉินอี้ออกไป
บัดนี้ห้องที่ปิดหน้าต่างไว้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด หมี่อี้เหิงจึงเดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดหน้าต่างออก เมื่อลมกลางคืนพัดเข้ามาอย่างแผ่วเบา ในไม่ช้าอากาศในห้องก็สดชื่นขึ้นมาก
“นายท่าน ท่านผู้สูงศักดิ์มาถึงแล้วเพคะ” เสียงของเอ้อร์ฮ่วยดังขึ้นที่หน้าประตู
หมี่อี้เหิงเดินกลับไปหลังม่านหนาแล้วนั่งลง
‘เอี๊ยด’ เสียงประตูเปิดดังขึ้น
หมี่เหิงเดินมาที่ห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็ว แล้วพยักหน้าเล็กน้อยไปทางม่านเพื่อทำความเคารพ
“ดูเหมือนว่าคืนนี้องค์ชายสองจะมีความสุขยิ่งนัก”
หมี่เหิงเลิกคิ้วแล้วตอบว่า “ก็ท่านกุนซือช่วยให้ข้าได้ตำแหน่งองค์รัชทายาท ฉะนั้นข้าย่อมมีความสุขอยู่แล้ว”
“วันนี้ท่านได้ไปทำร่วมพิธีฉลองพระจันทร์เต็มดวงที่ตำหนักอ๋องหลี่ชินหรือไม่” น้ำเสียงของหมี่อี้เหิงมีความประชดประชันเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้แค่ไปที่นั่นเท่านั้น แต่ยังได้รับชมการแสดงที่ดีอีกด้วย! เสด็จพ่อได้มอบจี้หยกส่วนตัวให้กับเด็กที่เพิ่งอายุครบรอบพระจันทร์เต็มดวง! หากไม่ใช่เพราะวังได้เตรียมการไว้ในคืนนี้ ข้าก็เกรงว่า…”
น้ำเสียงของหมี่เหิงเริ่มขุ่นเคืองเล็กน้อย เมื่อพูดได้ครึ่งหนึ่งเขาก็รีบหยุดการสนทนาไว้แล้วหัวเราะเบา ๆ “เมื่อก่อนท่านกุนซือเมินเฉยต่อเรื่องราวภายนอก และในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมากิจการในตำหนักของอ๋องหลี่ชินก็มีความเคลื่อนไหวมากขึ้นเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านกุนซือจะนึกเสียใจอยู่ และรู้สึกว่าข้าอยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าไปในตำหนักบูรพาได้?”
ความหวาดเกรงที่มุ่งเป้าไปนั้นเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีหมี่เหิงที่พำนักอยู่ในตำหนักบูรพาอารมณ์ดีติดต่อกันหลายวันแล้ว แต่หลังจากที่ได้เจอเหล่าข้าหลวงในตำหนักอ๋องหลี่ชินในวันนี้ และทราบว่าเสด็จพ่อของเขาได้มอบจี้หยกส่วนตัวให้กับเด็กน้อย เขาก็ไม่อาจอยู่ได้โดยปราศจากความคิด
แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็เห็นได้ว่าหัวใจของทุกคนต้องการให้หมี่โม่หรู่เป็นองค์รัชทายาท แต่เขาคาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาของเขาจะคิดเช่นนั้นด้วย มิฉะนั้นเขาจะเห็นคุณค่าขององค์ชายน้อยผู้นี้มากได้อย่างไร!
“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ท่านโจมตีตำหนักอ๋องหลี่ชินในคืนนี้ และลอบสังหารฮ่องเต้และอ๋องหลี่ชิน” หมี่อี้เหิงค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินออกไปอย่างแช่มช้า “หรือท่านคิดเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกที่ท่านได้เป็นองค์รัชทายาท?”
ความรู้สึกถูกกดขี่อย่างอธิบายไม่ถูกแผ่ออกมาจากชายตรงหน้า แต่หมี่เหิงก็ยังคงยกยิ้มอย่างพอใจ “ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามแผนการของท่านกุนซือ และข้าก็อดทนมานานหลายปีแล้ว! ในตอนแรกหมี่เซวียนพึ่งพาอำนาจของฮองเฮา ดังนั้นข้าจึงย่อมไม่อาจพูดอะไรได้”
“แต่ตอนนี้คู่ต่อสู้คือหมี่โม่หรู่ มันไม่ง่ายไปหรอกหรือ อ๋องที่ยังคงเป็นที่สงสัยเรื่องสายเลือดในราชวงศ์ แล้วเหตุใดเสด็จพ่อต้องมีเขาอยู่ในสายตาด้วยล่ะ! หากมีอำนาจแต่กลับทำราวกับปราศจากอำนาจ ครอบครัวของเสด็จแม่ก็จะเสื่อมถอยเช่นกัน หากเขามีโอกาสดีที่จะโจมตีข้า แล้วเหตุใดข้าต้องให้โอกาสเขาสู้กลับด้วยล่ะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ชายที่ยกม่านลูกปัดขึ้นหัวเราะออกมาดังลั่น
เมื่อเห็นร่างสูงในความมืด หมี่เหิงก็รู้สึกคุ้นเคยด้วยเหตุผลบางอย่าง จากนั้นเขาก็คิดว่ากุนซือผู้นี้อยู่ตรงหน้าเขามาสองปีแล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยหรือ
ทว่ามีความรู้สึกเลือนรางในใจของเขาว่าในตอนที่กุนซือผู้นี้ยืนตัวตรง เขาช่างดูเหมือนใครบางคนยิ่งนัก
“ท่านกุนซือหัวเราะอะไร” หมี่เหิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับเสียงหัวเราะ “ข้ารู้ว่าข้าไม่ได้แจ้งท่านกุนซือเรื่องการกระทำในคืนนี้ และทำให้ท่านกุนซือค่อนข้างไม่พอใจ แต่ท่านกุนซืออย่าลืมว่าสุดท้ายแล้วท่านก็เป็นกุนซือ และข้าคือเจ้านายของท่าน!”
หมี่อี้เหิงหยุดหัวเราะและก้าวเดินต่อไปในแสงสลัว ร่างของเขาเข้าใกล้หมี่เหิงมากขึ้นเรื่อย ๆ
“วันนี้ท่านมีรังสีอำมหิตของปรมาจารย์ ไม่เลวเลย” หมี่อี้เหิงเปิดม่านลูกปัดชั้นสุดท้าย ทั้งร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีบางอย่าง “ข้าเพียงแค่อยากรู้เล็กน้อยว่าท่านเอาความมั่นใจจากไหนถึงได้คิดแตะต้องชีวิตของท่านอ๋อง”
…………………………………………………………………………………..