สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 247 พบเจอ
บทที่ 247 พบเจอ
บทที่ 247 พบเจอ
“ควบคุมได้แล้วอย่างนั้นหรือ? ฮึ่ม อย่ามารายงานข้าเช่นนี้!” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยที่พยายามข่มความโกรธแค้นเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเริ่มจะทนไม่ไหว “จะรอดหรือไม่รอด”
“ท่านอ๋องมีบาดแผลมากมายและได้รับการรักษาด้วยการห้ามเลือดและการฆ่าเชื้อแล้ว ส่วนจะฟื้นเมื่อใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของท่านอ๋องเองพ่ะย่ะค่ะ” หมอเฒ่าหลุบตาลงต่ำและพูดเชิงป้องกันตัวเอง
สถานการณ์เมื่อคืนทำให้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยเหนื่อยใจ เขาหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาโยนลงบนพื้น “ลงไป ออกไปจากที่นี่ให้พ้นหน้าข้า!”
คนในห้องหลายคนรีบออกจากห้องไปทีละคนด้วยความตกใจ
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมองห้องที่ว่างเปล่าและถอนหายใจยาว จิตใจของเขาว้าวุ่นตั้งแต่ตอนที่เขาเห็น ‘อี้เฉียนเซียว’ และได้ยินว่าคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่
แต่ความวุ่นวายนี้ดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ฝ่าบาท ในตำหนักบูรพาไม่มีผู้ใดอยู่ และไม่พบร่องรอยขององค์รัชทายาทเลยพ่ะย่ะค่ะ” บัดนี้องครักษ์ที่เพิ่งได้รับคำสั่งจากเขาให้ไปตามหาหมี่เหิงกลับมาถึงแล้ว และนำข่าวดังกล่าวมารายงาน
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยนวดขมับที่ปวดหนึบของตน
“ไม่พบร่องรอยเลยก็แสดงว่าคงกำลังหนีหรือฆ่าตัวตายไปแล้ว เป็นไปได้หรือว่าคนตัวใหญ่จะหายตัวไปได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม?!” เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้น องครักษ์ที่อยู่หน้าประตูพยายามหายใจให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้ตนต้องเผชิญกับความหายนะ
“ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง! แล้วพวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร!” อารมณ์ของคนในห้องยังคงเดือดพล่านอยู่
เมื่อหมี่เฉินอี้ที่เข้ามาจากด้านนอกเห็นว่าทหารในลานตำหนักเงียบกริบ และบรรยากาศก็ตึงเครียด เขาจึงโบกมือให้ทุกคนออกไป
เมื่อองครักษ์เหล่านั้นเห็นว่ามีคนมารอรับเคราะห์แทนพวกเขาแล้ว ก็รีบถอยออกไปด้วยความโล่งใจ
“เสด็จพี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด” หมี่เฉินอี้เปิดประตูแล้วเดินเข้าไป แล้วเลือกยืนอยู่ตรงบริเวณเปิดโล่งที่ไม่มีกระเบื้อง
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยเลิกคิ้ว แล้วเหลือบมองแขนที่ถูกผูกห้อยอยู่กับคอของเขาและกล่าวว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าได้รับการรักษาแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดเจ้าได้รับบาดเจ็บแล้วไม่กลับไปพักผ่อน เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“เมื่อสักครู่นี้ข้าได้ยินเสด็จพี่บอกว่าเจ้าสองหายตัวไปแล้วหรือ?”
“อืม เขาคงรู้ตัวว่าทำผิดจึงหนีไปซ่อน” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ตอนแรกข้าคิดว่าเขาอ่อนน้อมถ่อมตนมาหลายปี แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มขอตำแหน่งองค์รัชทายาทจากข้า ด้วยความรับผิดชอบและความก้าวหน้าของเขา ข้าจึงไม่คิดว่ามันยากเกินไป แล้วเขาก็ลงดาบข้าโดยตรง”
หมี่เฉินอี้พูดซ้ำอีกว่า “เสด็จพี่จะทำอย่างไรหากพบเจ้าสอง”
“จะทำอย่างไร จะยังทำอย่างไรได้อีก?!” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยยังไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่ดีจริง ๆ ในเวลาเพียงหนึ่งหรือสองเดือน องค์รัชทายาททั้งสองกลับกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ทำให้มีการประณามกันภายในราชสำนักอย่างต่อเนื่อง และเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ต้องถูกนำออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทุกวันแน่!
ช่างน่าอัปยศ!
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยสาปแช่งอย่างรุนแรง แต่ก็ยังไม่ส่งหนังสือรับรอง
“ในเมื่อฝ่าบาทไม่คิดจะลงโทษเขา แล้วเหตุใดไม่ปล่อยให้ข้าจัดการเล่า?” เสียงอ่อนโยนและค่อนข้างผ่อนคลายของชายวัยกลางคนดังมาจากนอกประตู
ราวกับว่าหินก้อนเล็กถูกโยนลงไปในทะเลสาบอันสงบนิ่งจนทำให้เกิดระลอกคลื่น ฮ่องเต้ต้าเซี่ยไม่เชื่อหูตัวเองและมองไปที่ประตู ก่อนจะมองหมี่เฉินอี้ข้างเขาด้วยความตื่นตระหนก
“อาเฉิน เจ้าได้ยินอะไรหรือไม่”
หมี่เฉินอี้เม้มปาก “มันก็แค่เสียงของอา…” เขาพูดคำว่า ‘อาเหิง’ อย่างรวดเร็วและไม่ชัดเจนด้วยความรู้สึกผิด
“ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะเบา ๆ ลอยเข้าหูของเขา และหมี่อี้เหิงก็ค่อย ๆ เดินมาที่ประตู “พอข้ากล้าพูดออกไปอย่างชัดเจนก็ยังคงคลางแคลงใจอีก เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ผ้าคลุมสีดำถูกเปิดออก ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยลุกขึ้นยืนทันทีและก้าวไปที่ประตูสองก้าว จากนั้นก็หันหลังให้บัลลังก์แล้วเดินไปมาหลายครั้ง และในที่สุดก็นั่งหลังตรงอยู่บนบัลลังก์
“มานี่สิ” เหตุใดจึงมาเร็วนัก เพิ่งได้ข่าวเขาเมื่อคืนนี้แต่บัดนี้เขาก็มาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเวลาเตรียมตัวตอบโต้เลย
“อืม” หมี่อี้เหิงยกเท้าก้าวเข้ามาในห้องและไม่มีท่าทีชะงักเลย ราวกับว่าเขาเพิ่งพบกับฮ่องเต้ต้าเซี่ยเมื่อวานนี้
หมี่เฉินอี้หยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมารินน้ำชาให้เขาอย่างสุภาพ แล้วส่งให้ตรงหน้าเขา “ชา”
หมี่อี้เหิงจิบชา ความร้อนทำให้ฟันของเขาร้อนจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าสองอยู่กับข้า และข้าก็ลงโทษเขาเล็กน้อย”
“อืม” พระหัตถ์ของฮ่องเต้ต้าเซี่ยถูไปมาบนที่วางแขนของบัลลังก์ และดูเหมือนว่าสายตาของเขาจะกวาดไปทั่วใบหน้าของหมี่อี้เหิง
“มันค่อนข้างจะหนัก ข้าเกรงว่าเขาคงจะไม่อาจเป็นองค์รัชทายาทได้อีกต่อไป”
“ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ท่านพึงพอใจ” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็ไม่รู้เช่นกันว่าคำพูดที่ประจบสอพลอเหล่านี้ออกมาจากปากของเขาได้อย่างไร
หมี่เฉินอี้รู้สึกอึดอัดอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อต้องนั่งตรงกลางระหว่างทั้งสองคน เขาจึงกระแอมสองครั้งแล้วพูดว่า “ข้าจะไปดูว่าเจ้าเจ็ดเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าแม่สาวน้อยจะสามารถจัดการคนเดียวได้หรือไม่”
เขายืนขึ้นและเดินไปที่ประตู เมื่อมือของเขาสัมผัสลงบนประตูที่ปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ร่างของใครบางคนก็วิ่งมาเปิดประตูและพุ่งเข้ามาในอ้อมแขนของหมี่เฉินอี้
“โอ๊ย~~” แขนของเขาที่ห้อยอยู่บนหน้าอกถูกกระแทก หน้าของเขาเหยเกด้วยความเจ็บปวดและตะโกนออกมาว่า “ยัยเด็กบ้า เจ้าต้องการเอาชีวิตข้าหรืออย่างไร!”
ฉินปู้เข่อสำนึกผิดจึงรีบยืนตัวตรงและพยุงหมี่เฉินอี้ไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วพูดด้วยสีหน้ากังวล “บาดเจ็บหรือเปล่า แผลฉีกหรือไม่ หม่อมฉันจะลอง…”
“ช่างมันเถอะ!” ขณะที่มือของฉินปู้เข่อจับแขนของเขา หมี่เฉินอี้ก็ก้าวถอยหลังทันทีราวกับถูกไฟฟ้าช็อต “ใกล้จะรุ่งสางแล้ว เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“หม่อมฉันจะมาทำอะไรได้นอกจากมาบอกว่าโม่หรู่ฟื้นแล้ว” ฉินปู้เข่อถูกบานประตูกั้นไว้จึงไม่เห็นสถานการณ์ภายในตำหนัก “ฝ่าบาททรงวิตกกังวลทั้งคืน หม่อมฉันจะมาบอกเพื่อให้ท่านสบายพระทัย”
ขณะที่นางพูด นางก็เอื้อมมือออกไปดึงร่างของหมี่เฉินอี้ที่ขวางประตูอยู่ออก แต่ก่อนที่จะแตะเสื้อผ้าของเขาได้ในครั้งนี้ หมี่เฉินอี้ก็รีบหลบไปทางด้านข้างอีกครั้งทันทีราวกับถูกฟ้าผ่า
“ฮ่า ฮ่า~” หมี่อี้เหิงหัวเราะ
ฉินปู้เข่อที่ก้าวเข้ามาในห้องตกตะลึงอยู่กับที่ ให้ตายเถอะ สถานการณ์เป็นอย่างไรกัน พ่อสามีกล้ามากถึงได้มาเข้าเฝ้าต่อหน้าฮ่องเต้
นางมาผิดเวลาอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้หมี่เฉินอี้จะออกไปแล้ว ใช่แล้ว สองคนนี้ต้องมีเรื่องจะพูดคุยกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ต้องมีความเข้าใจผิดและความคิดมากมายที่จะต้องพูดถึง ซึ่งพวกเขาต้องการพื้นที่ส่วนตัวอย่างแน่นอน
นางตัวแข็งทื่อและขยับคอเล็กน้อย ก่อนจะหันไปขยิบตาให้หมี่เฉินอี้และพูดเสียงเบาว่า “สถานการณ์นี้มันอะไรกัน หม่อมฉันมาผิดจังหวะหรือ”
“เจ้าพูดอะไร ข้ากำลังจะออกไปแต่เจ้ามาขวางประตู!” หมี่เฉินอี้ตอบนางพลางขมวดคิ้ว
“อ่า ฮ่า ฮ่า” ฉินปู้เข่อหันหลังไปทำความเคารพทันที “ถวายบังคมเสด็จพ่อและท่านผู้สูงศักดิ์ ลูกสะใภ้มาที่นี่เพื่อแจ้งแก่ท่านว่าเมื่อโม่หรู่ฟื้นแล้วเพคะ ท่านไม่ต้องกังวล พักผ่อนเร็ว ๆ และอย่าหักโหมเกินไปเพราะยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก ลูกสะใภ้ขอทูลลาก่อนนะเพคะ”
ขณะที่นางพูดก็ยกเท้าที่เพิ่งก้าวเข้าไปในประตูกลับคืนมา และรีบดึงหมี่เฉินอี้ก่อนจะหันศีรษะเดินออกไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ทั้งสองด้วย
ความคิดของสาววายกำลังพลุ่งพล่าน ฉินปู้เข่อที่ตื่นเต้นใช้ศอกกระทุ้งหมี่เฉินอี้ “พวกเขาทั้งสองนี่อย่างไรกัน…”
………………………………………………………………………………