สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 249 ข้าคือผู้อาวุโส
บทที่ 249 ข้าคือผู้อาวุโส
บทที่ 249 ข้าคือผู้อาวุโส
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วหมี่อี้เหิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป และจิบกาแฟถ้วยนั้น
ขมปนหวานเล็กน้อย รสชาตินุ่มละมุนลิ้น
เขาจิบอีกครั้ง มันมีรสเปรี้ยวและฝาดอยู่เล็กน้อย
หลังจากดื่มไปสามคำ แก้วก็ว่างเปล่าไปครึ่งหนึ่ง และดวงตาที่หนักอึ้งและร่างกายที่อ่อนล้าเล็กน้อยในตอนแรกก็กระปรี้กระเปร่าในทันที ราวกับว่าเขาเพิ่งตื่นขึ้นหลังจากหลับไปนานกว่าห้าชั่วยาม
ทั่วร่างกายมีความสดชื่นและสบาย
“มาเสวยอาหารเช้ากันก่อนเถิดเพคะ โม่หรู่จะตื่นทีหลัง หม่อมฉันคิดว่าคนแรกที่เขาควรเจอเมื่อฟื้นขึ้นควรเป็นท่าน” ฉินปู้เข่อเอ่ยชวน
หมี่อี้เหิงยืดเอวและก้าวเดินเข้าไป หลังจากกินขนมเปี๊ยะไปสองสามคำก็พูดว่า “เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรนะ สรรพคุณของมันที่ทำให้สดชื่นนั้นช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ช่วงนี้สมองของข้าไม่ค่อยมีสติสัมปชัญญะเลย แต่บัดนี้หูตาสว่างและสมองปลอดโปร่งด้วย”
ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและสั่งอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านพ่อสามี อย่าพูดขณะเสวยสิเพคะ”
หมี่อี้เหิง “…”
เมื่อแม่สาวน้อยผู้นี้หงุดหงิด คำพูดของนางก็สามารถทำให้คนเจ็บปวดได้
เขากินอาหารเช้าตรงหน้าอย่างช้า ๆ ก่อนจะล้างปากแล้วพูดอย่างเชื่องช้าว่า “ข้าได้ยินมาว่าโม่หรู่จะไม่ต่อสู้เพื่อบัลลังก์เพื่ออยู่กับเจ้าสองคน แล้วเจ้า… จะจัดการกับความรู้สึกของอ๋องจั่วเสียนอย่างไร”
“พรืด แค่ก แค่ก แค่ก…”
นางสำลักข้าวต้มในปากและไอออกมา ใบหน้าและหูของฉินปู้เข่อกลายเป็นสีแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางเขินอายหรือสำลักกันแน่ นางรีบเช็ดเมล็ดข้าวที่อยู่บนโต๊ะและที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของนาง
หมี่อี้เหิงเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะและยังคงโจมตีต่อไป “ข้าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของโม่หรู่ และข้าก็เฝ้าดูอาเฉินเติบโตขึ้นเช่นกัน มีคำกล่าวที่ว่ารักพี่เสียดายน้อง และสถานะของเจ้าก็พิเศษ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกสะใภ้ของข้า แต่เจ้าก็…”
“ท่านพ่อสามี หม่อมฉันไม่ได้คิดเช่นนั้น มันไม่ใช่หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่รู้” ฉินปู้เข่อวางชามในมือลงและยืนประหม่าอยู่ข้างหมี่อี้เหิงเพื่อปฏิเสธสามครั้งติดต่อกัน
ในสมัยโบราณสตรีไม่มีโอกาสแยกแยะเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร ในสายตาคนนอกนางก็จะเป็นหญิงแพศยาและร้ายกาจ หากเป็นหญิงสามัญชนก็จะถูกให้ลงชื่อในหนังสือหย่าและถูกขาย หรือถูกจับยัดกรงหมูถ่วงน้ำ หากเป็นสตรีสูงศักดิ์ในราชวงศ์ก็เกรงว่าจะถูกตัดศีรษะเป็นแน่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฉินปู้เข่อก็ถึงกับหดคอราวกับนกกระทา
บัดนี้นางอารมณ์ไม่ดีและไม่ง่วงนอนอีกต่อไป หมี่อี้เหิงยั่วโมโหนางขณะที่โม่หรู่ยังไม่ฟื้น
เมื่อก่อนหมี่เฉินอี้มักจะกลั่นแกล้งองค์ชายน้อยและองค์หญิงน้อย ซึ่งทำให้องค์ชายน้อยทุกคนร้องไห้และมาขอความยุติธรรมจากเขา
แต่เมื่อเห็นท่าทางห่อเหี่ยวของแม่สาวน้อยในตอนนี้ หมี่อี้เหิงก็รู้สึกได้ว่าการแกล้งเด็กนั้นเป็นเรื่องสนุกจริง ๆ
ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากการแก้แค้นที่ทำให้เขาหลับไปในวันนั้น ซึ่งทำให้เขามีความสุขมากขึ้น
ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม และน้ำเสียงของเขาก็ค่อนข้างเข้มงวด “ฮึ่ม เจ้าไม่ได้คิดหรือ? หากเจ้าไม่มีเจตนาจะยั่วยวน แล้วอาเฉินจะถูกเจ้าดึงดูดได้อย่างไร? อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่! เท่าที่ข้ารู้ หลังหมิงเอ๋อร์เกิดเมื่อไม่กี่วัน เกรงว่าอาเฉินน่าจะแสดงความรู้สึกในใจของเขาต่อหน้าเจ้าแล้ว!
“เขาเป็นคนที่เฉยชาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่นก็ไปเข้าร่วมกองทัพที่มีแต่ผู้ชาย เขาเป็นคนที่มีความคิดเสน่หาน้อยที่สุด หากเจ้าไม่ได้ใช้รูปลักษณ์ของเจ้าเข้าหาเขาอย่างจงใจ แล้วเขาจะมีความคิดกับเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร?! และเท่าที่ข้ารู้มา เมื่อปีที่แล้วฉินเฉิงหย่งผู้เป็นพ่อของเจ้าวางแผนให้ฉินเสวี่ยเหลียน พี่สาวของเจ้าแต่งงานกับหมี่เซวียน และจะให้เจ้าแต่งงานกับหมี่เฉินอี้… อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้”
อะไรนะ?! ตาเฒ่าฉินเฉิงหย่งคนนั้นต้องการให้นางแต่งงานกับหมี่เฉินอี้หรือ?!
ฉินปู้เข่อส่ายหัว “หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ ตอนนั้นหม่อมฉันไม่เคย ไม่เคย… ไม่รู้มาก่อน!” ตอนที่นางทะลุมิติมาครั้งแรกก็เป็นคืนงานหมั้นของนางกับหมี่เซวียน จากนั้นนางก็แต่งงานกับหมี่โม่หรู่ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วยาม นางจึงไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ
เมื่อมองไปที่การแสดงออกที่เย็นชาอย่างยิ่งของหมี่อี้เหิง ฉินปู้เข่อก็รู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก
นางกลายเป็นหญิงแพศยาที่ยั่วยวนสองอาหลานในเวลาเดียวกัน นางกลัวว่าจะเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของราชวงศ์ ย้อนกลับไปในอดีต ไทเฮาเจิ้งกลัวว่าการมีอยู่ของหมี่อี้เหิงจะทำให้ชื่อเสียงของฮ่องเต้ต้าเซี่ยเสื่อมเสีย นางจึงให้เขาดื่มสุราพิษเพื่อสังหารเขา ดังนั้นตอนนี้นางก็อยู่ไม่ไกลจากความตายใช่หรือไม่
นางได้ดูละครโทรทัศน์มาหลายเรื่อง จึงรู้ดีว่าความรักและความเสน่หาแบบใดที่ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง เมื่อต้องเผชิญกับศักดิ์ศรีและอำนาจของราชวงศ์
“หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ เพคะ หม่อมฉันแค่อยากจะหนีไปหลังจากที่หม่อมฉันแต่งงานกับโม่หรู่ แต่แล้วหม่อมฉันก็ตกหลุมรักเขา” ฉินปู้เข่อน้ำตาไหลเพราะคำพูดเย้ยหยันของชายตรงหน้า และเลือกที่จะพูดเพื่อแสดงความจริงใจ
“หม่อมฉันสาบานว่าหม่อมฉันไม่เคยทำอะไรให้โม่หรู่เสียใจเลย หม่อมฉันไม่เคยทำและจะไม่มีวันทำด้วยเพคะ” นางคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟัง และแสดงออกมาถึงความภักดีอย่างสุดหัวใจขณะที่น้ำตานองหน้า “สำหรับเสด็จอาเก้านั้น หม่อมฉันปฏิบัติต่อเขาในฐานะผู้อาวุโสตั้งแต่แรกเริ่ม หม่อมฉันไม่มีความคิดอื่นใดจริง ๆ และไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงได้…”
หมี่อี้เหิงชะงักไปครู่หนึ่งและรู้สึกเสียใจเล็กน้อย มันมากเกินไปหน่อยหรือไม่ที่ทำให้แม่สาวน้อยผู้นี้ร้องไห้เช่นนี้
แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของเขาจะยังไม่อาจหยุดยั้งได้
เขายืนขึ้นและพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะสตรีเยี่ยงเจ้าที่ทำให้อาและหลานมีความบาดหมางซึ่งกันและกัน? ฮึ่ม และเจ้ายังเรียกร้องให้โม่หรู่เลิกทำหน้าที่ของเขาด้วย ข้าอยากรู้นักว่าเขาจะมีความคิดเช่นนี้หรือไม่หากไม่มีเจ้า! มาเถอะ…”
จบแล้ว เอาให้ตายกันไปข้าง
ดวงตาของฉินปู้เข่อพร่ามัว เมื่อปีที่แล้วฮ่องเต้ต้าเซี่ยประทานสุราพิษแก่นางแต่นางหลีกเลี่ยงได้ พอถึงคราวนี้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยเสด็จไปราชสำนักและโม่หรู่ก็ยังคงหมดสติ นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า
แต่นางยังไม่อยากตายในครั้งนี้
“อาเหิง! มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า!” หมี่เฉินอี้รีบวิ่งเข้าประตูมาขวางฉินปู้เข่อไว้
ฉินปู้เข่ออดไม่ได้ที่จะคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่มาช่วยชีวิตไว้นี้ “เสด็จอา…”
ราวกับตกอยู่ในภวังค์ นางเหลือบไปเห็นดวงตาที่แหลมคมของหมี่อี้เหิง นางจึงรีบปล่อยมือที่จับแขนเสื้อของหมี่เฉินอี้ไว้ด้วยความตื่นเต้นนั้นออกทันที แล้วขยับไปด้านข้างอย่างเชื่อฟังและคุกเข่าต่อไป
“ข้าเอง เป็นข้าเองที่คิดในสิ่งที่ข้าไม่ควรจะคิด!” เมื่อแรงที่ดึงแขนเสื้อหายไป หมี่เฉินอี้ก็รู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อยในใจ และยังคงให้ฉินปู้เข่ออยู่ข้างหลังเขา
“อาเหิง ตอนนั้นเจ้าก็ทำเช่นนี้ให้ข้า… อับอาย และวันนี้เจ้าก็กำลังทำให้นางอับอาย เจ้าต้องรู้ว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ และอีกอย่างคือ ข้า ข้าไม่ได้ยอมตกลงกับเจ้า ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียแต่อย่างใดไม่ใช่หรือ”
หมี่อี้เหิงคำรามเสียงเบา “ใครจะไปรู้ ข้าคิดว่าเมื่อคืนเจ้าดูเหมือนจะลังเล!”
“ข้าจะบอกเจ้าไว้ตอนนี้เลยว่าข้าจะไม่ตกลงกับเจ้า ข้าจะไม่ครอบครองนางอย่างเห็นแก่ตัว และจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายนางในทางใดทางหนึ่งเด็ดขาด! ข้าจะไม่เปิดโอกาสให้เจ้าสร้างความบาดหมางระหว่างนางกับเจ้าเจ็ด!”
ใบหน้าซีดขาวของหมี่เฉินอี้ค่อนข้างเกรี้ยวกราดเพราะอารมณ์ฉุนเฉียว หลังจากที่เขาตะโกนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแล้ว เขาก็ดึงตัวฉินปู้เข่อจากพื้นขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา แล้วผลักนางออกไปจากห้อง “เจ้าเชื่อข้าเถอะ เสด็จอาจะไม่มีวัน…”
หมี่โม่หรู่ที่หน้าซีดยืนอยู่ที่หน้าประตูมาสักพักแล้ว เขามองดูมือของหมี่เฉินอี้ที่จับแขนของฉินปู้เข่อแน่น และแสดงความรักและห่วงใยบนใบหน้าของเขาอย่างไม่ปิดบัง
หมี่เฉินอี้หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วดันตัวฉินปู้เข่อออกจากห้องไป เขาไม่ได้เอ่ยคำใดต่อจนกระทั่งพานางไปส่งไว้ข้างหมี่โม่หรู่ แล้วพูดต่อว่า “ข้าเป็นอาและเป็นผู้อาวุโส ในชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวันข่มเหงรังแกผู้น้อย!”
…………………………………………………………………………