สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 250 ขุดหลุมใหญ่ฝังตัวเอง
บทที่ 250 ขุดหลุมใหญ่ฝังตัวเอง
บทที่ 250 ขุดหลุมใหญ่ฝังตัวเอง
มากกว่าสามปีต่อมา หมี่เฉินอี้นั่งอยู่ที่โต๊ะพลางมองดูหนังสือรายงานที่กองซ้อนกันเป็นภูเขาเลากาตรงหน้า แล้วยกมือขึ้นตีปากตัวเองสองครั้ง
“ยอมอดทนจนเกือบตายเพื่อรักษาหน้าไว้ เจ้าคนปากไม่มีหูรูด สมควรแล้ว!”
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคำพูดเปี่ยม ‘มโนธรรม’ ของเขาจะทำให้ถูกเด็กเหลือขอใช้แรงงานได้ เขาเปลี่ยนจากการเป็นแม่ทัพประจำชายแดนผู้ร่ายรำด้วยหอกตลอดทั้งวัน มาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่นั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าโต๊ะ เพื่อตรวจสอบหนังสือรายงานเป็นเวลาสี่หรือห้าชั่วยามติด
“ท่านอ๋อง อ๋องหลี่ชินและพระชายาพาหลานชายตัวน้อยของท่านมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ใช่แล้ว เนื่องจากหมี่โม่หรู่ไม่เต็มใจที่จะเป็นองค์รัชทายาท ฮ่องเต้ต้าเซี่ยจึงดำเนินการต่อไป เมื่อหมิงเอ๋อร์อายุได้หนึ่งขวบ หมิงเอ๋อร์ร์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระราชนัดดา และหมี่เฉินอี้ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อช่วยฝึกพระราชนัดดา
ใบหน้าของหมี่เฉินอี้ที่ดูเคร่งเครียดมานาน ในที่สุดก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “กลับมาแล้วงั้นหรือ ไปบอกให้พวกเขารีบเข้ามาเร็ว!”
เฮ้อ รู้มาว่าพวกเขาไปวังน้ำพุร้อนกันมาก่อน ส่วนตัวเขานั้นถูกทิ้งให้จัดการกับข้าราชบริพารในตอนกลางวัน และจุดตะเกียงตรวจทานหนังสือรายงานในตอนกลางคืนอยู่ตามลำพัง มันช่างเหน็ดเหนื่อยเสียจริง
เซินลิ่วรู้ว่าเจ้านายของเขากำลังหวังให้อ๋องหลี่ชินเสด็จมา เพื่อช่วยแบ่งปันความกังวลของเขาทุกวันเพราะเขาต้องการพักผ่อน เขาจึงวิ่งออกไปอย่างมีความสุขและไม่ลืมเตือนว่า “ท่านอ๋อง อีกสิบหนึ่งเค่อชวนอ๋องหลี่ชินรอเสวยอาหารกลางวันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้แล้ว รู้แล้ว” หมี่เฉินอี้เข้าใจความพยายามอันอุตสาหะของคนรับใช้ผู้ภักดี หากเขาชวนให้ทั้งสองมารับประทานอาหารกลางวัน เขาก็จะได้มีเวลาผ่อนคลายมากขึ้น
เขาวางสำเนาหนังสือรายงานหลายฉบับลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา ดูเหมือนว่าเขาทำงานหนักมาเป็นเวลาหลายชั่วยามแล้ว สีหน้าปีติยินดีบนใบหน้าจึงถูกซ่อนไว้ และสีหน้าเหน็ดเหนื่อยและขุ่นเคืองก็เข้ามาแทนที่
“ถวายบังคมผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเจ็ด เจ้ามาแล้ว…” ก่อนที่หมี่โม่หรู่จะพูดจบ หมี่เฉินอี้ก็วิ่งลงมาจากตำแหน่งของเขาด้วยเสียงอันโหยหวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่นและความหงุดหงิด “เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้ว อาสามารถนอนได้แค่สามชั่วยามต่อวันมาครึ่งเดือนแล้ว แม้แต่เวลาเวลากินข้าวยังไม่มี หากเจ้าไม่มา อาก็คงจะตายเพราะทำงานหนักเกินไป…”
“เสด็จปู่เก้าช่างน่าสงสารยิ่งนัก”
ฉากที่ขมขื่นนี้ไม่ได้ทำให้หมี่โม่หรู่ประทับใจได้ แต่กลับสร้างความประทับใจให้หมิงเอ๋อร์ร์ที่อยู่ข้างเขาแทน เขาปล่อยมือของฉินปู้เข่อ และวิ่งไปข้างหมี่เฉินอี้ ก่อนจะนั่งลงบนตักของเขา “ตอนแรกหมิงเอ๋อร์ร์รู้สึกว่าหมิงเอ๋อร์ร์มีการบ้านเยอะ แต่หมิงเอ๋อร์ร์ก็ยังสามารถนอนได้สี่หรือห้าชั่วยามต่อวัน และเล่นเป็นเวลาหนึ่งหรือสองชั่วยาม ตอนนี้ดูเหมือนว่าเสด็จปู่เก้าจะทำงานหนักเกินไป”
“ใช่แล้ว หมิงเอ๋อร์ร์ต้องถามพ่อของเจ้าว่าต้องการแบ่งเบาภาระให้เสด็จปู่เก้าหรือไม่”
หมิงเอ๋อร์ร์พยักหน้าอย่างจริงจัง “แบ่งปันความกังวลของผู้อาวุโสเป็นหน้าที่ของผู้น้อย”
“หมิงเอ๋อร์ร์เด็กดี” หมี่เฉินอี้จับจมูกเล็ก ๆ ของหมิงเอ๋อร์ร์พร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะอุ้มเขาขึ้นมาจากตักแล้ววางบนคอของตน หมิงเอ๋อร์ร์หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
หมี่เฉินอี้ขมวดคิ้วราวกับจะอ้อนวอนเล็กน้อยก่อนจะ ‘มัดมือชก’ “เจ้าเจ็ดน้อย เจ้าเห็นหรือไม่ว่าหมิงเอ๋อร์ร์คิดถึงข้า ดังนั้นข้าจึงต้องหาเวลาไปเล่นกับเขาสักพัก”
เขาหันข้างแล้วชี้ไปยังกองภูเขาหนังสือรายงานบนโต๊ะข้างหลังเขา “ข้าจะปล่อยให้เจ้าทำงานอยู่ตรงนั้น แล้วข้าจะให้เซินลิ่วเรียกเจ้าไปกินมื้อกลางวันด้วยกัน”
หมี่โม่หรู่มองหมี่เฉินอี้ที่หนีงานอย่างโจ่งแจ้งด้วยความขบขัน “คราวหน้ารบกวนเสด็จอาช่วยทำให้รอยคล้ำดูสมจริงและดูซีดเซียวมากกว่านี้หน่อยเถิด หากเป็นเช่นนั้นต่อให้ไม่มีหมิงเอ๋อร์ร์ ข้าก็จะอาสาแบ่งเบาภาระของท่าน”
ฉินปู้เข่อต่อว่าเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน “สามี มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแต่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาหรอก เสด็จอาช่างไร้ยางอายยิ่งนัก”
หมี่เฉินอี้ “…” อยากจะทุบสองคนนี้เสียจริง เจ้าเจ็ดกลายเป็นเหมือนแม่สาวน้อยไปได้อย่างไร เขาต้องการจะตีใครก็ตามที่พูดเช่นนี้ เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีความเป็นอาของเขา
“ท่านแม่ ในเมื่อท่านบอกว่าจะไม่พูดแล้วเหตุใดท่านจึงเสียงดังอยู่ล่ะ”
เสียงของหมิงเอ๋อร์น้อยเกือบทำให้หมี่เฉินอี้น้ำตาไหล เขาอุ้มหมิงเอ๋อร์ลงจากคอ อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนแล้วหอมแก้มเขา “เจ้าสามารถสอนได้ รอให้เจ้าเติบโตขึ้นกว่านี้และทำให้พ่อแม่ของเจ้าต้องหายใจไม่ออก เพื่อล้างแค้นให้กับปู่เก้าดีหรือไม่”
ฉินปู้เข่อ “…” เหตุใดลูกคนนี้ถึงได้แปรพักตร์!
“ข้าจะพาหมิงเอ๋อร์ออกไปเล่นสักพัก เจ้าก็คอยฝนหมึกอยู่ข้างเจ้าเจ็ดแล้วกัน อย่างน้อยก็จะได้เป็นหญิงงามที่คอยอยู่เคียงข้างเขาขณะอ่านหนังสือ” เมื่อพูดจบหมี่เฉินอี้ก็รีบเดินออกจากห้องโถงพร้อมกับหมิงเอ๋อร์ในอ้อมแขนของเขา
เดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้และพูดว่า “ข้าส่งจดหมายไปยังวังน้ำพุร้อนเมื่อสองสามวันก่อนเพื่อขอให้พวกเจ้าทุกคนกลับมา ทว่าเหตุใดถึงมีแค่ครอบครัวของเจ้ากลับมา แล้วฝ่าบาทล่ะ”
ฉินปู้เข่อตอบว่า “เสด็จพ่อบอกว่าโล่งใจมากที่มีท่านอยู่ในราชสำนัก ดังนั้นเขาจึงยังต้องการใช้เวลากับท่านพ่อสามีอยู่ในวังต่อไป”
หมี่เฉินอี้หนาวเหน็บราวกับยืนอยู่ท่ามกลางลมฤดูหนาว “สาวน้อย ล่าสุดเจ้าพูดเกี่ยวกับข้าว่าอย่างไร”
“คนโสดไร้คู่” ฉินปู้เข่อตอบอย่างรวดเร็ว นี่คือสิ่งที่นางล้อเลียนหมี่เฉินอี้ก่อนที่จะไปวังน้ำพุร้อน
“ใช่ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าทุกคนกำลังรังแกข้าที่มีฐานะเป็นคนโสดไร้คู่ ด้วยการพาครอบครัวออกไปเที่ยวเล่นกันทีละคนแล้วทิ้งข้าไว้ตามลำพัง” หมี่เฉินอี้โบกแขนเสื้อด้วยความโศกเศร้า ทำให้คู่หนุ่มสาวในห้องโถงรู้สึกผิดเล็กน้อย
“เสด็จอาไม่ต้องเป็นเช่นนี้หรอก เสด็จพ่อบอกว่าหลังฤดูใบไม้ผลินี้จะมีการจัดงานแสดงความสามารถพิเศษสำหรับท่าน…” หมี่โม่หรู่หยุดพู่กันในมือเพื่อปลอบโยนเขา
“เอ๊ะ ไม่ต้องมาปลอบใจข้าเลย มันเป็นเรื่องของการกระทำ” หมี่เฉินอี้หันไปด้านข้าง ความทระนงฉายแววในดวงตาของเขา “ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปจนกว่าเจ้าจะทำหนังสือรายงานบนโต๊ะให้เสร็จในวันนี้!”
“เสด็จปู่เก้าออกมาเร็ว!”
“มาแล้ว มาแล้ว…” หมี่เฉินอี้ที่บรรลุเป้าหมายแล้วฮัมเพลงเบา ๆ ทิ้งพายุใหญ่ไว้ที่ประตูแล้ววิ่งออกไป
ฉินปู้เข่อ “…”
หมี่โม่หรู่ “…”
คนแก่คนนี้รู้จักเรียนรู้!
………………………………………………………………………………..