สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 29 เปลือกนอกลอกออกไปหนึ่งชั้น
ตอนที่ 29 เปลือกนอกลอกออกไปหนึ่งชั้น
ตึ้ง!
ศีรษะของนางชนเข้ากับแผ่นหลังของใครบางคน
ฉินปู้เข่อใจหายวาบ หญิงสาวแสร้งทำหน้าตาโศกเศร้าและยกมือยอมแพ้ “ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
หมี่เฉินอี่มองใบหน้ายู่อี่ตรงหน้า จึงอดขำไม่ได้ น้ำเสียงที่คุยกันตอนอยู่ภายในคุกเมื่อครู่นี้ดูสบาย อีกทั้งท่าทางที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน หากแต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“มีรถม้าแค่คันเดียว ต้องขอให้แม่นางลดตัวนั่งไปกับข้าเสียแล้ว”
ฉินปู้เข่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ มีรถม้าเพียงคันเดียวจริง ๆ คนอื่น ๆ ไม่มีแม้ม้าสักตัว
เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ นางจึงเดินตามหมี่เฉินอี่เข้าไปในรถม้า
หลังจากนั้นชายชุดดำคนหนึ่งก็เลิกม่านขึ้นและเดินตามเขามา หลังจากทำความเคารพแล้วก็หยิบถุงใส่น้ำและกล่องยาออกจากใต้ที่นั่งเพื่อทำความสะอาดบาดแผลให้หมี่เฉินอี่
“หลังจากกลับเข้าเมืองไปแล้ว แม่นางรู้จักทางกลับเรือนหรือไม่” หมี่เฉินอี่มองศีรษะล็ก ๆ ที่หดเหมือนนกกระทาตรงหน้าแล้วเอ่ยปากถาม
“อืม”
“ข้าเป็นบุรุษ ไปส่งเจ้าถึงหน้าเรือนกลางดึกเกรงว่าจะเป็นที่ครหา ทำให้แม่นางต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ในเมื่อเจ้ารู้เส้นทาง ประเดี๋ยวปล่อยแม่นางลงข้างทางเลยดีหรือไม่”
“อืม ๆ” ฉินปู้เข่อพยักหน้าตอบรับ ต้องอยู่กับพี่ใหญ่นักฆ่ามันน่ากลัวเกินไป
“ข้า…”
“ไม่ต้องพูด! ข้าไม่อยากรู้ ข้าไม่อยากรู้จักเจ้า ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้า ข้าไม่รู้ชื่อของเจ้า ไม่ว่าใครมาไถ่ถามข้า ข้าก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
ฉินปู้เข่อยกมือสองข้างขึ้นอุดหู หลับตาแน่น
เขากำลังล้อเล่นหรือเปล่า ชายผู้นี้สวมหน้ากากต้องเป็นเพราะไม่อยากให้ใครจำเขาได้อย่างแน่นอน ขืนนางรู้ชื่อเขาเท่ากับมีเหตุผลให้เขาฆ่าปิดปากนางได้
หมี่เฉินอี่ได้ยินคำพูดดูกับราวร้องขอชีวิตเช่นนี้แล้วหลุดขำออกมาอีกครั้ง “ข้าจะบอกว่าก่อนลงรถม้าไป แม่นางมีคำขออย่างอื่นอีกหรือไม่ อย่างเช่นเงินรางวัลก้อนใหญ่ ข้าก็ช่วยให้สมปรารถนาได้”
“ไม่มี ไม่ต้อง ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น” แค่มีชีวิตรอดออกไปก็เพียงพอแล้ว
“นายท่าน เข้าเขตเมืองแล้วขอรับ” คนขับรถม้าเอ่ยเตือนเสียงเบา
ฉินปู้เข่อรีบกระโดดลงจากรถม้าอย่างรีบร้อน มองไปยังทิศหนึ่งและวิ่งไปทันที
หมี่เฉินอี่มองแผ่นหลังที่วิ่งหนีของนางจึงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะออกคำสั่ง “ส่งคนตามนางไป ให้แน่ใจว่านางปลอดภัยดี” เซินหมิงที่กำลังทำแผลอยู่ดึงผ้าปิดหน้าลงและถามเสียงเบา “ท่านอ๋อง ท่านทำแผลมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“น่าจะห้ามเลือดพื้นฐานมาแล้ว”
“แต่แผลของท่านอ๋องสมานแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” เซินหมิงชี้รอยแผลเป็นใหม่บนขาของเขา “ดูจากความยาวของรอยแผล และจำนวนเลือดแล้ว แผลนี้ไม่เพียงแต่ต้องเย็บ แต่ต้องพักรักษาตัวอย่างน้อยสิบวันถึงจะฟื้นตัวได้ดังนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“แผลที่เอวก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ดูจากรอยแผลสองรอยนี้ล้วนอยู่ในช่วงเพิ่งสมาน ไม่เหมือนกับเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หมี่เฉินอี่หรี่ตามองแผลที่ขาของตนเอง เขาควักมีดสั้นออกมาและแทงไปที่แขนของเซินหมิงอย่างแรง
เซินหมิงไม่ส่งเสียงสักแอะ เขาปรับท่าของตนเองและคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหมี่เฉินอี่ด้วยความนอบน้อม
หมี่เฉินอี่ควักขวดเล็กในแขนเสื้อออกมา เทน้ำที่เหลือเพียงครึ่งขวดลงภาชนะด้านข้างพร้อมกล่าวเสียงเข้ม “นำน้ำนี้ไปทาบนแผลตนเองเสีย”
เซินหมิงใช้มือแต้มน้ำและทาบนแผลที่แขนตนเองตามคำบอก
สองรอบแรกเลือดที่แผลหยุดไหลอย่างรวดเร็ว รอบที่สามรอยแผลจึงค่อย ๆ สมานตัวกันอย่างช้า ๆ
รอจนทาน้ำในภาชนะหมดแล้ว แผลที่แขนจึงเหลือเพียงรอยแผลเป็นจาง ๆ ที่มองไม่เห็นร่องรอยจากการบาดเจ็บอีกต่อไป
ยานี่มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!
หมี่เฉินอี่หยิบขวดเล็กใสขึ้นมาดูอย่างละเอียด หากแต่มองอยู่เนิ่นนานก็ไม่พบอะไร
เซินหมิงเองก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เขาประสานมือและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เรียกหมอหลวงมาตรวจสอบหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากได้สิ่งอัศจรรย์นี้ไปใช้ในกองทัพจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของกองทหารได้มาก…”