สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 36 โดนลวงเสียแล้ว
ตอนที่ 36 โดนลวงเสียแล้ว
ฉินปู้เข่อแลบลิ้นอยู่ด้านหลังเขาด้วยความรังเกียจ คนจิตใจคับแคบ!
หลังจากเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว หมี่ฉงก็เดินเข้ามาและหากมองดูดี ๆ จะเห็นว่าเขาขยับมือเท้าได้ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าใดนัก
ฉินปู้เข่อแอบหัวเราะอย่างอดไม่ได้ จากนั้นส่งสายตาเห็นอกเห็นใจที่ประสบพบเจอเรื่องลำบากมาเหมือนกันให้หมี่ฉง “พี่ชายสาม ท่านก็โดนสกัดจุดหรือเพคะ”
“ฮ่า ๆ บังเอิญจริง ๆ เลยนะน้องสะใภ้” หมี่ฉงหัวเราะเยาะเย้ยตนเอง เมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องหนังสือเขาโดนสกัดจุดไปหนึ่งก้านธูปเต็ม ๆ จึงจะสามารถขยับตัวได้
เฮ้อ…แขนขาของเขาต้องชาไปอีกหลายวัน ทรมานจนอยากจะหลั่งน้ำตา
เมื่อขึ้นรถมา ฉินปู้เข่อก็เหลือบมองหมี่ฉงและเอ่ยว่า “ท่านเป็น ‘พี่สาม’ ไม่ใช่หรือเพคะ เหตุใดจึงโดนเขาสกัดจุดได้เล่า”
หมี่ฉงมีอายุมากกว่าหมี่โม่หรู่เพียงแค่ปีกว่า หากมองจากภายนอกแทบดูไม่ออกเลยว่าทั้งสองอายุต่างกัน
“ฝีมือไม่เก่งกาจเท่า ก็ช่วยไม่ได้” หมี่ฉงเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก นอกจากจะโดนสกัดจุดแล้วยังโดนหลอกให้ไปเลี้ยงอาหารที่หมิงเทาเยี่ยนอีก เฮ้อ วันนี้ไม่น่ามาเลย
ไม่สิ ไม่น่าผีเข้าสิงตกลงช่วยนางเขียนหนังสือหย่าเลย
เมื่อเข้ามาในหมิงเทาเยี่ยนแล้ว ฉินปู้เข่อก็ชมไม่หยุดตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเท้าเข้ามา
ท่าทางอย่างกับบ้านนอกเข้ากรุง
“ที่นี่งดงามเหลือเกินเพคะ ระดับความหรูหรานี้เทียบกับร้านในผับชื่อดังได้เลย”
พื้นหินอ่อนเรียบเนียนสะท้อนให้เห็นเงาคนบนนั้นได้ ตรงกลางของห้องโถงชั้นล่างเป็นพื้นยกสูงสำหรับการร่ายรำ หญิงสาวโฉมงามหลายสิบคนกำลังร่ายรำกันอย่างอ่อนช้อย ชายกระโปรงพลิ้วไหวไปมาเผยให้เห็นได้ว่าบนพื้นนั้นสลักด้วยหยกขาวฮั่นไป๋
แม้แต่ราวบันไดยังทำด้วยไม้หนานชั้นดี แกะสลักก้อนเมฆที่เสมือนจริง รวมถึงของมงคลอย่างดอกโบตั๋นบนนั้นด้วย
เนื่องจากหมี่โม่หรู่นั่งเก้าอี้เข็น หลังจากเข้าประตูมาแล้วจึงมีสาวใช้ที่หมี่ฉงรู้จักนำทางพวกเขาไปยังห้องส่วนตัวชั้นหนึ่ง
การตกแต่งภายในห้องส่วนตัวค่อนข้างดูดี ของที่ตั้งอยู่ล้วนเป็นสิ่งที่ฉินปู้เข่อไม่อาจซื้อได้
ฉินปู้เข่อลูบถุงเงินของตนเองอย่างเขินอายและพึมพำเบา ๆ “ในนี้แพงมากเลยใช่หรือไม่เพคะ”
“ด้วยฐานะของมหาเสนาบดีฉิน เขาแทบจะมากินอาหาร พูดคุยหารือกันที่หมิงเทาเยี่ยนทุกวันเลยล่ะ สองปีก่อนพิธีบรรลุนิติภาวะของฉินเสวี่ยเหลียนก็จัดขึ้นที่นี่ เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยมา”
“หม่อมฉันไม่เคยมาจริง ๆ เพคะ” ฉินปู้เข่อเบ้ปาก นางเป็นทายาทสายตรงของจวนมหาเสนาบดี เข้าออกสถานที่เช่นนี้เป็นเรื่องปกติ หม่อมฉันเป็นเพียงลูกอนุ ฐานะในจวนของพวกเรานั้นต่างกันในความทรงจำของนาง ฉินปู้เข่อและอนุหลัวต้องกินอยู่กับบ่าวไพร่ของจวนมหาเสนาบดี บางครั้งที่แม่เฒ่าฉินอารมณ์ไม่ดีก็จะลงโทษพวกนาง โดยไม่ให้กินข้าวด้วย
ตอนที่นางบรรลุนิติภาวะก่อนแต่งงาน ของกำนัลที่ได้ก็เป็นปิ่นปักผมเรียบ ๆ ที่อนุหลัวประหยัดค่ากินค่าใช้ของตนเองมาหลายปี สะสมทองได้เล็กน้อยแล้วจึงไปจ้างช่างทำให้นาง
จะว่าไป นางเอาปิ่นปักผมชิ้นนั้นไปโยนที่ไหนแล้วนะ
ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าใด ปกติซวงหวนให้นางสวมใส่สิ่งใดนางก็จะสวมใส่สิ่งนั้น สงสัยซวงหวนคงเก็บไว้ให้นางแล้ว
เทียบกับหมี่ฉง หมี่โม่หรู่ได้สืบเรื่องของนางมาอย่างครบถ้วน ย่อมรู้ว่าชีวิตของนางในจวนมหาเสนาบดีเป็นอย่างไร
เมื่อเห็นนางขมวดคิ้ว จึงอดรู้สึกเห็นใจนางไม่ได้ ชายหนุ่มมองค้อนหมี่ฉงก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ “อย่างไรเสียวันนี้ก็มีคนเลี้ยง เจ้ากินได้ตามใจชอบเลย”
“ได้หรือเพคะ พี่ชายสาม” ฉินปู้เข่อเบิกตากว้างมองดูเขาด้วยท่าทางเขินอาย
“ได้อยู่แล้ว แค่ข้าวมื้อเดียวพี่สามเลี้ยงไหวอยู่แล้ว น่าขำน่า” หมี่ฉงหัวเราะร่วนก่อนจะหยิบรายการอาหารขึ้นมา
เขาเป็นเพียงท่านอ๋องว่างงาน แม้จะเทียบมหาเสนาบดีฉินที่มาหาความสุขที่นี่ทุกวันไม่ได้ แต่เดือนหนึ่งมาสักสี่ห้าครั้งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
หมี่โม่หรู่นิ่งเงียบไม่พูดจา ยกถ้วยน้ำชาขึ้นและจิบไปหนึ่งอึก กลืนทั้งรอยยิ้มมุมปากและน้ำชาลงท้อง
พี่สามคนนี้ของเขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับความสามารถของชายาของตนเลยสินะ
ดูจากที่นางกินเสี่ยวหลงเปาได้ถึง 15 เข่งแล้ว มื้อนี้ได้กินเบี้ยหวัดทั้งเดือนของอ๋องคังชินหมดในวันนี้แน่
“ดีเลยเพคะ” ฉินปู้เข่อยิ้มกว้างราวกับดอกไม้แรกแย้ม “พี่ชายสาม หม่อมฉันอยากกินเนื้อที่มีสารอาหาร อย่างเช่นเนื้อไก่ เนื้อวัว รวมถึงประเภทปลา และกุ้งเพคะ”
ร่างกายของเจ้าของเดิมอ่อนแอเกินไป ฉินปู้เข่อจึงตั้งใจจะเริ่มแผนการสร้างหุ่นอีกครั้ง ฝึกฝนกำลังแขนขาของเจ้าของเดิมหน่อย ด้านการกินจะต้องใส่ใจให้มาก และกินโปรตีนเป็นหลัก
“ได้เลย ไม่มีปัญหา” หมี่ฉงสั่งอาหารโดยไม่ลังเล
อาหารเลิศรสถูกจัดวางเต็มโต๊ะอย่างรวดเร็ว น้ำตาแห่งความปลื้มปีติเอ่อล้นอยู่บริเวณขอบตาของฉินปู้เข่อ
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นของอร่อยมากมายขนาดนี้หลังจากทะลุมิติมา
ไก่ต้มเกลือ เนื้อไก่หวานนุ่ม และได้เลาะกระดูกออกไปเพื่อลูกค้าอย่างใส่ใจ เพียงกัดเข้าไปคำหนึ่งความชุ่มฉ่ำก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งปาก
ปลานึ่งทรงเครื่อง ปรุงด้วยวัตถุดิบและวิธีที่ดั้งเดิม เพียงชิมหนึ่งคำก็สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นปลาสดใหม่เนื้อไม่คาวเด้งสู้ฟัน รสชาติหอมนวลอบอวลอยู่ในปาก
ไหนจะตุ๋นเนื้อวัว เป็ดป๋อเหอ…แต่ละจานล้วนเป็นอาหารเลิศรสในโลกใบนี้
กับอาหารเลิศรสเช่นนี้ ไม่ไปตามตรอกเล็กไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านก็ต้องมาตามร้านอาหารระดับมิชลินแบบนี้แหละ ฉินปู้เข่อลืมไปเลยว่าข้างกายยังมีผู้ชายอีกสองคน นางดื่มด่ำกับความสุขที่ได้ลิ้มลองอาหารเลิศรส ไม่อาจฉุกคิดสิ่งใดได้
ชาติก่อนนางอยากเป็นบล็อคเกอร์ด้านอาหารจริง ๆ นะ…
หมี่ฉงมองจานเปล่าที่กองอยู่ตรงหน้านางแล้วก็ได้แต่ต้องเบิกตากว้าง
เขาลูบเงินในแขนเสื้อเบา ๆ หมิงเทาเยี่ยนเป็นภัตตาคารชั้นสูงในเมืองหลวง ราคาของอาหารแต่ละจานสูงกว่าภัตตาคารดี ๆ อีกเท่าตัว
เขารู้สึกว่าเบี้ยหวัดตนเองในเดือนนี้ได้หมดไปแล้ว…
“ตอนนี้ท่านรู้หรือยังว่าเหตุใดนางถึงมีพละกำลังมหาศาล” หมี่โม่หรู่สัมผัสได้ว่าแรงกดอากาศด้านข้างต่ำลง จึงอดเข้าไปประชดประชันไม่ได้
“เจ้าเจ็ด เจ้ารู้อยู่แต่แรกแล้วใช่หรือไม่ พวกเจ้าสองคนตั้งใจมาลวงข้าใช่หรือไม่” หมี่ฉงขบฟันแน่น
หมี่โม่หรู่เลิกคิ้วและเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้าแค่รู้สึกว่าหากปล่อยให้นางกินเสี่ยวหลงเปาข้างทางสิบห้าเข่งจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์ชายาอ๋องหลี่ชิน เดิมทีข้าแค่อยากไปภัตตาคารที่พอใช้ได้และมีห้องส่วนตัว ส่วนหมิงเทาเยี่ยนท่านเป็นคนเลือกเองนะ”
หมี่ฉงนั่งนิ่งไป เขาดึงชายเสื้อหมี่โม่หรู่และพูดด้วยท่าทีน่าสงสาร “เจ้าเจ็ด ดูให้หน่อยสิว่าพอจะลดให้หน่อยได้หรือไม่ เจ้าดูสิ เมื่อก่อนพี่สามไม่เคยให้เจ้าลดให้เลยนะ นี่เพิ่งจะต้นเดือนชีวิตที่เหลือในเดือนนี้ของข้าคงจะอยู่ไม่ได้แล้ว…”
“ไม่ได้ ท่านก็รู้จักซือต๋า ในสายตาเขามีแต่เงิน” เจ้าของตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังของหมิงเทาเยี่ยนก็คือหมี่โม่หรู่นั่นเอง คนที่รู้ความในนี้มีเพียงซือต๋าเจ้าของในนามและหมี่ฉงเท่านั้น