สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 37 พบกับองค์รัชทายาท
ตอนที่ 37 พบกับองค์รัชทายาท
“เฮ้อ~~” ฉินปู้เข่อลูบท้องของตนด้วยความพึงพอใจแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายสาม นี่เป็นอาหารที่ดีที่สุดที่หม่อมฉันเคยกินตั้งแต่มาที่นี่ หม่อมฉันต้องขอบคุณพี่ชายสามแล้ว”
“ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร”
นางกินไก่ 10 จาน เป็ด 5 จาน เนื้อวัว 4 จานและปลา 2 จาน รวมไปถึงผักหลากหลายชนิดและของหวานอีกมากมาย ซึ่งทำให้เขาต้องจ่ายเงินมากกว่าที่ใช้ทั้งเดือน ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก
“พี่ชายสาม เหตุใดสีหน้าของท่านจึงเศร้าหมองเช่นนั้นเล่า?”
หมี่ฉงปั้นหน้ายิ้ม “เศร้าหมองตรงไหนกัน ข้าไม่ได้เศร้าหมองเสียหน่อย ประเดี๋ยวข้าจะเรียกคนมาเก็บเงินก็แล้วกัน”
ประตูห้องส่วนตัวเปิดออก ซึ่งประตูห้องของพวกเขาหันไปตรงทางเข้าภัตตาคาร บัดนี้หมี่เซวียนพร้อมด้วยเหล่าบริวารที่รายล้อมกำลังเดินเข้ามาจากทางเข้าภัตตาคาร
ใบหน้าของเขาแดงก่ำและดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา ราวกับว่าโลกทั้งโลกหมุนรอบตัวเขา
“บอกหม่อมฉันทีว่าองค์รัชทายาทไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกแล้ว” ฉินปู้เข่ออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจขณะเงยหน้ามองดูท่าทางอันเปี่ยมสุขของหมี่เซวียน
เฮ้อ เจ้าสวะคนนี้ฆ่าคนรักเก่าทางอ้อม สตรีผู้นั้นสูญเสียลูกไปและถูกโยนกลับไปอยู่ที่ชนบท ซึ่งถือว่าเป็นการรับกรรมที่สาสมแล้ว ส่วนชายผู้นี้ถูกขังอยู่เพียงแค่ 3 วันและเขาก็ยังคงเป็นองค์รัชทายาทหลังจากที่เขาพ้นโทษ
มันทำให้นางรู้สึกแย่เสียจริง!
หมี่ฉงเหลือบมองหมี่เซวียนที่กำลังยืนดูการเต้นรำอยู่ที่โถงรับแขก “ตั้งแต่เขายังเด็ก เขาไม่เคยต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า ทุกสิ่งราบรื่นไร้อุปสรรค ทันทีที่เขาออกจากวังก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท ไม่ว่าความสามารถและอุปนิสัยของเขาจะเป็นเช่นไร แต่เขาก็ได้รับการสนับสนุนจากพลเรือนและเหล่ากองทัพของราชวงศ์ แล้วจะมีสิ่งใดทำให้เขาต้องกังวลได้อีกเล่า”
“จุ๊ จุ๊ ฟังดูแล้วช่างน่าริษยาเสียนี่กระไร” ฉินปู้เข่อยกนิ้วขึ้นมาผิวปากเสียงดัง “เพียงแค่กินและดื่มอย่างเดียวไม่มีอะไรให้หม่อมฉันดูเลย มาดูกันเถิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้องค์รัชทายาทต้องกังวลได้บ้าง เช่นนี้ดีหรือไม่?”
“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?! ข้ากับเจ้าเจ็ดไม่ได้สนิทสนมกับเขา พวกเราจึงยังไม่อาจเปิดใจพูดคุยกับเขาได้”
ฉินปู้เข่อเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “พี่ชายสาม ท่านไปเชิญเขามาเถิด แล้วบอกว่าหม่อมฉันขอบคุณเขาสำหรับการจัดงานแต่งงานระหว่างหม่อมฉันกับอ๋องหลี่ชิน และหม่อมฉันต้องการดื่มอวยพรให้เขาสักจอก”
หมี่โม่หรู่มองไปฉินปู้เข่อด้วยความสงสัย ทว่าใบหน้าของเขากลับไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเลย
สตรีผู้นี้ไม่รู้จริง ๆ หรือว่าคนที่ลักพาตัวนางไปเมื่อสองสามวันก่อนคือองค์รัชทายาท เขายังไม่ทันได้คลายความระแวงนางเลย แล้วนางกล้าดีอย่างไรมาเชิญองค์รัชทายาทต่อหน้าเขา?!
หมี่ฉงเหลือบมองหมี่โม่หรู่ที่พยักหน้า เขาก็ต้องการจะดูว่าสตรีผู้นี้จะสามารถทำอะไรภายใต้จมูกของเขาได้บ้าง
ก่อนที่หมี่ฉงจะก้าวออกจากประตู การแสดงขับร้องและเต้นรำในโถงรับแขกก็หยุดลงชั่วคราว เหล่านักเต้นต่างถอยออกไป แล้วหมี่เซวียนก็บังเอิญหันมาสบตากับหมี่ฉงพอดี
“ใช่ ข้าไม่จำเป็นต้องเชิญเจ้า เจ้าก็มาอยู่ที่นี่เอง” ริมฝีปากของหมี่ฉงขยับเล็กน้อยก่อนจะทักทายหมี่เซวียนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “องค์รัชทายาท ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง”
“เหตุใดกันเล่า ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าเจ้ากับอ๋องเจ็ดจะดูสง่างามได้ถึงเพียงนี้ โอ้~ พระชายาก็อยู่ที่นี่ด้วย” หมี่เซวียนกล่าวเหน็บแนมเป็นพิเศษ
เดิมทีเขาวางแผนจะสอนบทเรียนให้ฉินปู้เข่อเพื่อระบายความโกรธแทนฉินเสวี่ยเหลียน แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวจากการคุมขังแล้วเดินทางไปยังฐานที่มั่น แล้วจะพบว่าฐานที่มั่นเพียงแห่งเดียวนั้นถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน และเหล่านักฆ่าที่เขาใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อสนับสนุนมาเป็นเวลาหลายปีก็ถูกฆ่าตายจนหมด
แล้วคนที่เขาใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อจับกุมมาได้ก็ได้รับการช่วยเหลือเช่นกัน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหมี่เซวียนก็จ้องเขม็งไปยังฉินปู้เข่อ สตรีผู้นี้ทำเรื่องร้ายกาจมากมายไว้กับเขา!
หากไม่ใช่เพราะถูกกักขัง 3 วัน ตนเองคงจัดการคนผู้นั้นไปนานแล้ว! นางสามารถร้องขอความช่วยเหลือจนรอดชีวิตออกไปได้อย่างไร!
หมี่เซวียนนั่งลงโดยปราศจากรอยยิ้มและไม่ได้แสดงท่าทางสุภาพแต่อย่างใด
“กระหม่อมขอคารวะเสด็จพี่” หมี่โม่หรู่ก้มลงคำนับ
“หม่อมฉันกำลังจะไปเชื้อเชิญท่านพอดีเพคะ” ฉินปู้เข่อลุกขึ้นยืนแล้วย่อตัวลงทำความเคารพ พลางยกยิ้มอ่อนหวาน
หมี่เซวียนพ่นลมอย่างเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าพระชายามีเรื่องสำคัญอันใดกับข้าผู้นี้หรือ?”
“ตั้งแต่หม่อมฉันแต่งงาน หม่อมฉันก็รู้สึกสำนึกในบุญคุณของท่านเสมอมา ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องการจะดื่มสุราสักจอกเพื่อถวายพระพรแก่ท่าน” ฉินปู้เข่อย่างเท้าดอกบัวไปอยู่ข้างหมี่เซวียนแล้วรินสุราหนึ่งจอกให้เขา
“เจ้าหมายความว่าเจ้าพอใจมากที่ได้แต่งงานกับอ๋องหลี่ชินเช่นนั้นหรือ?!”
“แน่นอนเพคะ ในฐานะลูกของอนุย่อมต้องรู้จักเจียมตนอยู่เสมอ ในตอนนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความทะเยอทะยานและเย่อหยิ่ง หลังจากแต่งงานแล้วเข้าไปอยู่ที่ตำหนักของอ๋องหลี่ชิน หม่อมฉันก็ไม่อาจลืมพระคุณของท่านที่ทำให้หม่อมฉันได้มาอาศัยอยู่อย่างสุขสบาย ดังนั้นหม่อมฉันจึงรู้สึกขอบคุณองค์รัชทายาทยิ่งเพคะ”
นี่คือสิ่งที่นางคิดจริง ๆ หรือ?! หมี่โม่หรู่นั่งหน้าบูดบึ้งอยู่บนเก้าอี้เข็น อ๋องที่ป่วยและอ่อนแอช่างเหมาะสมกับลูกสาวอนุของมหาเสนาบดีผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานในบ้านเสียจริง!
ฉินปู้เข่อไม่ได้ตระหนักว่าคำพูดไร้สาระของนางได้ทำให้ใครบางคนไม่พอใจ นางเลิกคิ้วแล้วยกจอกให้หมี่เซวียนก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน “ได้โปรดเถิดเพคะ”
หมี่เซวียนเงยหน้าขึ้นกระดกสุรา น้ำเสียงของเขาไม่ค่อยดีนัก “บัดนี้พระชายากำลังเพลิดเพลินกับพระจันทร์เต็มดวง แล้วเจ้าเคยคิดถึงพี่สาวของตัวเองบ้างหรือไม่?!”
นั่นเป็นความผิดของนางเอง ฉินปู้เข่อก้มศีรษะลงและเผยร่องรอยของความพึงพอใจเมื่อเห็นความหงุดหงิดในแววตาของเขา
บัดนี้หมี่โม่หรู่จ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา
“หม่อมฉันเห็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่สาวของหม่อมฉันมากเพคะ หม่อมฉันหวังว่าสักวันหนึ่งท่านจะพาพี่สาวของหม่อมฉันกลับมาแล้วแต่งตั้งนางโดยลืมเรื่องในอดีตไป” ฉินปู้เข่อรีบปกปิดความรังเกียจในหัวใจของตนอย่างรวดเร็ว นางกำหมัดแน่น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและคับข้องใจราวกับว่านางเป็นคนถูกส่งตัวไปยังชนบทเสียเอง
หมี่ฉงจ้องนางด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อแล้วหันไปมองหมี่โม่หรู่โดยไม่เอ่ยคำใด ดวงตาของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘นางเสียสติไปแล้วหรือ?!’
เป็นเรื่องยากสำหรับหมี่ฉงที่จะเชื่อมโยงความน่าเวทนาของหญิงงามที่กำลังโศกเศร้าตรงหน้า กับนางมารผู้เกรี้ยวกราดในคืนนั้นที่เป็นผู้หญิงปากมันเยิ้มในตอนนี้
สีหน้าของหมี่โม่หรู่ไม่ได้เปลี่ยนไปนัก เขายกมือขึ้นแตะหางตาของเขา หากเขาไม่ได้ส่งคนไปคอยเฝ้านางเมื่อสองสามวันก่อนจนรู้นิสัยที่แท้จริงของนาง เขาก็คงจะถูกหลอกด้วยท่าทางเช่นนี้ไปแล้ว
“เจ้า…คิดเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?” หมี่โม่หรู่ไม่หลงกลแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่หลงกลนาง