สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 38 ผิดแผนโดยบังเอิญ
ตอนที่ 38 ผิดแผนโดยบังเอิญ
หมี่เซวียนมองดูหญิงงามผู้น่าสงสารที่น้ำตานองหน้าแล้วความสำนึกผิดก็ผุดขึ้นในใจของเขา คงจะดีมากหากได้หญิงงามเช่นนี้มาประดับไว้ในตำหนัก
น่าเสียดายที่ตอนนั้นฉินเสวี่ยเหลียนกับลูกในครรภ์ของนางถูกเปิดโปง เขาจึงสั่งให้นางแต่งงานกับอ๋องหลี่ชินด้วยความหุนหันพลันแล่น ซึ่งบัดนี้ไก่ก็บิน ไข่ก็แตก ข้างกายเขาไม่มีหญิงงามเลยแม้แต่คนเดียว
หมี่โม่หรู่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้องจ้องมองรอยยิ้มของฉินปู้เข่อ และความหื่นกระหายในดวงตาของหมี่เซวียน แล้วเขาหรี่ตาลงเล็กน้อย
หึ…
จู่ ๆ ฉินปู้เข่อก็รู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก นางหันไปมองนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์ก็ยังคงส่องแสงแรงกล้า ท้องฟ้าก็ยังไม่มืด แล้วเหตุใดห้องนี้ถึงได้หนาวเย็นนัก?!
เมื่อคิดว่าภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น นางจึงเก็บความรู้สึกหนาวเย็นที่อธิบายไม่ได้ไว้เบื้องหลังและตัดสินใจพูดต่อ
“นั่นเป็นเรื่องปกติเพคะ หม่อมฉันกับพี่สาวของหม่อมฉันเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ และพี่สาวกับน้องสาวต่างก็รักกันอย่างสุดซึ้ง แน่นอนว่าหม่อมฉันย่อมรู้สึกเสียใจกับพี่สาวของหม่อมฉันอย่างยิ่ง” ฉินปู้เข่อหยิบจานอาหารบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะยกไปตรงหน้าหมี่เซวียนแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่านี่เป็นอาหารจานเด่นของวันนี้ที่มีชื่อว่า ‘วสันตฤดูงอกงาม’ การดื่มสุราอย่างเดียวนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ ท่านต้องเสวยกับแกล้มด้วยเพคะ”
หึ~ เหมือนจะรู้สึกหนาวเย็นเสียยิ่งกว่าเดิมอีก ฉินปู้เข่อหันหน้าไปเห็นดวงตาที่เย็นเยียบราวกับเหล็กของหมี่โม่หรู่
เหตุใดผู้ชายคนนี้จึงมองข้าเช่นนั้น?! เขากินอิ่มแล้วหรือ?!
ฉินปู้เข่อแทบไม่อาจละสายตากลับไปได้ นางมองหมี่เซวียนด้วยดวงตาเป็นประกายแล้วถามเสียงเบาว่า “ท่านองค์รัชทายาท รสชาติเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
“วสันตฤดูงอกงามช่างเลิศรสนัก เป็นอาหารที่มีชื่อไพเราะและรสชาติของหน่อไม้ก็ดีมากเช่นกัน!”
ฉินปู้เข่อวางจานหน่อไม้วสันตฤดูไว้ตรงหน้าของเขาก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “หากท่านบอกว่ามันเลิศรสก็ย่อมต้องเลิศรสแน่”
“พระชายา การดื่มสุราอวยพรของเจ้านานเกินไปแล้วและอาจรบกวนเวลาเสวยอาหารขององค์รัชทายาท กลับมาเถิด” หมี่โม่หรู่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา และน้ำเสียงของเขาก็ยังคงนิ่งเฉย
“เพคะ” ฉินปู้เข่อกลับไปนั่งตำแหน่งเดิมอย่างเชื่อฟัง นางควรไปให้ห่างจากหมี่เซวียนจริง ๆ
ฉินปู้เข่อมองหมี่เซวียนที่กำลังร่ำสุรากับหมี่ฉง พลันรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
เมื่อเห็นท่าทางมีเลศนัยของนาง หมี่โม่หรู่ก็ข่มความไม่พอใจของตนไว้แล้วกระซิบว่า “เจ้าวางยาพิษลงในสุราหรือ?!”
“หม่อมฉันไม่ได้โง่เขลานะเพคะ เหตุใดหม่อมฉันต้องสังหารเขาด้วยการวางยาพิษด้วยเล่า? แม้ว่าหม่อมฉันต้องการจะหย่ากับท่าน แต่หม่อมฉันจะไม่หลอกลวงท่านหรอกนะเพคะ” ฉินปู้เข่อเฝ้ามองหน่อไม้วสันตฤดูตรงหน้าของหมี่เซวียนที่ค่อย ๆ ลดจำนวนลงอย่างเต็มไปด้วยความหวัง
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่ลงนามในหนังสือหย่า”
“หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันรู้เพคะ” ฉินปู้เข่อตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
ทันใดนั้นเอง ตะเกียบของหมี่ฉงก็ถูกเอื้อมไปคีบหน่อไม้วสันตฤดูในจานด้วย
“พี่ชายสาม!” ฉินปู้เข่อผุดลุกขึ้นแล้วพยายามจะหยุดหมี่ฉง แต่หมี่ฉงได้คีบหน่อไม้วสันตฤดูใส่ปากของตนเรียบร้อยแล้ว
“หืม?”
เมื่อเห็นท่าทีงงงวยของหมี่ฉงแล้ว ฉินปู้เข่อก็ยกมือแตะหน้าผากตัวเอง “ไม่มีอะไรเพคะ หม่อมฉันแค่ต้องการให้ท่านทั้งสองดื่มช้า ๆ เกรงว่าจะสำลักน่ะเพคะ”
ช่างมันเถิด ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะผิดแผนโดยบังเอิญไปแล้วก็ตาม แต่สิ่งนี้ก็เพียงแค่ทำให้คนร้องไห้หนักเท่านั้นและไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิตหรอก
เสียงจักรกลที่คุ้นเคยดังขึ้นเมื่อจานว่างเปล่า ฉินปู้เข่อบีบแขนเสื้อตนเองด้วยความตื่นเต้นราวกับว่านางกำลังรอดูการแสดง
“ฮือ… ข้า… ข้า…” หมี่เซวียนที่กำลังร่ำสุรามองจอกสุราตรงหน้าแล้วรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที เขาอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ ‘ฮือ’ ออกมา
หมี่ฉงก็ถูกความเศร้าโศกเข้าครอบงำ น้ำตาของเขาไหลพรากและท่าทางเขาก็ดูเศร้าสร้อยมากเช่นเดียวกัน
“ข้าเกลียดนัก ข้ารู้ดีว่าคุณสมบัติของข้านั้นธรรมดาแต่เสด็จแม่ของข้ามักจะคาดหวังให้ข้าเป็นคนสูงส่ง ข้าออกจากวังมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังต้องเข้าไปในวังเพื่อท่องบทเรียนให้นางฟังทุกวัน ข้าเป็นทุกข์มากเหลือเกิน…”
สิ่งนี้แตกต่างจากผงบ๊วยดองหลั่งน้ำ ความปวดร้าวผุดขึ้นมาจะตอกย้ำความคับข้องใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ในใจคนที่กินเป็นร้อยครั้ง ทำให้คนผู้นั้นรู้สึกล้มเหลวและโศกเศร้าจากภายในสู่ภายนอก น้ำตาเหล่านี้ไม่ใช่น้ำตาที่เกิดจากสรีรวิทยา แต่เป็นน้ำตาที่เกิดจากความขมขื่นที่ฝังอยู่ในใจของพวกเขามานานหลายปี
“ข้าเองก็เศร้ามากเช่นเดียวกัน…” หมี่ฉงมองโต๊ะที่ว่างเปล่าแล้วน้ำตาไหล “เงินเดือนของข้าหายไปหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว…แล้ววันรุ่งขึ้นข้าจะใช้ชีวิตอย่างไรดี…เมื่อสองสามวันก่อนข้าเจอดาบเล่มงามและยังลังเลที่จะซื้อมัน…แต่ตอนนี้เงินหมดไปกับค่าอาหารหมดแล้ว…”
ฉินปู้เข่อซบหน้าลงกับแขนเสื้อของตนเอง นางไม่อาจกลั้นหัวเราะได้ ไหล่ของนางสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้
“เจ้าทำอะไรกับพวกเขา?” หมี่โม่หรู่ก็ก้มหน้าลงและเอามือปิดหน้าไว้ก่อนยกยิ้มอ่อน
ชายร่างใหญ่สองคนกอดกันร้องไห้ต่อหน้าพวกเขา ไม่ว่าใครที่เห็นภาพนี้ก็ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้
“บางที…ใช่แล้ว พวกเขาน่าจะเมาแล้วน่ะเพคะ” ฉินปู้เข่อลูบหน้าให้หยุดหัวเราะแล้วตอบ
“ไม่ หม่อมฉันทนไม่ไหวแล้ว…” ทันทีที่นางเงยหน้ามามองภาพตรงหน้า ก็ต้องก้มหน้าลงแล้วหัวเราะลั่น
ปกติหมี่ฉงเป็นคนมองโลกในแง่ดีและดูเหมือนทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยเสียงหัวเราะ เขามีช่วงเวลาที่เศร้าโศกเช่นนี้น้อยมาก แต่เมื่อนางได้ยินสาเหตุของความโศกเศร้าของหมี่ฉง นางก็ไม่อาจหยุดหัวเราะได้
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดพวกเขาคงจะร้องไห้ไปอีกพักใหญ่ เรากลับกันก่อนเถิดเพคะ” ฉินปู้เข่อลุกขึ้นยืนแล้วดันรถเข็นออกไป หากนางยังอยู่ที่นี่ต่อโดยต้องกลั้นหัวเราะก็เห็นทีจะปวดท้องแน่
เมื่อเข้าไปในรถม้าแล้ว ฉินปู้เข่อก็ไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไปจึงหัวเราะลั่นออกมา
ปรากฏว่าหมี่เซวียนเศร้าเรื่องถูกแม่บังคับ ส่วนความเศร้าของหมี่ฉงก็แปลกประหลาดไม่แพ้กัน
หลังจากส่งหมี่โม่หรู่กลับไปที่ตำหนักและกลับไปที่สวนชิงอวี้แล้ว ฉินปู้เข่อก็ฮัมเพลงเบา ๆ แล้วกระโดดกลับไปที่ห้องอย่างมีความสุข
วันรุ่งขึ้นหมี่ฉงมานั่งไขว่ห้างแล้วบ่นว่า “เจ้าเจ็ด เมื่อวานนี้เจ้าทิ้งข้า! ช่างน่าโมโหนัก!”
หมี่โม่หรู่อดยกยิ้มไม่ได้ “ไม่มีทาง พวกท่านทั้งสองช่างน่าละอายนัก ข้าไม่อาจทนดูต่อได้ แค่ก แค่ก…”
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าดื่มอยู่ดี ๆ แล้วข้าก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา โศกเศร้ามาก น้ำตาไหลไม่หยุดเลย…” หมี่ฉงเหยียดขาออกแล้วนั่งอย่างเรียบร้อยราวกับเด็กน้อย เขาเองก็รู้สึกเขินอายเช่นกัน
“ท่านเมาหรือเปล่า?!” หมี่โม่หรู่ยกยิ้ม ชายร่างใหญ่สองคนกอดกันร้องไห้เมื่อวานนี้เกี่ยวข้องกับชายาตัวแสบของเขาอย่างแน่นอน
เมื่อวานบนรถม้าตอนกลับตำหนัก นางหัวเราะจนแทบจะหัวทิ่ม
“ข้าไม่รู้ตัวว่าข้าดื่มไปมากเพียงใด ข้าร่ำสุราเสียจนเมามายถึงเพียงนั้นเลยหรือ?!” หมี่ฉงยังคงสงสัยว่าเขาเมาจริงหรือเปล่า แต่ระหว่างทางกลับเมื่อวานนี้เขายังคงมีสติสัมปชัญญะและเดินอย่างสง่างามได้ ซึ่งไม่มีวี่แววว่าเมาเลย
เขาพลาดรายละเอียดอะไรไป คิ้วงามของหมี่โม่หรู่กระตุก เขาหมุนถ้วยชาในมือไปมาหลายครั้ง
“แต่หน่อไม้วสันตฤดูเมื่อวานมีรสชาติที่พิเศษนัก หลังจากกินคำแรกแล้วข้าก็รู้สึกเหมือนหยุดกินไม่ได้เลย” หมี่ฉงเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่อยากถูกหัวเราะเยาะต่อหน้าอีก
ดวงตาของหมี่โม่หรู่เป็นประกาย ดูเหมือนว่าหมี่ฉงจะเริ่มคุมตัวเองไม่ได้เมื่อเขากินหน่อไม้วสันตฤดูนั่น