สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 40 ดูเหมือนจะมีพิรุธนิดหน่อย
ตอนที่ 40 ดูเหมือนจะมีพิรุธนิดหน่อย
มีทหารยามอย่างน้อย 3 คนซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ในสวนชิงอวี้ทุกคืน เขาจึงได้รับสัญญาณตั้งแต่แรกที่นางก้าวเข้ามาในสวนชิงอวี้
เพียงแต่ว่าเขาต้องการเห็นว่านางต้องการจะทำสิ่งใด
“เอ่อ…” ฉินปู้เข่อหลับตาลงอย่างรวดเร็ว นางเอื้อมมือออกไปปัดป่ายในอากาศไปมาแล้วพึมพำกับตัวเองว่า “เดินละเมอ…ห้ามรบกวน…เดินละเมอ…”
ต้องหาทางหนีโดยเร็วที่สุด!
อย่างไรก็ตาม นางเพิ่งปีนขึ้นไปบนเตียง ดังนั้นหากนางต้องการจะลุกจากเตียงก็ต้องพลิกตัวออกจากร่างของหมี่โม่หรู่
ให้ตายเถอะ! นี่มันขุดหลุมฝังตัวเองชัด ๆ!
ฉินปู้เข่อมีสีหน้าขมขื่น หญิงสาวค่อย ๆ ขยับร่างกายออกจากเตียง โดยต้องการออกจากความถูกผิดของที่นี่ให้เร็วที่สุด
“อะไรนะ? ปีนขึ้นมาบนเตียงของข้าในยามวิกาลแล้วยังคิดว่าจะหนีไปได้อย่างนั้นหรือ?” หมี่โม่หรู่หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งราวกับว่าเขากำลังฝัน
ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยิน…
ฉินปู้เข่อลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็วแล้วกำลังจะวิ่งออกไป
“ช้าก่อน” ใครบางคนคว้าคอเสื้อของนางไว้
ฉินปู้เข่อเอามือกุมศีรษะของตนไว้แล้วนั่งยอง ๆ กับพื้น “อย่าทำร้ายหม่อมฉันเลย หม่อมฉันเดินละเมอ หม่อมฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น…”
มุมปากของหมี่โม่หรู่กระตุกขึ้นเมื่อเห็นท่าทางขี้ขลาดของนาง นางกล้าบุกเข้ามาในห้องนอนของอ๋องในยามวิกาลด้วยความกล้าหาญถึงเพียงนี้!
เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงแล้วชี้ไปที่หนังสือหย่าและแผ่นหมึกที่กระจัดกระจายอยู่บนเตียง “พระชายาทำของหล่นไว้ใช่หรือไม่”
ฉินปู้เข่อหยิบหนังสือหย่าและแผ่นหมึกมาไว้ในอ้อมแขนของตนแล้วหนีไปด้วยความแค้นใจ
ผู้ชายคนนี้! ช่างน่ารังเกียจนัก! อย่ามาทำให้ข้านอนไม่หลับกลางดึกเช่นนี้สิ!
ฉินปู้เข่อสาปแช่งเสียงเบา ตอนนี้นางรู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิด
หลังจากเหตุการณ์สงบลง หมี่โม่หรู่ก็คลุมผ้าห่มอีกครั้ง เมื่อเขาหลับตาลงอีกครั้ง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขาโดยไม่รู้ตัว…
วันรุ่งขึ้นแสงแดดจ้าส่องแสงลงมาที่ขอบหน้าต่าง
ฉินปู้เข่อไม่อาจนอนคลุมโปงกลิ้งไปมาอยู่ใต้ผ้าห่มได้อีกต่อไป นางไม่อาจทำให้เขาลงนามได้และพิมพ์ลายนิ้วมือก็ไม่สำเร็จ นางต้องหาหนทางใหม่
“พระชายา ได้เวลารับประทานอาหารแล้วเพคะ” ซวงหวนเตือนเสียงเบาข้างเตียง
“ลุกไม่ไหว…”
“แต่ท่านอ๋องขอให้ท่านไปหาหลังอาหารเช้านะเพคะ” ซวงหวนลังเล ทุกวันนี้นางไม่เคยเห็นพระชายาคิดจะไปหาท่านอ๋องที่สวนชิงอวี้เลย และท่านอ๋องก็ไม่ได้เรียกพระชายาด้วย
“อะไรนะ!” ฉินปู้เข่อลุกขึ้นนั่งแล้วยกม่านขึ้นด้วยความตกใจ “ข้าไม่ไปไม่ได้หรือ?”
เมื่อคืนนี้ข้าถูกจับได้ วันนี้เขาคงจะคิดบัญชีกับข้าแน่
“ท่านอ๋องบอกว่าก่อนที่พระชายาจะตัดสินใจ โปรดคิดถึงกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นในวันนั้นด้วยเพคะ”
เวรเอ๊ย!
ฉินปู้เข่อโกรธจนทำอะไรไม่ถูก นางจึงผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า
“เอ๊ะ พระชายา รองเท้าของท่านอยู่ที่ใดหรือเพคะ”
“อยู่ในสวนชิงอวี้” เมื่อคืนนางวิ่งเร็วเกินไป และเมื่อนางกลับมาก็พบว่านางลืมรองเท้าไว้ข้างเตียงของหมี่โม่หรู่
นางไม่สนใจท่าทางสับสนของซวงหวน ฉินปู้เข่อเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยอาการงัวเงีย ล้างหน้าแล้วรับประทานอาหาร จากนั้นก็ลากชายเสื้อของซวงหวนเดินหลับตาครึ่งหนึ่งไปยังห้องอ่านหนังสือราวกับวิญญาณเร่ร่อน
“พระชายา ลืมตาเถิด มาถึงแล้วเพคะ”
ทันทีที่พูดจบ เสียงกระเซ้าของหมี่ฉงก็ดังขึ้น “น้องสาวของพี่ ตาของเจ้าเป็นอะไร เจ้าถูกใครต่อยมาหรือ?!”
สมองของฉินปู้เข่อยังไม่ตื่นเต็มที่ นางใช้เวลานานกว่าจะรู้ตัวว่าหมี่ฉงกำลังหัวเราะเยาะความหมองคล้ำของนาง
เมื่อคืนหลังจากที่นางกลับถึงห้อง นางสงบสติอารมณ์อยู่นานกว่าจะทำให้หัวใจดวงน้อยที่เต้นระรัวของนางสงบลงได้ แล้วนางก็ครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะหนีจากเขาไปอย่างไรดี นางจึงไม่ได้หลับเลยจวบจนรุ่งสาง
ใครจะรู้ว่านางยังไม่ได้นอนเลยสักชั่วโมงแล้วยังโดนเรียกตัวมาอีก แล้วขอบตานางจะไม่ดำได้อย่างไร?
ฉินปู้เข่อจ้องมองหมี่ฉง นางรีบเปลี่ยนท่าทางของตนอย่างรวดเร็วแล้วสะบัดหน้าไล่ความง่วงงุนออกไป
“ท่านอ๋อง” นางก้มศีรษะแล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า เพื่อถวายความเคารพก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “หม่อมฉันไม่รู้ว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงเรียกหม่อมฉันมาในวันนี้เพคะ”
หมี่ฉงมองดูท่าทางที่อ่อนโยนและสง่างามนี้ ก่อนจะเอนตัวพิงกรอบประตูพลางกลั้นยิ้มพร้อมที่จะรับชมการแสดง เขาได้ยินเกี่ยวกับวีรกรรมจากอ๋องเจ็ดเมื่อคืนนี้แล้วตอนที่เขากำลังรับประทานอาหารเช้า
เขาอยากรู้นักว่าน้องสาวของพี่ชายคนนี้กล้าหาญเพียงใดถึงได้กล้าบุกเข้าไปในสวนชิงอวี้ในยามวิกาล
“เมื่อเช้านี้ ข้าพบรองเท้าคู่หนึ่งวางอยู่ข้างเตียง มันช่างดูคุ้นตานักจึงเรียกพระชายาให้มาดู” หมี่โม่หรู่เหลือบมองท่าทางอวดดีของนางและรู้ว่านางยังไม่พร้อมที่จะยอมรับ
“หม่อมฉันไม่ได้ทำรองเท้าหายเพคะ ท่านอ๋องก็เห็นว่าหม่อมฉันยังคงสวมรองเท้าอยู่” ฉินปู้เข่อยกกระโปรงขึ้นเพื่ออวดรองเท้าใหม่ที่เท้าของนางพลางยกยิ้มอ่อนโยน “บางทีท่านอ๋องอาจเรียกนางสนมคนใดมาปรนนิบัติเมื่อคืนนี้ก็เป็นได้ แล้วนางก็อาจเผลอทำรองเท้าตกไว้เพคะ”
หมี่โม่หรู่ก้มศีรษะลงแล้วจ้องไปที่ม้วนหนังสือก่อนจะพูดอย่างใจเย็น “โอ้ หากเป็นเช่นนั้นพระชายาควรนำรองเท้าออกไป”
“เพคะ!” ฉินปู้เข่อก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยิบรองเท้า นางเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วมองไปที่หมี่ฉง
ฟึ่บฟึ่บ–
อ๋องทั้งสองเฝ้าดูนางเก็บรองเท้าราวกับกำลังรับชมการแสดง
“ในเมื่อรองเท้าไม่ใช่ของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ขอถามว่าท่านอ๋องประสงค์สิ่งใดอีกหรือไม่ หากไม่มีอะไรแล้วหม่อมฉันต้องขอทูลลาก่อนนะเพคะ” ฉินปู้เข่อเผยรอยยิ้ม หมุนกายหันไปทางประตูห้องอ่านหนังสือแล้ว
“อืม”
ฉินปู้เข่อรู้สึกราวกับว่าได้รับการนิรโทษกรรมจึงรีบกล่าวคำอำลา
เมื่อเท้าข้างหนึ่งก้าวพ้นจากประตูห้องอ่านหนังสือ เสียงปีศาจก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ในวันที่ข้าไปหมิงเทาเยี่ยนได้ยินคำกล่าวขานว่าหน่อไม้วสันตฤดูใน ‘วสันตฤดูงอกงาม’ มีรสชาติล้ำเลิศนัก ดูเหมือนว่าพระชายาจะเป็นคนเตรียมไปด้วยหลังจากปรุงเองเสร็จแล้ว วันนี้พระชายาปรุงให้ข้าชิมบ้างได้หรือไม่?”
ร่างของฉินปู้เข่อนิ่งงันไปอย่างเห็นได้ชัด คนผู้นี้รู้ได้อย่างไร?!
วันนั้นนางกล้านำ ‘หน่อไม้วสันตฤดูเศร้าหมอง’ ออกมาเพราะมีอาหารมากมายอยู่บนโต๊ะ เมื่อมีอีกจานหนึ่งเพิ่มมาจึงสังเกตได้ไม่ง่ายนัก
วันนั้นหมี่โม่หรู่ดูไม่ได้สงสัยเลย เหตุใดเขาจึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในวันนี้?!
นางมีพิรุธอะไรหรือไม่?!
ฉินปู้เข่อหันกลับพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ “ท่านอ๋อง หน่อไม้วสันตฤดูที่เก็บไว้ในห้องของหม่อมฉันหมดแล้วเพคะ จะเป็นการดีกว่าที่จะรอให้หม่อมฉันเก็บหน่อไม้วสันตฤดูในปีหน้าแล้วนำมาปรุงอาหารให้ท่านอ๋องเพคะ”
“อืม เช่นนั้นก็ได้” หมี่โม่หรู่เหลือบมองฉินปู้เข่ออย่างไร้ความรู้สึก แล้วก้มมองม้วนหนังสือในมือของเขาต่อ
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ” ฉินปู้เข่อก้าวออกจากห้องอ่านหนังสือแล้ววิ่งออกจากสวนชิงอวี้ราวกับกระต่ายตื่นตกใจ เพราะเกรงว่าหมี่โม่หรู่จะถามคำถามที่นางไม่อาจต้านทานได้อีก
เมื่อกลับมายังสวนเฉินอวี้แล้ว ฉินปู้เข่อก็ดื่มชาสามถ้วยติดต่อกันเพื่อปกปิดความตื่นตระหนกของตน
นางกลัวตายตั้งแต่เมื่อคืนจวบจนถึงบัดนี้ หมี่โม่หรู่เป็นคนระมัดระวังและรอบคอบ ไม่ช้าก็เร็วหน้ากากของนางย่อมต้องถูกถอดออกแน่
ทนอยู่ในตำหนักของอ๋องหลี่ชินแห่งนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว!