สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 46 ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้
ตอนที่ 46 ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้
ตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว ทัศนคติของฮ่องเต้ที่มีต่อหมี่โม่หรู่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากทุกปี และเขาไม่ได้รับเชิญให้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองต้นฤดูใบไม้ร่วงในพระราชวังมาเกือบ 10 ปีแล้ว
ทว่าคราวนี้เสด็จอาที่เก้าได้เขียนชื่อเขาแล้วส่งเทียบเชิญไปยังตำหนักของอ๋องหลี่ชิน ที่เหนือความคาดหมายไปกว่านั้นคือเขาส่งข้อความถึงพระชายาหลี่ชินโดยเฉพาะแล้วขอให้เขามอบมันให้แก่นาง
“ฮ่องเต้ ฮองเฮาหรือพระสนมเพคะ?” ฉินปู้เข่อเอ่ยถาม อย่างไรเสียคนเหล่านี้ก็คือคนที่นางเข้าไปในพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าพวกเขาในวันนั้น
เมื่อเห็นท่าทางใจเย็นของนาง หมี่ฉงก็ไม่อาจคาดเดาความจริงที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนางได้ชั่วขณะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ฉินปู้เข่อก็มีทักษะด้านการแสดงที่สมบูรณ์แบบราวกับว่านางเคยเข้าโรงเรียนสอนการแสดง
“คนผู้นั้นคือเสด็จอาที่เก้า อ๋องจั่วเสียน” หมี่ฉงเหลือบมองเล็กน้อย เขาไม่ยอมพลาดการแสดงออกทางสีหน้าใด ๆ บนใบหน้าของฉินปู้เข่อ
“อืม…อ๋องจั่วเสียนหรือเพคะ? หม่อมฉันเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนสักแห่ง” ฉินปู้เข่อพยายามเรียกคืนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่ก็พบว่าความเข้าใจเกี่ยวกับอ๋องจั่วเสียนของเจ้าของร่างเดิมนั้นเลือนรางอย่างมาก
“เสด็จอาที่เก้าปกป้องชายแดนมาโดยตลอด เมื่อนานมาแล้วในช่วงสงครามระหว่างต้าเซี่ยกับเวียดนามตะวันตก ท่านนำกองทัพของท่านไปสู่ชัยชนะอย่างองอาจ ท่านควรจะกลับมาอย่างมีชัย หากแต่การกลับมาของท่านเกิดความล่าช้าเนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัส งานเลี้ยงที่พระราชวังในวันมะรืนนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อเฉลิมฉลองต้นฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น แต่ยังเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของอ๋องจั่วเสียนด้วย”
“เอ่อ เหตุใดท่านจึงเล่าให้หม่อมฉันฟังเยอะถึงเพียงนี้ ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นคนส่งเทียบเชิญมาให้ หม่อมฉันก็ควรต้องไปและอาจไปเป็นภาระของผู้อื่น” ฉินปู้เข่อขมวดคิ้ว ปกติแล้วองค์ชายและอ๋องเหล่านี้มักจะเย่อหยิ่งและทะนงตนเพื่อทำให้ผู้อื่นหวาดเกรง
เมื่อเห็นว่าหมี่ฉงยังไม่จากไปสักที ฉินปู้เข่อก็อดสงสัยไม่ได้ “พี่ชายสามมีอะไรจะอธิบายอีกหรือไม่เพคะ?”
“อะแฮ่ม เจ้าเคยไปงานเลี้ยงในพระราชวังมาก่อนหรือไม่ และเจ้ารู้กฎของงานเลี้ยงในพระราชวังหรือไม่ ข้ายังคงรอให้เจ้าถามอยู่” หมี่ฉงกระแอมในลำคออย่างดูไม่เป็นธรรมชาติ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้อยู่กับฉินปู้เข่อสองต่อสอง เขาจึงรู้สึกว่าเขาไม่อยากจากไปด้วยเหตุผลบางอย่าง
“งานเลี้ยงในพระราชวัง…ก็เป็นแค่กลุ่มราชวงศ์และเหล่าชนชั้นสูงที่สวมเสื้อผ้าราคาแพงแสร้งประจบสอพลอกัน และยังเป็นสถานที่พบปะกันสำหรับชายหญิงตระกูลชนชั้นสูงที่ยังไม่แต่งงานไม่ใช่หรือเพคะ?” นางเคยดูละครพีเรียดหลายเรื่องและดูเหมือนว่างานเลี้ยงในวังจะเป็นพิมพ์เดียวกันหมดเช่นนี้
“นางสนมที่มักจะชิงดีชิงเด่นก็หยุดทะเลาะกันและแสดงต่อหน้าฮ่องเต้ว่าเป็น ‘พี่น้องที่รักกันแบบจอมปลอม’ เหล่าเสนาอำมาตย์ที่มักจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนก็เลิกโต้เถียงกันและแสร้งทำเป็นสนุกสนานต่อหน้าฮ่องเต้ แม้กระทั่งระยะห่างระหว่างฮ่องเต้กับเสนาบดีก็ดูเหมือนจะใกล้ชิดกันมากขึ้น กล่าวสั้น ๆ ว่าเป็นการ ‘สวัสดี ข้าสวัสดีทุกคน’ มันคือการแสดงครั้งยิ่งใหญ่”
“นี่…” หมี่ฉงสำลักอีกครั้ง เดิมทีเขาต้องการจะแนะนำกฎเกณฑ์และรูปแบบของงานเลี้ยงในพระราชวังวังอย่างจริงจัง แต่นางกลับอธิบายสาระสำคัญของงานเลี้ยงในพระราชวังได้ด้วยประโยคเดียว
หมี่ฉงโปรดปรานงานรื่นเริงมาโดยตลอด เขามักมีส่วนร่วมในงานเลี้ยงในพระราชวัง งานเลี้ยงของครอบครัว และงานเลี้ยงร้อยบุปผา แต่บัดนี้จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่างานเลี้ยงเหล่านี้ล้วนน่าเบื่อหน่าย
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเขากลับมาจากงานเลี้ยงในพระราชวังแล้วมาเล่าให้หมี่โม่หรู่ฟัง หมี่โม่หรู่ก็พูดบางอย่างคล้ายกับที่นางบอก
ตอนเขายังเด็ก เขาคิดว่าหมี่โม่หรู่เป็นพวก ‘กินองุ่นไม่ถึง แล้วไปพูดว่าองุ่นเปรี้ยว[1]’
ภายหลังเขาถึงได้รู้ว่านิสัยของหมี่โม่หรู่เป็นเช่นนี้ เขาไม่ชอบเสียงดังและงานรื่นเริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสที่ต้องปั้นหน้าร่าเริงแต่แท้จริงแล้วหน้าซื่อใจคด
“ตกลงเพคะ พี่ชายสาม หม่อมฉันจะจดจำสิ่งที่ท่านบอกไว้เป็นอย่างดี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านอ๋องขายหน้าตอนเข้าพระราชวังในวันมะรืนนี้เพคะ” ฉินปู้เข่อยกยิ้มอย่างอ่อนน้อม
ดูเหมือนว่านางจะตรงไปตรงมาเกินไป ซึ่งทำลายความภาคภูมิใจในตนเองของหมี่ฉง ท้ายที่สุดแล้วงานเลี้ยงในพระราชวังอันโด่งดังก็เป็นที่รู้กันทั่วไปของเหล่าชนชั้นสูง
“เพราะอ๋องจั่วเสียน รูปแบบของงานเลี้ยงในพระราชวังครั้งนี้จึงเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของอ๋องจั่วเสียน ในงานเลี้ยงสตรีสูงศักดิ์เกือบทุกคนจะแสดงความสามารถเกี่ยวกับรูปแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นกวีนิพนธ์ คัดลายมือ ภาพวาด ดนตรีและการเต้นรำ”
ฉินปู้เข่อกะพริบตาสองครั้ง โอ้แม่เจ้า นี่ไม่ใช่การแสดงสรรเสริญเยินยอครั้งใหญ่ใช่หรือไม่ อ๋องจั่วเสียนผู้นี้ยิ่งใหญ่เพียงใดถึงได้ต้องการให้ทุกคนมาสรรเสริญตน
“น้องสะใภ้ก็สามารถเตรียมตัวสำหรับสองวันข้างหน้านี้ได้เช่นกัน” หมี่ฉงเอ่ยเตือนอย่างจริงใจว่านางต้องปรากฏตัวต่อหน้าหมี่โม่หรู่อีกครั้งหลังจากเงียบไปนาน ดังนั้นนางต้องเคลื่อนไหวบ้างแล้ว
“หม่อมฉันหรือเพคะ?!” ฉินปู้เข่อชี้ไปที่จมูกของตน “หม่อมฉันควรซ่อนตัวอยู่ข้างหลังฝูงชนแล้วกินอาหารอร่อย ๆ หรือพี่ชายสามต้องการให้ข้าแสดงการกินน่องไก่ห้าสิบน่องภายในเวลาครึ่งชั่วยามเล่าเพคะ?!
“เจ้าเป็นสตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในต้าเซี่ย ย่อมเป็นไปได้ที่จะเขียนบทกวีโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำใด”
“ไม่เพคะ” ฉินปู้เข่อปฏิเสธทันที เจ้าของร่างเดิมเป็นสตรีผู้มีความสามารถแต่นางไม่ใช่เลย นอกจากนี้นางยังพูดจายกยอไม่เก่งอีกด้วย ดังนั้นอย่าพยายามประจบสอพลอแล้วเผลอทำผิดพลาดจนทำให้ตัวเองเดือดร้อนเลย
……………………………………………………………………………
[1] มาจากนิทานเรื่องหมาป่ากับองุ่น มีหมาป่าตัวหนึ่งอยากกินองุ่นแต่พอเจอต้นองุ่นมันกระโดดกี่ครั้งก็ไม่ถึง จึงปลอบใจตัวเองว่าองุ่นเปรี้ยวแน่นอน ไม่กินดีกว่าแล้วก็จากไป