สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 49 เกรงว่านางจะไม่กล้าไปฟ้อง
ตอนที่ 49 เกรงว่านางจะไม่กล้าไปฟ้อง
“โอ้ ข้าก็นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็เป็นพระชายาหลี่ชินที่ได้เปลี่ยนแซ่อย่างฉาบฉวยนี่เอง เกรงว่าพระชายาจะมาผิดที่เสียแล้ว นี่คือโถงสำหรับสตรีที่ยังไม่แต่งงานแล้วพระชายามาทำอะไรที่นี่ เจ้าเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว เหตุใดจึงไม่ไปรับใช้อ๋องพิการของเจ้าเล่า?”
“ฉินชิงเหยียน?” ฉินปู้เข่อมองผู้มาเยือนแล้วขมวดคิ้ว
“ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าด้วยชื่อเต็ม!” ฉินชิงเหยียนจ้องนางเขม็ง “เจ้าเป็นลูกสาวที่เกิดจากอนุในจวนเสนาบดี ฉะนั้นโดยพื้นฐานแล้วเจ้าก็เป็นคนรับใช้ของจวนเสนาบดี ในฐานะคนรับใช้ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาเรียกชื่อเต็มของข้า?!”
ใช่ ฉินปู้เข่อก้มหน้าลงด้วยความไม่พอใจ
ในแง่ของสถานะ ฉินชิงเหยียนเป็นน้องสาวของฉินเสวี่ยเหลียน ลูกสาวคนที่สองแห่งจวนเสนาบดี เมื่อฉินเสวี่ยเหลียนถูกส่งตัวกลับไปยังบ้านเกิดของนางเมื่อไม่นานนี้ ฮูหยินฉินจึงได้ให้ฉินชิงเหยียนตามไปดูแล ดังนั้นฉินปู้เข่อจึงไม่พบนางในวันนั้น
ในแง่ของอายุนั้น ฉินชิงเหยียนอายุน้อยกว่าฉินปู้เข่อเพียงไม่กี่เดือน และพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของนางเพิ่งจัดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน นางจึงเป็นน้องสาวคนที่สามของฉินปู้เข่อ
“ไฉ่เว่ย ตบปากนางเสีย” ฉินชิงเหยียนเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าและแม่ของเจ้าเป็นเพียงคนรับใช้ในจวน อย่าคิดว่าหากเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังแล้วเจ้าจะทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้าได้จริง ๆ สถานะของเจ้าแท้จริงก็เท่าเทียมกับสตรีผู้นั้นนั่นแหละ!”
ฉินชิงเหยียนรับรู้เบื้องหลังเรื่องราวการแท้งของพี่สาวของนางเป็นอย่างดี ฉะนั้นนางก็ย่อมเกลียดชังฉินปู้เข่อเข้ากระดูกดำ
หากไม่ใช่เพราะฉินปู้เข่อ พี่สาวของนางก็คงไม่พบจุดจบด้วยการถูกทำลายชื่อเสียงจนย่อยยับ และท่านอ๋องก็คงจะกลับใจแต่งงานกับนาง
สาวใช้ชุดสีชมพูปรี่เข้ามาพร้อมกับฝ่ามือของนาง
ซวงหวนเข้ามาคว้าไว้ได้ทันเวลาแล้วบีบข้อมือของไฉ่เว่ยไว้ในมือของนาง
ฉินปู้เข่อหรี่ตามองฉินชิงเหยียนแล้วหัวเราะเบา ๆ
“แน่นอนว่าข้าผู้นี้ย่อมไม่เท่าเทียมกับแม่นางฉินชิงอยู่แล้ว แต่บัดนี้ข้าเป็นนายหญิงผู้เป็นที่รักของตำหนักอ๋องหลี่ชิน และเป็นพระชายาผู้ชอบธรรมของอ๋องหลี่ชินที่ได้เข้าสู่ราชสำนัก แล้วเจ้าเป็นอะไรเล่านอกเสียจากลูกสาวของมหาเสนาบดี”
ฉินชิงเหยียนมองฉินปู้เข่ออย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เหตุใดสตรีผู้นี้จึงแตกต่างจากตอนที่นางอยู่ในจวน?!
นางเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา “แต่การเป็นพระชายาของอ๋องพิการที่ไม่มีผู้ใดโปรดปรานนั้นน่าอับอายเกินกว่าจะเอามาพูดโอ้อวด หากข้าจำไม่ผิดนี่เป็นครั้งแรกที่อ๋องหลี่ชินได้รับเชิญให้มางานเลี้ยงในพระราชวังในรอบเกือบสิบปี”
เพี๊ยะ!
ฉินปู้เข่อยกมือขึ้นตบใบหน้าฉินชิงเหยียน
ช่วงนี้นางยกท่อนเหล็กอย่างหนักหน่วง แขนของนางจึงมีกล้ามอยู่แล้ว ใบหน้าของฉินชิงเหยียนจึงบวมขึ้นทันทีหลังจากถูกตบ
“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาตบข้า!” ฉินชิงเหยียนยกมือข้างหนึ่งปิดหน้าแล้วง้างมือขึ้นสูงหมายจะโต้กลับ
เพี๊ยะ!
ฉินปู้เข่อจับมือนางที่กำลังจะตบอย่างง่ายดายแล้วตบนางอีกครั้ง “หากข้าคิดจะตบเจ้า ข้าก็จะตบเจ้า ข้าจำเป็นต้องเลือกวันตบหรือ?”
“นังลูกสาวอนุ เจ้า…”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะแย่แล้วนะ” สีหน้าของฉินปู้เข่อไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป และแรงในการจับข้อมือของฉินชิงเหยียนก็เพิ่มขึ้น จนสีหน้าของนางเปลี่ยนไปโดยที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
“แม่นางเข่อ…พระชายา ใจเย็นก่อนเถิด หากเจ้าทำลายความสงบของงานเลี้ยงในพระราชวังในวันนี้จะแย่เอานะ” จานหานชิวก้าวเข้าไปดึงแขนเสื้อของฉินปู้เข่อไว้แล้วเหลือบมองไปทั่วโถงทิศตะวันตก
ในเวลานี้ เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์สิบหรือยี่สิบคนก็เข้ามาในวังทีละคน และบางคนก็เริ่มพูดถึงเรื่องนี้กันแล้ว
“ก็ได้” ฉินปู้เข่อยกยิ้มให้จานหานชิว และมือของนางก็ผ่อนแรงที่มือลง
เนื่องจากความเชื่องช้า ฉินชิงเหยียนจึงสะดุดล้มลง นางถอยหลังไปราวสองสามก้าวก่อนจะลุกขึ้นยืน
ลู่ชูอี้เดินไปหาฉินชิงเหยียนแล้วกระซิบว่า “น้องสาวฉิน สิ่งที่พระชายาหลี่ชินพูดนั้นมีเหตุผล เจ้าควรไปขออภัยพระชายาก่อน บัดนี้มีคนเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องกลัวว่าผู้อื่นจะหัวเราะเยาะเจ้าและพี่สาวของเจ้าหรอก”
“อย่ามาแสร้งทำเป็นคนดีที่นี่!” ฉินชิงเหยียนจ้องลู่ชูอี้แล้วตะโกนว่า “ผู้ใดเป็นน้องสาวของนาง!”
หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังวิ่งออกจากโถงทิศตะวันตก
เมื่อซวงหวนเห็นดังนั้นก็ปล่อยมือของไฉ่เว่ยแล้วปล่อยให้นางรีบวิ่งตามออกไป
“พระชายา ท่านต้องการให้ข้าน้อยติดตามท่านไปที่นั่นหรือไม่เพคะ”
เมื่อถูกตบเช่นนี้ นางต้องรีบไปฟ้องอย่างแน่นอน เมื่อนึกถึงวิธีการของฮูหยินฉินในคืนเหย้าวันนั้น ซวงหวนก็มีความกลัวอยู่บ้าง คราวที่แล้วนางไม่ได้ปกป้องพระชายาเป็นอย่างดี ในครั้งนี้นางจะต้องไม่ปล่อยให้พระชายาถูกทำร้ายอีก
“ไม่ต้อง” ฉินปู้เข่อเผยรอยยิ้มซุกซนเพราะเกรงว่านางจะไม่กล้าไปฟ้อง
………………………………………………………………………….