สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 53 น้ำดับไฟ
ตอนที่ 53 น้ำดับไฟ
“หานชิว เจ้ารู้หรือไม่ว่าสุขาในโถงทิศตะวันตกอยู่ที่ใด” ฉินปู้เข่อจับแขนนาง
นางจำได้ว่าจานหานชิวเป็นลูกสาวคนที่สี่ของตระกูลจาน นางมีบุคลิกอ่อนโยนและนุ่มนวลคล้ายกับบุคลิกของเจ้าของร่างเดิมมากและยังชอบดนตรีอีกด้วย ดังนั้นนางจึงเป็นคนที่พูดคุยได้ง่าย พี่สาวสองคนของนางแต่งงานแล้ว และพี่ชายของนาง จานสือชีก็อยู่ในกองทัพมาหลายปี
“หม่อมฉันจะพาพระชายาไปเพคะ” จานหานชิวก้มหน้าลงอย่างประหม่าเล็กน้อย
“พระชายานั้นให้คนอื่นเรียก ก่อนหน้านี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไร ตอนนี้เจ้าก็เรียกข้าเช่นนั้นเถิด”
เมื่อจานหานชิวได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเข่อ เมื่อครู่นี้เจ้าทำให้ข้ากลัวจริง ๆ แต่เจ้าก็พูดถูกเพราะบัดนี้เจ้าเป็นพระชายาผู้เด็ดขาดไปแล้ว ข้าได้ยินมาว่าในตำหนักของท่านอ๋องมีนางสนมมากมาย ข้าจึงกังวลว่าเจ้าจะถูกนางสนมเหล่านั้นรังแกเพราะนิสัยของเจ้า”
ฉินปู้เข่อตบไหล่นางแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ข้าก็ช่วยไม่ได้”
ทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เมื่อไม่ได้เจอกันหลายวันจึงเริ่มสนทนากัน
จานหานชิวหันหลังเดินออกจากโถงตะวันตกแล้วชี้ไปที่ป่าไผ่เล็ก ๆ ข้างหน้า “เจ้าเข้าไปข้างในนั้นเถิด ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก”
ฉินปู้เข่อพยักหน้า นางก้าวเข้าไปเพียงสองก้าวก็หันหน้ากลับด้วยความผิดหวัง “หานชิว ที่นี่ปิดแล้ว”
ปรากฏว่าห้องสุขาในสมัยโบราณก็ยังมีช่วงเวลา ‘ไม่เปิดให้บริการ’
“ข้ายังรู้จักอีกที่หนึ่ง มันค่อนข้างไกลจากที่นี่เล็กน้อย…”
“ไปเถิด!” ก่อนที่นางจะพูดจบ ฉินปู้เข่อก็ลากนางวิ่งออกไป “คนเรามีความเร่งด่วนสามประการ และความเร่งด่วนประการนี้ไม่อาจรอได้มากที่สุด”
เมื่อมาถึงที่หมาย และฉินปู้เข่อได้หายเข้าไปด้านในครู่หนึ่ง นางก็ออกมาจากห้องสุขาด้วยท่าทางร่าเริง “ในที่สุดก็โล่งแล้ว”
จานหานชิวปิดปากของตนด้วยผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมแล้วยกยิ้มเล็กน้อย “เสี่ยวเข่อดูเหมือนเจ้าจะแตกต่างจากเมื่อก่อน ข้ารู้สึกว่าเจ้าเปลี่ยนไปมากหลังจากแต่งงาน”
“จริงหรือ แล้วมันดีขึ้นหรือแย่ลง?” ฉินปู้เข่อเลิกคิ้วแล้วชำเลืองมองนาง จานหานชิวเป็นสุภาพสตรีอย่างแท้จริง นางปฏิบัติตามมารยาทในทุกอิริยาบถ
“เจ้าดูมีชีวิตชีวาและน่าสนใจขึ้นมาก” จานหานชิวขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่พูด “ไม่จริงจังจนเกินไป”
ห้องสุขาแห่งนี้อยู่นอกโถงฉางอาน ขณะที่เดินกลับทั้งสองก็พูดคุยกันและหัวเราะไปตลอดทาง
เมื่อเดินออกมาตามทางเดินไปห้องสุขาแล้ว หญิงงามในชุดสตรีชั้นสูงก็วิ่งมาทางพวกนาง
เมื่อจานหานชิวเห็นสตรีนางนั้นก็รีบเอ่ยทักทาย “หม่อมฉันคำนับองค์หญิงแปดเพคะ”
“อืม” หมี่จิ่งหานยังคงเดินต่อไป นางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“เหตุใดนางจึงวิ่งเร็วเช่นนั้น หรือว่ารีบไปห้องสุขา?” ฉินปู้เข่อพูดติดตลก
จานหานชิวเอามือกระทุ้งนางแล้วพูดอย่างฉุนเฉียว “อย่างไรเสียบัดนี้เจ้าก็เป็นพี่สะใภ้ขององค์หญิงแปด ฉะนั้นระวังวาจาด้วย”
“โอ้” ฉินปู้เข่อหุบยิ้มแล้วแสร้งทำหน้าตาขมขื่น “ใช่ เจ้าพูดถูก”
จานหานชิวรู้สึกขบขันกับสีหน้าเช่นนั้นของนาง ขณะที่ทั้งสองกำลังสนุกสนานกัน หางตาของพวกนางก็เห็นควันสีดำลอยออกมา
“เหตุใดจึงมีควันตรงนั้น มีใครเอาน้ำไปดับไฟแล้วหรือยัง”
เมื่อมองไปยังควันดำที่พวยพุ่งออกมา ฉินปู้เข่อก็รีบวิ่งไป “ต้องรีบเอาน้ำมา หานชิว รีบพาขันทีจากโถงในพระราชวังมาแบกน้ำเพื่อดับไฟ ข้าจะไปดูก่อนว่ามีใครอยู่ข้างในหรือไม่”
เนื่องจากวันนี้ในพระราชวังมีงานเลี้ยง ขันทีส่วนใหญ่ในบริเวณนี้จึงถูกย้ายไปประจำการที่โถงฉางอาน และมีขันทีเพียงไม่กี่คนที่ลาดตระเวนอยู่นอกห้องโถง
“ระวังตัวด้วยนะ” จานหานชิวบอกแล้วรีบวิ่งไปยังโถงฉางอานเพื่อเรียกคนมาช่วย
ฉินปู้เข่อวิ่งไปยังที่เกิดเหตุเพลิงไหม้จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ
สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนห้องอเนกประสงค์ที่ถูกทิ้งร้าง มองจากภายนอกจะเห็นว่าภายในเต็มไปด้วยตู้เก่าและเครื่องเรือนจากไม้อื่น ๆ บัดนี้มันถูกปกคลุมไปด้วยควันหนาแน่นจนไม่อาจมองเห็นสภาพภายในได้ชัดเจนนัก
นางเอามือปิดปากและจมูกแล้วก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะไปยืนข้างหน้าต่างแล้วมองเข้าไปพลางตะโกนเสียงดัง “มีใครอยู่ที่นี่หรือไม่ มีใครอยู่ข้างในหรือไม่”
“ช่วย… ช่วยด้วย… แค่ก…” เสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นและร่างในชุดสีม่วงในกองเพลิงก็ค่อย ๆ ขยับตัว พยายามจะรีบวิ่งออกมา
“อย่าขยับ! หมอบลงแล้วปิดปากและจมูกของเจ้าไว้!” ฉินปู้เข่อตะโกนเสียงดังแล้วมองไปรอบ ๆ เพื่อหาอุปกรณ์ในการช่วยชีวิต
ไฟเริ่มลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ขันทีจากโถงที่จะมาดับเพลิงมาช้าเกินไป รอบ ๆ นอกจากอากาศแล้วก็ไม่มีน้ำอยู่เลย
เสียงร้องขอความช่วยเหลือค่อย ๆ แผ่วลงด้วยความสิ้นหวัง ฉินปู้เข่อรีบซื้อโซดาห้ามเลือดฉุกเฉินจำนวนหนึ่งจากระบบ เพื่อใช้แทนน้ำธรรมดาแล้วรีบราดให้ทั่วร่างกายของตน
เพลิงไหม้โหมกระหน่ำขึ้นอีกรอบ ฉินปู้เข่อไม่มีเวลาคิดมากเกินไปนอกจากวิ่งเข้าไปในกองเพลิง
“เจ้าอยู่ที่ไหน!” ฉินปู้เข่อตะโกนเสียงดัง มีเพียงเสียงปะทุของฟืนที่ถูกไฟไหม้ดังสนั่นเท่านั้นที่ตอบกลับนาง
ขณะสำรวจไปรอบ ๆ นางก็พบสตรีชุดสีม่วงที่มุมห้อง นางรีบก้าวข้ามกองไม้ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว พลางใช้แขนปิดปากและจมูกของตนไว้แล้วกระโดดข้ามเปลวเพลิง
“นี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าลุกขึ้นยืนเองได้หรือไม่” ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วพลางเขย่าตัวหญิงสาวที่มุมห้อง
“อืม…” หญิงสาวครางเบา ๆ แต่เปลือกตาของนางยังคงปิดอยู่
ระยะห่างจากมุมห้องไปถึงประตูนั้นเพียงแค่สามหรือห้าหมี่ แต่ในเวลานี้มันเปรียบเสมือนทางช้างเผือกบนท้องฟ้าที่คั่นแบ่งระหว่างชีวิตและความตาย
ไฟยิ่งรุนแรงขึ้นอีก นางเกรงว่าหากไม่มีผู้ใดมา พวกนางทั้งสองจะถูกเผาตายที่นี่หรือไม่ก็สำลักควันตาย
ฉินปู้เข่อแบกหญิงสาวผู้นั้นไว้บนหลังของนาง แล้วเตะตู้ไม้ที่อยู่ข้างหน้าวิ่งออกไป
ไม้คานที่ถูกไฟลุกไหม้กำลังจะตกลงมาใส่หัวของนาง ฉินปู้เข่อจึงวางมือข้างหนึ่งไว้ข้างหลังของตน แล้วพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อป้องกันไม่ให้หญิงสาวหล่น ส่วนมืออีกข้างของนางก็คอยป้องกันไม่ให้ไม้คานที่ตกลงมากระแทกนาง
“โครม!” เสียงไม้หักดังมาจากด้านบน เสาไม้ที่ลุกเป็นไฟกำลังจะโค่นลงมากระแทกพื้น เมื่อมีอุปสรรคมาขวางทางอยู่ใต้ฝ่าเท้าก็ทำให้ยากที่จะหนีรอดได้
………………………………………………………………………..