สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 55 พระสนมชู มารดาและบุตรสาว
ตอนที่ 55 พระสนมชู มารดาและบุตรสาว
เหตุใดจึงไม่เจ็บอย่างนั้นหรือ? ระหว่างทางมาที่นี่แขนของนางสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด นางจึงค้นหาในระบบแล้วเจอขนมลูกกวาดแก้ปวดและกินเข้าไปแล้วน่ะสิ
ฉินปู้เข่อระงับเสียงคร่ำครวญในใจของนางไว้ หญิงสาวเม้มปากแล้วพูดว่า “ข้าเจ็บปวดจนรู้สึกชา บัดนี้ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย”
“พระชายาเพคะ ห้ามโดนน้ำจนกว่าแผลจะหายและควรพักผ่อนตอนกลางคืนให้มากขึ้น อย่าได้กดทับแผลด้วยนะเพคะ” หมอหญิงสั่งหลังจากทำแผลเสร็จ
“นี่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรือไม่” หมี่เสวี่ยหลีเอ่ยถามเสียงเบา
“กราบทูลองค์หญิง ขนาดของบาดแผลของพระชายาไม่ใหญ่นัก แต่สุดท้ายแล้วหลังจากเกิดแผลไหม้และน้ำร้อนลวก ผิวหนังและเนื้อก็จะได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด และจะมีรอยแผลเป็นบ้างเพคะ” หมอหญิงพยักหน้าพลางตอบ
“ลงไปข้างล่างเถิด”
หมี่เสวี่ยหลีโบกมือของนางและเมื่อเห็นหมอหญิงออกไปแล้ว นางก็ยืนขึ้นแล้วโค้งคำนับอย่างจริงใจ “ขอบพระคุณสำหรับความช่วยเหลือของพระชายา พี่สะใภ้ของข้านะเพคะ หากแผลนี้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ เสวี่ยหลีจะตามหาหมอที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกให้มาลบรอยแผลเป็นให้พระชายาอย่างแน่นอนเพคะ”
ใบหน้าของฉินปู้เข่อเต็มไปด้วยความงุนงง “เพียงแค่รอยแผลเป็น มันร้ายแรงมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
ในฐานะนักกีฬาสานต่ามืออาชีพในชาติก่อน เป็นเรื่องปกติที่จะมีรอยแผลเป็นตามร่างกาย โดยเฉพาะมุมตาและโหนกแก้ม ซึ่งมักจะต้องแตกหลายครั้งในแต่ละการแข่งขัน นางจึงเคยชินกับมันมากจนไม่ได้สนใจที่จะลบรอยแผลเป็นเสียด้วยซ้ำ
จานหานชิวใช้ศอกแตะฉินปู้เข่อแล้วกระซิบว่า “คนในราชวงศ์ไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับสตรีที่มีรอยแผลเป็นบนร่างกาย หากมีรอยแผลเป็นหลังจากแต่งงาน องค์ชายมีสิทธิ์ที่จะหย่ากับพระชายาของตนได้”
“เอ๊ะ? ท่านอ๋องผู้นั้นก็…” สีหน้าของฉินปู้เข่อเศร้าและวิตกกังวล แต่แววตาของนางฉายแววเปี่ยมสุข บัดนี้นางหาเหตุผลที่จะหย่าร้างได้แล้ว
“หลีเอ๋อร์!”
ก่อนที่คนผู้นั้นจะมาถึง บุคคลอื่นที่น้ำตานองหน้าได้มาถึงก่อนแล้ว
ทันใดนั้นพระสนมชูก็เข้ามาจากนอกห้องด้วยท่าทางวิตกกังวล เมื่อเข้าประตูมาแล้วนางก็มองหมี่เสวี่ยหลีขึ้นลงหลายครั้งแล้วพึมพำ “เจ็บตรงไหนบ้าง แม่เรียกหมอหญิงหลิวแล้ว เจ้าบาดเจ็บที่ใดหรือไม่? หากไม่ใช่เพราะแม่เห็นว่าเจ้าหายไปนานจึงส่งคนมาตามหาก็คงไม่รู้…”
หมี่เสวี่ยหลีตอบอย่างจริงจัง “ท่านแม่ หลีเอ๋อร์ไม่ได้รับบาดเจ็บ คนที่ได้รับบาดเจ็บคือพี่สะใภ้ พระชายาของอ๋องเจ็ดเพคะ”
จากนั้นพระสนมชูก็สังเกตเห็นคนอื่น ๆ ในห้อง แล้วมองเห็นผ้าพันแผลที่แขนของฉินปู้เข่ออย่างรวดเร็ว
“เป็นพี่สะใภ้ผู้เป็นพระชายาของอ๋องเจ็ดที่แบกหลีเอ๋อร์ออกจากกองไฟ และช่วยชีวิตหลีเอ๋อร์ที่หมดสติ เพื่อปกป้องหลี่เอ๋อร์ แขนของพระชายาผู้เป็นพี่สะใภ้จึงเป็นแผลไฟไหม้อย่างรุนแรงเพคะ” หมี่เสวี่ยหลีอธิบายอย่างละเอียด
เมื่อพระสนมชูได้ยินดังนั้นก็รีบเดินไปหาฉินปู้เข่อแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “ขอบพระคุณพระชายาหลี่ชินสำหรับความช่วยเหลือ บัดนี้ทางพระราชวังแห่งนี้ได้ยินว่าไฟในโกดังนั้นรุนแรงมาก สันนิษฐานว่าบัดนี้ก็คงจะยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าหลีเอ๋อร์รอดชีวิตมาจากกองเพลิงนั้นได้”
ฉินปู้เข่อลุกขึ้นยืนแล้วย่อตัวลงคำนับตอบ “หม่อมฉันเพียงแค่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากด้านใน ไม่ว่าผู้ใดจะอยู่ในนั้นหม่อมฉันก็ไม่อาจทนเห็นผู้อื่นถูกไฟคลอกตายต่อหน้าหม่อมฉันได้หรอกเพคะ”
“พระชายาหลี่ชินช่างมีจิตใจประเสริฐนัก ในอนาคตเจ้าจะได้รับพรอันยิ่งใหญ่”
ความตื่นตระหนกและวิตกกังวลของพระสนมชูจางหายไปจากน้ำเสียง นางดูสง่างามและอ่อนโยนยิ่ง ผิวของนางขาวผุดผ่องกว่าหิมะ หน้าผากกว้างของนางประดับด้วยคิ้วโก่งงาม และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ใดคิดว่านางอายุมากจากรูปลักษณ์เช่นนี้
ความอ่อนโยนของพระสนมชูเกิดจากในกระดูกของนาง แตกต่างไปจากท่าทางแสร้งทำเป็นอ่อนโยนของฉินปู้เข่อ ซึ่งสามารถสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในแววตาของนางเมื่อมองดูตน
ได้ยินมาว่าพระสนมชูเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มาโดยตลอดตั้งแต่นางเข้ามาในวัง นางอยู่ในวังมาหลายปีแล้ว และแม้ว่ามีสตรีคนใหม่เข้ามาเป็นนางสนมมากมาย แต่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยละเลยพระสนมชูผู้นี้
เมื่อสังเกตจากวันนี้แล้วมันก็ช่างสมเหตุสมผลจริง ๆ
“หม่อมฉันไม่ได้ทักทายพระสนมชูในโถงฉางอาน หม่อมฉันหวังว่าพระสนมชูจะไม่ถือสานะเพคะ” ตามธรรมเนียมแล้ว นางเพียงแค่ต้องทักทายฮ่องเต้ ฮองเฮาและมารดาผู้ให้กำเนิดของหมี่โม่หรู่ ดังนั้นฉินปู้เข่อจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นพระสนมชูในห้องโถงเลย
…………………………………………………………………………