สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 61 บางคนกำลังรีบหาเรื่อง
ตอนที่ 61 บางคนกำลังรีบหาเรื่อง
หมี่เฉินอี้มองดูสตรีที่กำลังเต้นรำบนหนังกลองตรงหน้าของเขาด้วยท่าทางเคร่งขรึม ดวงตาสีเข้มของเขาดูเหมือนจะมองไปที่นาง แต่กลับดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นอย่างอื่นทะลุผ่านตัวนาง
บัดนี้เขาอยู่ห่างไกลจากความน่าสนใจของเมืองหลวงไปนานแล้ว ห่างไกลจากสุรารสหวานนุ่มของเมืองหลวง และเขากำลังขี่ม้าอยู่ในสนามรบยามอาทิตย์อัสดง
นั่นคือการต่อสู้ครั้งแรกของเขาหลังจากที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพ ตอนแรกชัยชนะอยู่ในสายตาของเขาแล้ว แต่เขาก็ถูกศัตรูซุ่มโจมตีในนาทีสุดท้าย
ทหารรอบกายเขาล้มลงทีละคน และเมื่อไม่มีทางที่จะล่าถอยได้ เขาจึงนำกองกำลังของเขาที่มีไม่ถึง 300 นายเข้าต่อกรกับทหารชั้นยอด 3,000 นายของกองทัพศัตรู…
หลังจากการสู้รบครั้งนี้ เขาได้สละตำแหน่ง ‘ราชาแห่งอาภรณ์และอาหารเลิศรส’ ในกองทัพโดยสมบูรณ์และได้รับยศทางการทหาร และเขายังเข้าใจมากขึ้นด้วยว่าการตัดสินใจของเขาเกี่ยวข้องกับชีวิตของทหารหลายพันนาย และความมั่นคงของดินแดนต้าเซี่ย
ท่วงทำนองของเสียงกลองทำให้เขามองย้อนกลับไปถึงครึ่งชีวิตในกองทัพ
ทวนทองอาชาเหล็ก ช่างโทมนัสยิ่ง
“พระชายา กระหม่อมขอถามชื่อเพลงนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดก็มีคนส่งเสียงทำลายความเงียบในโถงฉางอาน ทุกคนหันไปมองตามเสียงแล้วก็เห็นว่าเป็น เฉาเสี่ยน ซื่อหลางผู้ดูแลพิธีการและดนตรีของฝ่ายพิธีการ
‘ควบม้าศึก’
ฉินปู้เข่อหยุดเต้นและลงจากกลองมานานแล้ว เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังดื่มด่ำกับเสียงของกลอง นางจึงไม่ได้ทำเสียงใด นางยืนข้างกลองคนเดียวและหอบหายใจอย่างเงียบ ๆ และไม่ได้เอ่ยคำใดจนกระทั่งมีคนถาม
“ท่วงทำนองอันทรงพลัง สดใส และน่าเกรงขามเช่นนี้ ทำให้กระหม่อมได้แรงบันดาลใจและตื่นเต้นนัก ในขณะที่เสียงกลองดังขึ้น กระหม่อมก็รู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในสนามรบและต่อสู้กับเหล่าข้าศึกพร้อมกับทหารของต้าเซี่ย!”
เฉาเสี่ยนเป็นปรมาจารย์ดนตรีแห่งต้าเซี่ย เขาเชี่ยวชาญด้านเครื่องดนตรีทั่วไปและเครื่องดนตรีหายากหลายร้อยชนิด เช่น กู่ฉิน เส้อ ขลุ่ยเซียว ขลุ่ยผิว และอื่น ๆ อีกมากมาย
เมื่อเขาอายุย่างเข้า 60 ปี เฉาเสี่ยนต้องการสร้างเพลงอันเกรียงไกรให้แก่ต้าเซี่ย เพื่อสร้างแรงปลุกใจทหารหลายแสนนายในต้าเซี่ย ทว่าเขาไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขาจึงไม่อาจบรรลุความปรารถนาของเขาได้มานานแล้ว
บัดนี้เขาได้พบมันแล้ว!
“พระชายา ท่านช่วยจดท่วงทำนองเพลง ‘ควบม้าศึก’ เพลงนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม กระหม่อม…”
เฉาเสี่ยนตื่นเต้นมากเสียจนไม่รู้จะเอ่ยคำใดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงเข้าไปคุกเข่าลงตรงกลางห้องโถงก่อนจะประสานมือแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ท่วงทำนองเพลงที่เร่าร้อนและน่าตื่นเต้นเช่นนี้ต้องกลายเป็นเพลงประจำกองทัพของต้าเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ! นี่คือเพลงสำหรับทหาร! เพลงที่เป็นของทหารทุกคนที่เสียสละเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อเพื่อต้าเซี่ย!”
เอ๋?! นี่คืออะไร มันได้กลายเป็นเพลงปลุกใจทหารไปแล้วหรือ?!
หากต้องการเพลงประจำกองทัพก็ควรจะบอกนางก่อนหน้านี้ นางได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากครูฝึกระหว่างการฝึกทหารในมหาวิทยาลัย และก็มีเพลงที่มีท่วงทำนองติดหูที่มีพลังมากกว่าเพลงนี้
ฉินปู้เข่อยืนขึ้นพลางบิดเอวข้างหนึ่งเพราะความเมื่อยล้า นางต้องการจะพูดออกไปเพื่อหยุดเขา แต่แล้วนางก็ได้ยินฮ่องเต้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าพูดอย่างเคร่งขรึม “ตกลง! ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเมื่อได้ยินเพลงนี้ ราวกับว่าข้าได้ย้อนกลับไปในสมัยที่ข้ายังเยาว์วัยและเริ่มเป็นผู้นำ”
“ขอให้พระชายาหลี่ชินร่วมมือกับซื่อหลางเฉาเสี่ยนในการแต่งเพลงนี้ และซื่อหลางเฉาเสี่ยนจะจัดการให้แผนกดนตรีฝ่ายพิธีการทำการซ้อม แล้วในอนาคตทหารต้าเซี่ยก็จะใช้เพลงนี้เมื่อพวกเขาออกศึก!”
ส่วนหนึ่งของเพลงสามารถจดจำได้โดยเฉาเสี่ยน นับเป็นเกียรติอย่างสูงที่ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้เขากำหนดเพลงนี้ให้เป็นเพลงประจำกองทัพของต้าเซี่ย และทั้งเพลงและผู้แต่งจะได้รับการกล่าวขวัญถึง
ในตอนนี้ทุกคนในห้องโถงต่างก็กำลังคุยกันถึงบทเพลงของฉินปู้เข่อ ตั้งแต่กลองขนาดใหญ่ที่นางใช้ตีไปจนถึงการกระโดดขึ้นไปหน้ากลองเพื่อจำลองเสียงกีบเท้าม้าด้วยฝีเท้า ทุกขั้นตอนได้รับการวิเคราะห์ด้วยความชื่นชม
ทุกคนต่างแอบชื่นชมนางว่าเป็น ‘สตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในต้าเซี่ย’ สมญานามนี้ไม่ได้ผิดเพี้ยนแต่อย่างใด ปรากฏว่าสตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่เล่นกู่ฉินและผีผาเหล่านั้นได้เท่านั้น แต่ยังตีกลองใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย
ลู่ชูอี้นั่งบนที่นั่งของตนด้วยใบหน้าซีดเซียว นางจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
นางใช้เงินเป็นจำนวนมากในการจ้างศิลปินที่มีชื่อเสียง และทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อฝึกทักษะการเล่นกู่ฉิน แต่ตอนนี้นางกลับพ่ายแพ้ให้กลองใหญ่ กลองที่ใช้เป็นเครื่องดนตรีในงานเฉลิมฉลองทั่วไป
หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าของนางก็ค่อย ๆ กลับไปมีสีเลือดอีกครั้ง
“เพลงกลองของพระชายาช่างน่าทึ่งนัก สักวันหนึ่งชูอี้จะไปขอคำแนะนำจากท่านอย่างแน่นอน และหม่อมฉันหวังว่าพระชายาจะสอนทุกอย่างให้แก่หม่อมฉันนะเพคะ”
“แม่นางลู่เป็นคนสุภาพเรียบร้อย ทักษะการเล่นกู่ฉินของเจ้าอยู่ในระดับชาติแล้ว ข้าจะให้คำแนะนำเจ้าได้อย่างไรเล่า” ฉินปู้เข่อยกยิ้มอย่างเก้อเขิน
นางรู้จักเพลงกลองแค่เพลงนี้เท่านั้น ซึ่งเพลงนี้นางเคยซ้อมบ่อยครั้งหลังจากตีบ่อยมากในตอนที่ยังเด็กเท่านั้น สุดท้ายนางก็ซ้อมมันอย่างพอเหมาะ แต่พ่อแม่ของนางก็บอกว่านางส่งเสียงดังเกินไป
หมี่โม่หรู่มองหญิงสาวหน้าแดงที่อยู่ตรงกลางห้องโถงแล้วพลันมุมปากเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น พระชายาของเขาทำให้เขาประหลาดใจได้มากมายนัก
เมื่อนางกลับไปที่ตำแหน่งของนาง หมี่เสวี่ยหลีก็จับมือของฉินปู้เข่อแล้วพูดอย่างกังวลใจยิ่ง “พี่สะใภ้เจ็ด บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้ารู้สึกกังวลนักเพราะไม้ตีกลองนั่นหนักมาก”
“บาดแผลไม่เป็นอะไรหรอก แค่หิวเล็กน้อยเท่านั้น”
ฉินปู้เข่อตอบเสียงดัง ซึ่งทำให้หลายคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นางหัวเราะคิกคัก
หมี่ฉงซือเตรียมอาหารประเภทเนื้อไว้ให้นางแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าจะไม่หิวได้อย่างไร เพียงแค่หยิบไม้ตีกลองหนัก ๆ ขึ้นมาก็แทบจะหมดแรงแล้ว”
แต่บรรยากาศที่สนุกสนานชื่นมื่นเช่นนี้ มักมีคนที่ไม่มีความสุขเมื่อได้เห็นมันอยู่เสมอ และเต็มใจที่จะพูดอะไรบางอย่างเพื่อทำลายบรรยากาศ
หมี่จิ่งหานเหลือบมองฉินปู้เข่ออย่างผิวเผินแล้วเอ่ยถามว่า “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าพระชายาหลี่ชินมีความสามารถที่หลากหลายนักจนสามารถตีกลองใหญ่ได้ ข้าไม่รู้ว่าพี่สะใภ้เจ็ดเรียนรู้วิธีตีกลองใหญ่นี้ตั้งแต่เมื่อใดและเรียนรู้จากผู้ใด”
“นั่น…”
ฉินปู้เข่อกำลังจะตอบแต่หมี่จิ่งหานเอ่ยขัดจังหวะนางอีกครั้ง โดยไม่ให้โอกาสนางพูดเลย
“ข้าได้ยินมาว่ากลองใหญ่นี้ส่วนใหญ่จะตีโดยผู้ชาย พี่สะใภ้เจ็ดสามารถเล่นเพลงดังกล่าวได้แสดงว่าต้องเรียนรู้มันมานานแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าพี่สะใภ้เจ็ดจะออกไปเที่ยวกับชายนิรนามในตลาดมาเป็นเวลานานแล้ว?”
ฉินปู้เข่อตกใจ นางเกือบจะระเบิดเสียงหัวเราะกับถ้อยคำป้ายสีที่ไร้ซึ่งความเชี่ยวชาญของหมี่จิ่งหาน
ก่อนที่นางจะอ้าปากเพื่อแก้ตัว หมี่ฉงซือก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “น้องหญิงแปด เจ้าพูดเองว่าส่วนใหญ่แล้วคนตีกลองจะเป็นผู้ชาย ซึ่งหมายความว่ายังมีปรมาจารย์หญิงอยู่แต่มีจำนวนน้อย นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ในต้าเซี่ยก็เป็นผู้ชาย เจ้าสามารถเรียนรู้ผีผาจากผู้ชายคนหนึ่งได้ แต่พระชายาหลี่ชินจะไม่สามารถเรียนรู้จากผู้ชายได้เมื่อนางตีกลองหรือ”
“นอกจากนี้ยังไม่มีความแตกต่างระหว่างชนชั้นวรรณะของเครื่องดนตรีด้วย วันนี้เสด็จพ่อกำหนดให้บทเพลงที่พระชายาบรรเลงเป็นเพลงประจำกองทัพของต้าเซี่ย น้องหญิงแปดบอกว่ากลองใหญ่เป็นเครื่องดนตรีที่ยากจะเข้ามาอยู่ในวังอันหรูหราได้ใช่หรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังตั้งคำถามถึงระดับความซาบซึ้งทางดนตรีของเสด็จพ่อ?”
หมี่จิ่งหานสำลักก่อนตอบว่า “พี่หญิงสอง ข้าไม่เคยพูดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นอย่าตำหนิข้าเลย”
ฉินปู้เข่อมององค์หญิงแปด แม้ว่านางจะไม่รู้เบื้องลึกของเหตุการณ์ไฟไหม้ในโกดัง แต่นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหมี่จิ่งหานผู้นี้จึงต้องการเผาหมี่เสวี่ยหลีให้ตาย
แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าองค์หญิงแปดได้ฉีดปุ๋ยอินทรีย์ออกจากปาก และการพยายามทำให้นางสับสนและใส่ร้ายชื่อเสียงของนาง นางก็รู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องทำให้องค์หญิงแปดผู้นี้ได้ประสบกับความรู้สึกที่ ‘ควบคุมไม่ได้’
ในเวลานี้อาหารบนโต๊ะถูกนำออกไปเป็นเวลานานแล้ว และในขณะที่องค์หญิงทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอยู่ ฉินปู้เข่อก็ค่อย ๆ ค้นหาในระบบเพื่อหาถั่วเขียวกวนชิ้นหนึ่ง แล้ววางลงบนถาดขนมตรงหน้าของนางอย่างเงียบเชียบ
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมนางก็หยิบจานผลไม้เล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วยื่นให้หมี่ฉงซือ ‘ขอบพระทัยพี่หญิงสองสำหรับการดูแลเพคะ รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นกันเถิดเพคะ ถั่วเขียวกวนนี้เลิศรสนัก’
จุดประสงค์ของนางนั้นชัดเจนมาก หมี่ฉงซือทำตามความปรารถนาของนางแล้วหยิบถั่วเขียวกวนชิ้นหนึ่งใส่เข้าปากของตน
…………………………………………………………………………..