สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 63 คำเชื้อเชิญ
นัยน์ตาของหมี่เสวี่ยหลีเผยความหมายลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดนางก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “พี่หญิงสองเป็นคนตรงไปตรงมาและอารมณ์ร้อน ปีก่อนข้าสามารถซุกตัวอยู่ข้างกายนางเพื่อหลบภัยได้อยู่พักหนึ่ง บัดนี้นางแต่งงานมาหลายปีแล้วและข้าจะไปรบกวนนางได้อย่างไร ในเมื่อนางไม่ค่อยได้กลับมาที่พระราชวังอีก”
“นอกจากนี้ หากข้าระบายความโกรธให้พี่หญิงสองฟัง แต่ในวันนี้ วันพรุ่งนี้ วันมะรืนและวันต่อไป ข้าก็ยังคงต้องเจอหมี่จิ่งหานในวังอยู่ทุกวัน บัดนี้ข้าจึงทำได้เพียงเฝ้ารอให้เสด็จพ่อของข้าจัดงานแต่งงานให้ข้าโดยเร็วที่สุด และแต่งข้าออกจากพระราชวังโดยเร็วที่สุด”
ฉินปู้เข่อกะพริบตา เจ้าของร่างเดิมไม่เคยเข้าไปในพระราชวัง ไม่รู้จักองค์หญิงและองค์ชายเหล่านี้และไม่รู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างองค์หญิงในพระราชวัง
เมื่อพิจารณาจากท่าทีของพระสนมชูในวันนี้ จะเห็นได้ว่าแม้ว่านางจะเป็นที่โปรดปราน แต่ก็นางเป็นเจ้านายที่ไม่เต็มใจจะพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ต้าเซี่ยเพื่อใช้ในการกลั่นแกล้งผู้ใด แม้แต่หมี่เสวี่ยหลีก็มีเมตตานักและทุกสิ่งก็ถูกครอบงำด้วยคำว่า ‘อดทน’
พระสนมชูกุ้ยเฟยได้รับความรักและการปกป้องจากฮ่องเต้ต้าเซี่ย ดังนั้นเหล่านางสนมที่ดำรงตำแหน่งจะสุภาพกับนางมากเพราะอยู่ภายใต้ข้อบังคับของพระราชวัง หมี่เสวี่ยหลีผู้น่าสงสารจึงกลายเป็นเป้าหมายของการกลั่นแกล้งและระบายอารมณ์ขององค์หญิงอื่นที่ไม่เป็นที่โปรดปราน
หากหมี่เสวี่ยหลีพูดถึงเรื่องนี้กับพระสนมชู พระสนมชูก็จะพยายามปลอบโยนนางด้วยคำว่า ‘อดทนและเอื้ออาทร’ แทนที่จะช่วยหมี่เสวี่ยหลีในฐานะผู้อาวุโส
“ข้าไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างเจ้ากับหมี่จิ่งหาน ไม่สำคัญว่านางเคยรังแกเจ้าอย่างไรในอดีต แต่เหตุการณ์วันนี้เป็นอันตรายต่อชีวิตของเจ้า หากเจ้ายังคงนิ่งเฉยอยู่เช่นนี้นางก็จะยิ่งได้ใจ”
ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วเล็กน้อย หญิงสาวที่กำลังอ่อนไหวและเป็นทุกข์อย่างหมี่เสวี่ยหลี ทำให้นางรู้สึกต้องการจะปกป้องโดยไม่มีเหตุผล
“พี่สะใภ้เจ็ดไม่ต้องกังวลหรอกเพคะ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงการพบนางในอนาคต” หมี่เสวี่ยหลีมองลงไปที่แขนของนาง “มันคงจะดีหากข้าได้รับบาดเจ็บจริง ๆ พี่สะใภ้เจ็ดจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด”
ฉินปู้เข่อเริ่มดูระบบในความคิดของนาง และหลังจากดูสิ่งที่นางสามารถซื้อได้ในขณะนั้นแล้วความคิดก็ผุดขึ้น
“องค์หญิงเก้า ข้ามีวิธีทำให้นางไม่อาจสร้างปัญหาได้ในชั่วขณะหนึ่ง เจ้าต้องการจะลองดูหรือไม่?”
“วิธีอะไรหรือเพคะ?”
ฉินปู้เข่อหยิบห่อบ๊วยเค็มออกจากระบบแล้วส่งให้หมี่เสวี่ยหลี “นี่คือบ๊วยเค็มที่ผสมสมุนไพรหลายชนิด หลังจากรับประทานเข้าไปแล้วจะมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายตลอดทั้งวันจนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน หากเจ้ามีวิธีผสมบ๊วยเค็มเหล่านี้ลงในอาหารว่างประจำวันของนาง เจ้าก็จะสามารถลดความน่าจะเป็นที่นางจะออกจากวังได้”
“นี่มัน…” หมี่เสวี่ยหลีมองบ๊วยเค็มในมือของนางด้วยความสยดสยอง นางไม่รู้ว่านางควรสัมผัสมันด้วยมือของนางโดยตรงหรือไม่
ฉินปู้เข่อหัวเราะคิกคักและแต่งเรื่องขึ้นมา “ในตอนที่ข้าอยู่ในจวนมหาเสนาบดี ฮูหยินใหญ่มักใช้งานข้าและแม่ของข้าราวกับคนรับใช้ ในฤดูร้อนที่พระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า ข้าก็ต้องใช้แรงงานมากขึ้น ต่อมาข้าจึงไปหมอชาวบ้านและได้ยาต้ม และบ๊วยเค็มที่ใช้สำหรับปกปิดความเกียจคร้านโดยเฉพาะ”
“กินแล้วจะมีรอยแดง ไม่เจ็บหรือคัน เมื่อโดนแดดสักพักผื่นก็จะลาม ตอนที่ใช้ครั้งแรกฮูหยินใหญ่คิดว่าแม่ของข้าและข้ากำลังจะตายจึงให้พวกเราพักงานหลายวัน ไม่ต้องกังวล มันจะไม่ออกฤทธิ์จนกว่าเจ้าจะกลืนมันลงท้อง”
หมี่เสวี่ยหลีถือบ๊วยเค็มในมือไว้แน่นแล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยพี่สะใภ้เจ็ด หากไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้เจ็ดในวันนี้เสวี่ยหลีก็คงจะ…”
“คำกล่าวที่ว่า ‘คนดีถูกรังแก’ ไม่ว่าจะเป็นในสวนหลังบ้านของตระกูลข้าหลวง หรือในตำหนักอันสูงส่งไปด้วยอาภรณ์และอาหารเลิศรส กฎแห่งการเอาตัวรอดต่างก็เหมือนกัน การหลีกหนีและแสดงความปรารถนาดีอาจไม่สามารถแลกกับความเข้าใจของอีกฝ่ายได้ เนื่องจากวันนี้ข้าช่วยเจ้าไว้ได้ ข้าจึงไม่อยากได้ยินข่าวร้ายเกี่ยวกับเจ้าในสักวันหนึ่ง”
ฉินปู้เข่อจับมือหมี่เสวี่ยหลีแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าแต่งงานแล้วและหนีจากขุมนรกได้พ้น ข้าหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ดีจนถึงตอนนั้น”
ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย เป็นเพราะความอ่อนน้อมของหมี่เสวี่ยหลีที่ทำให้นางรู้สึกพึงพอใจ และให้บ๊วยเค็มเป็นรางวัลแก่หมี่เสวี่ยหลี
“พระชายา องค์หญิงเก้าเพคะ” ซวงหวนวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาแล้วคำนับก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋องกำลังมองหาพระชายาอยู่เพคะ”
“จะกลับตอนนี้เลยหรือ”
“ไม่ใช่เพคะ ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะอ๋องจั่วเสียนเพคะ”
“อ๋องจั่วเสียนหรือ?” ฉินปู้เข่อพูดด้วยความประหลาดใจและสงสัยในใจ ในตอนที่หมี่ฉงส่งเทียบเชิญให้นาง เขาบอกนางว่าอ๋องจั่วเสียนขอให้นางเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังโดยใช้ชื่อของนาง
บัดนี้อ๋องจั่วเสียนผู้นี้อยู่ต่อหน้าหมี่โม่หรู่และขอพบนางอีกครั้ง
แต่นางไม่รู้จักอ๋องจั่วเสียนผู้นี้จริง ๆ
ในศาลาที่สวนของโถงฉางอาน หมี่ฉง หมี่โม่หรู่และหมี่เฉินอี้กำลังนั่งอยู่รอบโต๊ะหินอย่างสบายอารมณ์
“หม่อมฉันคำนับอ๋องจั่วเสียนและอ๋องคังชินเพคะ”
ฉินปู้เข่อก้มศีรษะด้วยความเคารพ จากนั้นก็ก้มหน้าลงด้วยท่าทางประหม่าราวกับพระชายาผู้เรียบร้อย
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงเรียกหม่อมฉันมาที่นี่หรือเพคะ”
หมี่โม่หรู่เหลือบมองศีรษะของนางแล้วพูดช้า ๆ “เสด็จอาเก้าสนใจเพลงกลองของเจ้าในวันนี้นัก จึงต้องการเชิญเจ้าไปยังตำหนักจั่วเสียนในวันพรุ่งนี้เพื่อแต่งเพลง”
“ใช่แล้ว เดิมทีข้าจะขอให้อ๋องหลี่ชินขอเจ้าเอง และเขาบอกว่าให้ถามความยินยอมของเจ้าเอง” หมี่เฉินอี้หัวเราะเบา ๆ ดวงตาของเขามองไปยังศีรษะที่ดำสนิทของหญิงสาว และรอยยิ้มในดวงตาของเขาก็แรงกล้ากว่าเดิม
สาวน้อยผู้นี้ก่อนและหลังช่างแตกต่างกันนัก
“กราบทูลอ๋องจั่วเสียน ฮ่องเต้คงไม่อนุญาตให้หม่อมฉันติดตามไปยังตำหนักจั่วเสียนเพื่อแต่งเพลงในพรุ่งนี้เพคะ หากท่านอ๋องโปรดปรานจริง ๆ ท่านสามารถไปรับท่วงทำนองเพลงจากฝ่ายพิธีการได้โดยตรงในวันพรุ่งนี้เพคะ”
ฉินปู้เข่อก้มศีรษะลงและตอบเสียงเบา แม้ว่านางจะมีความประทับใจที่ดีต่ออ๋องจั่วเสียนผู้ปกป้องครอบครัวและประเทศชาติ แต่ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการติดต่อที่ไม่จำเป็น
“บังเอิญว่าเมื่อก่อนนี้ข้าเคยพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บอยู่ในตำหนัก และการมีเวลาว่างมากเช่นนั้นก็ช่างน่าเบื่อหน่าย ดังนั้นข้าจึงเชิญวงดนตรีจากฝ่ายพิธีการมายังตำหนักจั่วเสียน แต่ข้าเกรงว่าซื่อหลางเฉาเสี่ยนจะต้องไปที่พระราชวังเพื่อแต่งเพลงและฝึกซ้อมดนตรีอีกสักระยะหนึ่ง”
หมี่เฉินอี้หัวเราะแล้วเหลือบมองหมี่โม่หรู่ “ข้าไม่ได้กลับมายังเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว ข้าจึงจำกฎเกณฑ์ได้ไม่ชัดเจนนัก การกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ?!”
“ฮ่า ฮ่า เสด็จอาเก้าทรงงานหนักเพื่อประเทศมาหลายปีแล้ว เพียงแค่ฟังดนตรีจะเป็นอะไรไปเล่าพ่ะย่ะค่ะ?” หมี่ฉงเป็นคนแรกที่พูด
ฉินปู้เข่อก้มศีรษะแล้วบุ้ยปาก หมี่ฉงเข้ากับพ่อของเจ้าของร่างเดิมได้ดีในเรื่องของการประจบสอพลอ
“พระชายา เจ้าคิดว่าอย่างไร” หมี่เฉินอี้หันศีรษะแล้วถามราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำตอบที่เขาต้องการ
“กราบทูลอ๋องจั่วเสียนเพคะ ท่านทำงานหนักมามากแล้ว หากท่านต้องการฟังเพลงก็ย่อมสามารถสั่งให้วงมหรสพของฝ่ายพิธีการเล่นให้ฟังได้เพคะ” ฉินปู้เข่อเป็นคนช่างคิดและอ่อนโยนเพื่อไม่ให้ผู้อื่นพบข้อผิดพลาดแม้แต่จุดเดียว
นางไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าอ๋องจั่วเสียนเป็นคนเช่นไรกันแน่ วีรบุรุษผู้เกรียงไกรที่ตอนแรกเขาได้ขัดจังหวะการสนทนาระหว่างเสนาบดีและฮ่องเต้ท่ามกลางสายตาของสาธารณชนหลายครั้ง จากนั้นจึงเรียกวงดนตรีของฝ่ายพิธีการประจำแคว้นมายังตำหนักของตนเพื่อใช้เป็นการส่วนตัว
เขาแสดงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ต้าเซี่ยอยู่ตลอดเวลา เพื่อเน้นย้ำสถานะพิเศษและการปฏิบัติอย่างพิเศษต่อตนตลอดเวลา นางเกรงว่าเขาจะแขวนป้ายไว้บนหน้าผากเพื่อประกาศตัวเอง
ตอนนี้เขาเรียกหานางผู้เป็นสตรีตัวเล็ก ๆ เพื่อให้ไปแต่งเพลงให้เขา
อ๋องจั่วเสียนผู้นี้จงใจทำให้ตำหนักของอ๋องหลี่ชินและนางอับอายอย่างแน่นอน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าหมี่โม่หรู่อาจจะเคยทำให้อ๋องจั่วเสียนผู้นี้ขุ่นเคืองอย่างซุกซนเมื่อสองสามปีก่อนโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นอ๋องจั่วเสียนผู้นี้จึงมีแผนการป้ายความผิดให้กับตำหนักของอ๋องหลี่ชิน?!
แต่ก็เห็นว่าหมี่โม่หรู่มีร่างกายอ่อนแอ และยังเป็นหลานชายที่มีสัมพันธ์ทางสายเลือดด้วย จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องจับผิดเขาไม่ใช่หรือ?!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉินปู้เข่อก็เอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วจ้องไปยังหมี่โม่หรู่
“ในกรณีนี้ พรุ่งนี้พระชายาและซื่อหลางเฉาเสี่ยนจะไปที่ตำหนักเพื่อแต่งเพลง และเมื่อวงดนตรีของฝ่ายพิธีการสามารถเล่นเพลงประจำกองทัพได้อย่างเต็มที่ พระชายาก็จะสามารถกลับไปได้” อ๋องจั่วเสียนหัวเราะเสียงดังแล้วหันไปหาหมี่โม่หรู่และกล่าวว่า “โม่หรู่คงไม่ว่ากระไรหรอก”
“พระชายากำลังจะแต่งเพลงประจำกองทัพให้ต้าเซี่ย นี่เป็นเกียรติของตำหนักของท่านอ๋อง และหมี่โม่หรู่ก็ย่อมได้รับเกียรติเช่นกัน”
หมี่โม่หรู่ยกยิ้มอย่างสุภาพ เขายังไม่ทราบความสัมพันธ์ระหว่างพระชายาของเขากับอ๋องจั่วเสียน เนื่องจากอ๋องจั่วเสียนเป็นฝ่ายริเริ่มเชิญเขามา เขาจึงใช้โอกาสนี้ดูว่าทั้งสองจะทำอะไรกัน
เมื่ออ๋องจั่วเสียนบรรลุเป้าหมายแล้ว เขาก็ออกจากศาลาแล้วเดินไปรอบ ๆ อย่างสบายอารมณ์ ส่วนหมี่โม่หรู่และหมี่ฉงก็กลับไปยังโถงทิศตะวันออกซึ่งเป็นสถานที่ของเหล่าบุรุษ
ไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายอีก ฉินปู้เข่อได้รับการชมเชยจากฮ่องเต้ในงานเลี้ยง ครึ่งหลังของงานเลี้ยงในพระราชวังนั้นสงบและราบรื่นนัก
ผ่านไปได้อย่างราบรื่นเสียจนฉินปู้เข่อไม่มีเวลาจะดื่มชาจนหมดเสียด้วยซ้ำ เมื่อนางก้าวเท้าเข้าไปในประตูโถงทิศตะวันตก เหล่าสตรีที่อยู่ด้านในก็เข้ามาล้อมรอบนางไว้ทันที
จากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาแนะนำสมาชิกครอบครัวของพวกนางว่ามาจากตระกูลใด ใครมีอำนาจในครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างญาติเป็นเช่นไร…
ฉินปู้เข่อมองดูเหล่าสตรีตรงหน้าของนางแล้วก็รู้สึกว่าตนกำลังหูอื้อตามัว
หลังจากหาข้ออ้างในการไปห้องสุขาได้ในที่สุด นางก็รีบวิ่งไปยังรถม้าของพระราชวังและรอออกจากวัง
คนเหล่านี้ทำให้นางหลบหนีออกจากการสนทนาด้วยการบอกว่าจะไปห้องสุขา สตรีในวังเหล่านี้มีความบิดเบี้ยวและมีเล่ห์เหลี่ยมมากเกินไป ซึ่งนางไม่เข้าใจจริง ๆ และนางก็ไม่สนใจที่จะแตะต้องมัน
เมื่อหมี่โม่หรู่ถูกเข็นมาที่ด้านข้างของรถม้าและกำลังจะกลับ ฉินปู้เข่อก็นั่งผล็อยหลับในรถม้าไปแล้ว
หลังจากเข้าไปในรถม้าแล้ว หมี่โม่หรู่ก็จับแขนของนางที่ห้อยอยู่มาไว้บนเบาะนุ่ม
พระสนมชูและหมี่เสวี่ยหลีไม่ได้พูดถึงเหตุไฟไหม้ในตอนเช้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้
ขณะที่เขากำลังจะยกแขนเสื้อขึ้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เจ้าเจ็ด เหตุใดเจ้าจึงออกมาก่อนโดยไม่รอข้า?!”
…………………………………………………………………………….