สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 65 ตำหนักที่เกินจริง
ตอนที่ 65 ตำหนักที่เกินจริง
อู๋เยว่จ้องมองนาง “ไม่ได้จะทำอะไรเพคะ”
“หากเจ้าไม่ได้เตรียมจะทำสิ่งใด งั้นไปที่ตำหนักของอ๋องจั่วเสียนกับข้า” ฉินปู้เข่อผิวปากเบา ๆ เชิงวางอำนาจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกไม่พอใจอู๋เยว่เล็กน้อย เพราะอู๋เยว่โยนนางเข้าคุกใต้ดินในคืนแรกที่ได้พบเจอกับนาง
แต่ดูเหมือนว่าทักษะของอู๋เยว่จะดีกว่าอู๋ซวงมาก หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในตำหนักของอ๋องจั่วเสียนในภายหลัง ก็จะมีความมั่นใจในการต่อสู้มากขึ้นเพราะมีหลายคน
“ไม่ได้เพคะ มีสิ่งที่เตรียมจะทำอยู่” นางทำตัวร้ายกาจกับสตรีอื่นในตำหนักมาโดยตลอด แม้แต่กับพระชายาผู้นี้ที่ถูกส่งตัวมาอยู่ในตำหนัก
ฉินปู้เข่อก้าวไปข้างหน้าเพื่อคว้าแขนอู๋เยว่เอาไว้ ก่อนจะลากนางขึ้นรถม้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่นางอู๋เยว่ ข้าจะบอกให้คนไปแจ้งให้ฝ่ายท่านอ๋องทราบเอง วางใจได้ว่าข้าจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับความรักของเจ้าที่มีต่อท่านอ๋อง”
“ใครกัน ใครหลงรักท่านอ๋อง” ใบหน้าของอู๋เยว่มักเคร่งขรึมตลอดทั้งวัน หากแต่ในเวลานี้ใบหน้าของนางก็แดงก่ำด้วยคำพูดนี้ “ข้าน้อยผู้นี้เพียงแค่เคารพท่านอ๋องเท่านั้น”
ฉินปู้เข่อพูดย้ำล้อเลียน ‘เคารพ เคารพ’
เมื่อนางมาถึงตำหนักของอ๋องจั่วเสียนแล้ว นางกำนัลก็พาฉินปู้เข่อไปยังลานตำหนัก
ทันทีที่นางก้าวเข้าไปในประตูตำหนัก ฉินปู้เข่อก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
เมื่อนางข้ามธรณีประตูไปแล้ว นางก็มายืนอยู่บนสะพาน และทางเดินของสะพานโค้งคดเคี้ยวไปตามทะเลสาบที่ทอแสงเปล่งประกาย
ปลายสะพานเป็นตำหนักที่ลอยอยู่เหนือทะเลสาบ ไม่ใช่ภาพลวงตาของนางแต่ตำหนักนั้นลอยอยู่เหนือทะเลสาบจริง ๆ
หากฉินปู้เข่อมองไม่ผิด ตำหนักนั้นลอยขยับไปตามกระแสน้ำ
เมื่อเห็นนางมีท่าทีสับสน นางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างนางก็เม้มปากและหัวเราะเบา ๆ “สิ่งนี้ฮ่องเต้ทรงสร้างขึ้นเพื่อท่านอ๋องของเราโดยเฉพาะ ข้าน้อยได้ยินมาว่าปรมาจารย์ด้านสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของต้าเซี่ยได้สร้างมันอย่างประณีตเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี”
“มีดอกบัวปลูกอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้แต่จะไม่บานจนกว่าจะถึงปีหน้า เมื่อวงดนตรีจากฝ่ายพิธีการมาบรรเลงที่นี่ บริเวณโดยรอบจะเงียบสงัดและบางครั้งก็มีเสียงลมซึ่งทำให้บรรยากาศดีนักเพคะ”
“ฮ่า ฮ่า อ๋องจั่วเสียนช่างน่าสนใจนัก”
ฉินปู้เข่อก้มศีรษะลงและดึงชายกระโปรงขึ้นแล้วค่อย ๆ ก้าวขึ้นสะพานอย่างระมัดระวัง
นางรู้สึกว่าสะพานลอยอยู่บนน้ำจึงทำให้เดินได้ไม่มั่นคงนัก ทำให้รู้สึกว่าหากมีลมแรงพัดสะพานแล้วตำหนักก็คงถูกลมพัดตกลงไปในทะเลสาบ
หลังจากเดินไปจนเกือบสุดทางเดินสะพานแล้ว ฉินปู้เข่อก็ต้องตกใจอีกครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเป็นเหมือนเป็ด และนางไม่ชอบตำหนักที่สั่นคลอนไปมานี้เลยจริง ๆ
“หรือว่าข้าควรออกไปข้างนอกแล้วหาที่สำหรับจดเนื้อเพลงดี” ฉินปู้เข่อหัวเราะแห้ง
“อย่ากลัวเลยเพคะพระชายา ท่านกำลังจับแขนของข้าน้อยอยู่เพคะ” ซวงหวนก้าวเข้าไปในตำหนักก่อนแล้วยื่นแขนให้ฉินปู้เข่อจับ
“ก็ได้” ฉินปู้เข่อจับแขนของซวงหวนแน่นแล้วมองไปที่เท้าของนาง
ใครจะรู้ว่าขณะที่นางก้าวออกไป กระแสน้ำข้างใต้กลับพลิกกลับจากใต้น้ำ ทำให้ตำหนักนี้ลอยออกจากสะพานไปครู่หนึ่ง
เมื่อนางกำลังจะตกลงไปในทะเลสาบก็มีแรงจากด้านหลังพยุงนางขึ้น
“ใครเป็นคนออกแบบสิ่งนี้ หากต้องการจะอวดนักก็แค่เอาเรือบรรทุกเครื่องบินมาวางไว้เหนือทะเลสาบไปเลยสิ!” ฉินปู้เข่อคิดว่าอู๋เยว่ที่เดินตามหลังนางเป็นคนมาช่วยนางไว้ เมื่อเท้ายังไม่แตะพื้นนางก็บ่นไม่หยุดปากว่าอ๋องจั่วเสียนผู้นี้ต้องการจะฆ่านางอย่างแน่นอน
“เรือบรรทุกเครื่องบิน…” เสียงทุ้มของผู้ชายดังขึ้นในหูของนาง “คืออะไรหรือ?”
ฉินปู้เข่อตกตะลึง ทันทีที่นิ้วเท้าแตะพื้นนางก็บิดคอเพื่อเบี่ยงออกจากมือของชายผู้นั้น จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วคุกเข่าลง “หม่อมฉันคำนับอ๋องจั่วเสียนเพคะ”
ธรรมชาติที่ปกปิดไว้ถูกเผยออกมาอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง
หมี่เฉินอี้จ้องไปที่ศีรษะของนางอย่างขบขัน “อ๋องจั่วเสียนหรือ? ฟังดูแปลกประหลาดไปเล็กน้อย จะดีกว่าหากพระชายาของหมี่โม่หรู่เรียกข้าว่า ‘เสด็จอาเก้า’ เช่นเดียวกันกับเขา”
…………………………………………………………………………….