สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 68 ตบหัวแล้วลูบหลัง
ฉินปู้เข่อเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยความรังเกียจ “พูดง่าย ๆ ว่าหากหม่อมฉันโดนอีกครั้ง ท่านช่วยแก้มันให้หม่อมฉันได้หรือเพคะ?”
“แก้ แก้ไม่ได้”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดหรอกเพคะ!” ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วแล้วจ้องเขาโดยไม่ปิดบังอารมณ์ใดเลย
ยืนอยู่ข้างนอกทั้งคืน ขาและเท้าของนางจึงชาไปหมด อีกทั้งยังนอนหลับไม่สบายด้วย
นางรู้สึกว่าตั้งแต่นางค้นพบความลับของหมี่โม่หรู่ นางก็รู้สึกอึดอัดนักที่ถูกเขาจับไว้ในกำมือและจัดการกับนางตามใจชอบ
“พระชายา ท่านเสวยอาหารเช้าหรือยังเพคะ” ซวงหวนก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังและเผยรอยยิ้มแห้ง “ท่านอ๋องเรียกหาเพคะ”
“ข้ารู้อยู่แล้ว หากรีบนักก็ออกมาเองไม่ได้หรือ แอบออกไปเป็นหมาป่าผู้น่าเกรงขามทุกคืน แต่นั่งบนรถเข็นเป็นกระต่ายน้อยสีขาวในตอนกลางวัน จะเรียกหาทำไมกัน”
ฉินปู้เข่อวางตะเกียบลงและเดินไปห้องอ่านหนังสืออย่างไม่เต็มใจ
“ท่านอ๋อง ท่านต้องการสิ่งใดจากหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันมาแล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อตะโกนเบา ๆ ที่ประตูห้องอ่านหนังสือ แต่นางไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองหมี่ฉงเลยแม้แต่น้อย
เพื่อความปลอดภัยของนางเอง นางรู้สึกว่านางควรประพฤติตัวดีต่อหน้าหมี่โม่หรู่
“พระชายา เชิญเข้ามาเลยพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เหินเปิดประตูจากภายในห้อง
หมี่ฉงบุ้ยปาก เขาเดินเข้าไปก่อนจากด้านข้างของนางและกระซิบข้างหูของนางขณะที่เดินผ่าน “น้องสะใภ้ เจ้าคิดว่าตอนนี้มันสายเกินไปหรือยังที่จะประพฤติตัวดี?”
ฉินปู้เข่อเหลือบมองเขาแล้วเดินไปข้างโต๊ะยาว
“ท่านอ๋องเพคะ”
หมี่โม่หรู่เหลือบมองนางและเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ฝนหมึก”
เรียกนางมาที่นี่เพียงเพื่อให้นางฝนหมึกและรอให้เขาเขียนอย่างนั้นหรือ?
ว่างมากเลย
“ทำไม่เป็นเพคะ” ฉินปู้เข่อตอบตามความจริงด้วยรอยยิ้มอันไร้ที่ติบนใบหน้าของนาง
“พระชายารู้หรือไม่ว่าหากเจ้าถูกจับได้ว่าพูดเท็จต่อหน้าข้าจะเป็นเช่นไร?” หมี่โม่หรู่เงยหน้าขึ้นมอง ช่างเป็นพระชายาตัวน้อยที่ดื้อรั้นเสียจริง ทั้งยังไม่ซื่อสัตย์อีกต่างหาก
“หม่อมฉันไม่ได้พูดเท็จ หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ เพคะ” ฉินปู้เข่อมองตรงไปยังหมี่โม่หรู่ “หม่อมฉันเขียนไม่คล่อง ท่านไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าหม่อมฉันจะสามารถฝนหมึกได้?”
คิ้วคู่งามของหมี่โม่หรู่กระตุก เขาย้ายรถเข็นไปด้านข้างของฉินปู้เข่อ จากนั้นเติมน้ำลงในจานฝนหมึกแล้วหยิบแท่งหมึกขึ้นมาฝนเป็นวงกลมเบา ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ลองทำดู”
ฉินปู้เข่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ หยิบแท่งหมึกแล้วฝนกับจานฝนหมึกด้วยแขนที่เกร็งแข็ง
ไม่นานหมึกในจานฝนหมึกก็เหนียว นางหยิบน้ำที่วางข้าง ๆ เทลงในจานฝนหมึก
“เอ๊ะ น้ำเยอะเกินไปแล้ว หม่อมฉันจะหมดแรงหรือไม่เพคะ” ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วเล็กน้อยแสดงออกถึงความคับข้องใจและการตำหนิตนเอง
“ไม่ มันดีแล้ว” หมี่โม่หรู่จุ่มหมึกเล็กน้อย เขาไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวของมือและพูดอย่างเป็นกันเอง “เมื่อคืนก่อนพระชายาพักผ่อนดีหรือไม่?”
“ดีนักเพคะ” เมื่อคืนก่อนท่านไม่ได้คิดบัญชีข้าหรอกหรือ?
“แล้วพระชายารู้สึกอย่างไรกับนิ้วมือของข้า?” น้ำเสียงของหมี่โม่หรู่ไม่แยแส และไม่มีร่องรอยของความไม่พอใจหรือการบังคับ
มือของฉินปู้เข่อเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย นางกัดฟันตอบว่า “ดีมาก ยอดเยี่ยม สุดยอดเลยเพคะ!”
“การประเมินของพระชายานั้นสูงนัก เหตุใดเจ้าไม่ลองสัมผัสมันอีกครั้งเล่า?” หมี่โม่หรู่เลิกคิ้วขึ้นแล้วเหลือบมองฉินปู้เข่อด้วยรอยยิ้มจาง
……
“ท่านอ๋อง บางเรื่องนั้นเพียงแค่ได้สัมผัสเพียงครั้งสองครั้งก็พอแล้ว ท่านจะได้ไม่ต้องเมื่อยมือเพคะ” น้ำเสียงของหญิงสาวมีความยำเกรงและมือของนางก็อ่อนลงมาก “มือของท่านใช้สำหรับเขียนและวาดภาพ ท่านไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ตามต้องการนะเพคะ”
“อืม” หมี่โม่หรู่ก้มศีรษะลงและรอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “ข้าคิดว่าวันนี้พระชายาทำประโยชน์ให้แก่ข้าได้อย่างเหมาะสม หากชวนเจ้าไปหมิงเทาเยี่ยนในตอนเที่ยงจะดีหรือไม่”
หื้อ? ฉินปู้เข่อพยายามวิเคราะห์และแยกแยะความจริงของประโยคนี้
“เจ้าไม่อยากไปหรือ?” หมี่โม่หรู่ละสายตาจากกระดาษด้วยรอยยิ้มในดวงตาของเขา
“ไปเพคะ!” ฉินปู้เข่อพยักหน้ารัว หากนางสามารถออกไปเดินเล่นและกินอาหารอร่อยได้เพราะการฝนหมึกแค่สองสามครั้ง นางก็ไม่รังเกียจที่จะแวะมาฝนหมึกทุกวัน
“รีบกลับไปเตรียมตัวให้พร้อม” หมี่โม่หรู่กล่าวตำหนิเบา ๆ หากแต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เมื่อเห็นหญิงสาวกระโดดโลดเต้นออกไปอย่างมีความสุข หมี่ฉงก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลง “ตบหัวแล้วลูบหลัง น้องสะใภ้ของข้าช่างเย้ายวนใจเสียจริง”
หมี่โม่หรู่กระแอมเบา ๆ แล้วเปิดหัวข้อ “ท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดอ๋องจั่วเสียนจึงแอบกลับมายังเมืองหลวงล่วงหน้า?”
ทุกวันนี้เขาตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า หลังจากที่นางถูกลักพาตัวโดยคนขององค์รัชทายาทในคืนนั้น นางก็บังเอิญได้พบกับหมี่เฉินอี้ที่แอบกลับมายังเมืองหลวง แล้วหมี่เฉินอี้ที่เข้ายึดฐานทัพขององค์รัชทายาทก็ส่งนางกลับมายังตำหนัก
ว่ากันว่าหมี่เฉินอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างทาง บางทีพระชายาตัวน้อยของเขาอาจให้ความช่วยเหลือหมี่เฉินอี้ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่หมี่เฉินอี้เชิญนางเป็นพิเศษ
“มีคนส่งจดหมายลับถึงเสด็จพ่อ โดยบอกว่าอ๋องจั่วเสียนสมรู้ร่วมคิดกับโจรต่างชาติระดับแนวหน้า และเสด็จอาก็กลับมา” หมี่ฉงหยุดชั่วคราว “ไม่ใช่องค์รัชทายาท เพราะองค์รัชทายาทเพิ่งทราบข่าวการกลับมาล่วงหน้าของเสด็จอาและฉวยโอกาสฆ่าเขา”
“น่าสนใจ” หมี่โม่หรู่วางพู่กันในมือแล้วมองดูภาพวาดตรงหน้าเขาด้วยความพึงพอใจ
ในภาพวาดเป็นหินในตำหนักเฉินอวี้ ถัดจากนั้นเป็นรูปสตรีทำผมมวยกำลังเท้าเอวมองไปยังหินที่อยู่ตรงหน้านาง ราวกับว่านางพร้อมที่จะปีนขึ้นไป
“ดูเหมือนว่ามีใครบางคนจงใจก่อสงครามระหว่างอ๋องจั่วเสียนและองค์รัชทายาท โดยพร้อมที่ใช้ผลประโยชน์จากชาวประมงตกปลา”
หมี่ฉงพูดอย่างกังวลเล็กน้อย “คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ลึกลับนัก เบาะแสที่พบในครั้งนี้ล้วนชี้ไปที่องค์รัชทายาท มิฉะนั้นก็จะถูกทำลายด้วยจุดจบขององค์รัชทายาท”
“อย่ากังวลมากไป ปล่อยให้พวกเขาสู้กันก่อน” หมี่โม่หรู่ผลักรถเข็นออกจากโต๊ะยาวด้วยตัวเอง “ครั้งนี้ต้องรบกวนพี่ชายสามให้จ่ายเงินด้วย”
หมี่ฉงกลอกตาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเดินไปที่รถเข็นและเข็นเขาออกจากห้องอ่านหนังสือ “ข้ายินดียอมรับความพ่ายแพ้ ตราบใดที่ตำหนักของเจ้าดูแลเรื่องอาหารและที่พักให้ข้าทุกวัน”
หมี่ฉงรู้สึกว่าเงินเดือนจะหมดก่อนกำหนดด้วยเหตุผลบางอย่าง และมันก็ไม่เลวที่จะอยู่ในตำหนักของอ๋องหลี่ชิน
ทันทีที่พวกเขาเดินไปที่ลานด้านหน้า ฉินปู้เข่อก็เก็บของและเดินออกไป
“พี่ชายสาม วันนี้ท่านยังต้องจ่ายอยู่ใช่หรือไม่เพคะ”
หมี่ฉงถอนหายใจ “ไม่มีทางเลือก ใครทำให้ข้าแพ้เล่า”
ฉินปู้เข่อเดินไปที่รถเข็นอย่างมีความสุข “ให้หม่อมฉันเข็นเถิดเพคะ”
“เดี๋ยวก่อน” หมี่โม่หรู่เลิกคิ้วแล้วจ้องนาง รอยยิ้มประหลาดปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
“มีอะไรหรือเพคะ?” ฉินปู้เข่อยืนข้างเขาอย่างงุนงง
“ย่อตัวลง”
ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง นางรู้สึกว่ารอยยิ้มของหมี่โม่หรู่ในขณะนี้ดูมืดมนเล็กน้อย และไม่อ่อนหวานเท่ากับตอนที่อยู่ในห้องอ่านหนังสือด้วยเหตุผลบางอย่าง
มวยผมขยับเล็กน้อย และปิ่นปักผมสีทองเรียบง่ายก็ถูกหมี่โม่หรู่ดึงออกมา
“อันนี้ไม่ใช่…” หมี่ฉงเหลือบมองปิ่นปักผมสีทองแล้วพูดโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็กลืนประโยคครึ่งหลังลงไปในท้องของเขา
นี่คือปิ่นปักผมสีทองที่เสด็จอาเก้า หมี่เฉินอี้จับเล่นที่ศาลาในวันงานเลี้ยงในพระราชวังใช่หรือไม่?
จะไปอยู่บนศีรษะของน้องสะใภ้ได้อย่างไร
“เข่อเอ๋อร์” หมี่โม่หรู่พึมพำถ้อยคำที่สลักไว้บนปิ่นปักผมสีทอง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นโยนปิ่นปักผมสีทองในมือลงไปในสระน้ำอันสวยงามที่อยู่ข้าง ๆ เขา
“เหตุใดท่านจึงขว้างของของหม่อมฉันทิ้ง!” ฉินปู้เข่อมองหมี่โม่หรู่ที่ดูเย็นชา “บ้าไปแล้ว! ใครจะเข้าใจได้เนี่ย!”
…………………………………………………………………………….