สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 70 ความหึงหวงคือความโกลาหล
ครั้งสุดท้ายที่นางโกรธและแสดงพลังประหลาดของนาง นางก็หลับใหลไปเป็นเวลาสามวัน
ทำให้เขารู้สึกว่านางใช้เวลาสามวันในการรวบรวมพลังเพื่อใช้ในชั่วขณะหนึ่ง
แล้วนางเพิ่งใช้เสียงของวันต่อไปทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่ นางจึงสามารถทำเสียงที่แตกต่างจากคนทั่วไปและดังกว่าเสียงคนปกติหลายเท่า
อย่างน้อยมันก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงดังถึงเพียงนี้ในชีวิตที่มีอายุกว่ายี่สิบปีของหมี่โม่หรู่
หากเขาไม่สามารถปรับกำลังภายในของเขาได้ทันเวลา คาดว่าหูของเขาก็คงจะมีเลือดออกและสะดุ้งตกใจด้วยเช่นกัน
“เจ้าเจ็ด น้องสะใภ้โกรธจัดแล้ว”
บัดนี้หมี่ฉงไม่เพียงแต่หูอื้อเท่านั้นแต่ยังไม่อาจยืนได้อย่างมั่นคงอีกด้วย หลังจากที่เขาปล่อยมือที่ปิดหูของเขา เขาก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนและเขาก็ตกใจอยู่เป็นเวลานานก่อนจะฟื้นคืนสติ
นางกำลังโกรธจัดจริงหรือ หมี่โม่หรู่จ้องมองแผ่นหลังของนางที่หายไปตรงหัวมุมข้างหน้าเขาแล้วหลับตาลง
ในขณะนี้หมี่โม่หรู่ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างในตัวพระชายาตัวน้อยของเขาที่เขาไม่อาจเข้าใจและควบคุมได้ ซึ่งสิ่งนั้นทำให้เขาไม่สบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
“ท่านอ๋อง พบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ผู้หนึ่งเช็ดปิ่นปักผมสีทองกับเสื้อแล้วส่งให้แก่เขา
“เข่อเอ๋อร์” หมี่โม่หรู่หยิบปิ่นปักผมสีทองแล้วพูดเบา ๆ
“ไปที่สวนเฉินอวี้” เขาถือปิ่นปักผมสีทองไว้ในมือและต้องการจะโยนมันทิ้งไปให้ไกล แต่เขารู้สึกว่าต้องให้ฉินปู้เข่อส่งมันคืนให้หมี่เฉินอี้
เขาไม่รู้ว่าทำไมนางถึงยืนหยัดเพื่อปิ่นปักผมสีทองที่ไม่ธรรมดาอันนี้
ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าไปเห็นซวงหวนที่เพิ่งไปรับยามา
“ท่านอ๋อง” ซวงหวนที่ถือถาดที่เต็มไปด้วยยาคำนับต่อหน้าหมี่โม่หรู่ แล้วลุกขึ้นยืนทันทีและเดินต่อไปโดยไม่รอให้เขาพูดอะไร
เพียะ!
แส้ฟาดลงที่พื้นหน้าเท้าของซวงหวน
เมื่อหันหลังกลับไปก็เห็นอู๋เยว่ที่กำลังถือแส้จ้องมองนาง “ไร้มารยาท! ไม่กี่วันหลังจากเปลี่ยนเจ้านายเจ้าก็ทิ้งท่านอ๋องไว้ข้างหลังแล้ว และยังลืมแม้กระทั่งกฎเกณฑ์ด้วยซ้ำ!”
ซวงหวนกัดริมฝีปากแล้วหันกลับมาอีกครั้งแล้วโค้งคำนับ “ข้าน้อยคำนับท่านอ๋องเพคะ พระชายากำลังรอให้ทำแผลด้วยยานี้ ข้าน้อยขอตัวก่อนเพคะ”
ล้อไม้กลิ้งบนพื้น หมี่โม่หรู่เอ่ยถามอย่างเย็นชา “เมื่อไม่กี่วันก่อนในตำหนักของอ๋องจั่วเสียน อ๋องจั่วเสียนมอบปิ่นปักผมอันนี้ให้พระชายาเมื่อใด?”
หมี่โม่หรู่ดูเหมือนสงบนิ่งแต่ความจริงแล้วมีความตึงเครียดผุดขึ้นในใจของเขา ของสิ่งนี้ดูเหมือนสัญลักษณ์แห่งความรักที่นางกำนัลน่าจะสังเกตเห็นได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าวันนั้นทั้งคู่จะอยู่กันสองต่อสอง?!
ซวงหวนมองหมี่โม่หรู่ด้วยความสับสนแล้วตอบว่า “ระหว่างทางออกจากตำหนัก เมื่ออ๋องจั่วเสียนส่งพระชายาออกมาก็ดูเหมือนว่าพระชายาทำปิ่นปักผมอันนี้หาย แต่อ๋องจั่วเสียนเป็นผู้เก็บมันไว้ได้เพคะ”
หมี่โม่หรู่ตกตะลึง มันธรรมดาถึงเพียงนี้เลยหรือ?! ไม่ได้มาจากอ๋องจั่วเสียนหรอกหรือ?
“พระชายาทำปิ่นปักผมหายที่งานเลี้ยงในพระราชวังหรือ?” ในวันนั้นหมี่เฉินอี้ถือปิ่นปักผมเพราะเขาเก็บมันได้อย่างนั้นหรือ?
ซวงหวนส่ายหัว “พระชายาไม่ได้นำมันติดตัวไปด้วยในระหว่างงานเลี้ยงในพระราชวังเพคะ พระชายาให้ความสำคัญกับปิ่นปักผมนี้เป็นอย่างมาก ก่อนที่อ๋องจั่วเสียนจะกลับมา พระชายายังคงมองหามันในตำหนักมาสองสามครั้งแล้วเพคะ”
“ให้ความสำคัญหรือ?” หมี่โม่หรู่ก้มลงเหลือบมองปิ่นปักผมด้วยแสงสลัวในดวงตาของเขา
“พระชายาทรงอภิเษกสมรสเข้าตำหนักอย่างเร่งรีบจึงไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวมาด้วย พระชายาถือปิ่นปักผมอันนี้ไว้เป็นพิเศษเมื่อนางมายังประตู สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่นางนำมาจากจวนเสนาบดีเพคะ”
บัดนี้ซวงหวนโกรธและผิดหวังนัก นางรู้ว่าท่านอ๋องนั้นคลางแคลงใจเกี่ยวกับแรงจูงใจของพระชายาที่ยอมอภิเษกสมรสเข้าในตำหนักจึงพยายามทดสอบนาง ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะละเลยการดูแลพระชายาในทุกวันนี้ แล้วไยท่านจึงยังคงปฏิบัติกับพระชายาเช่นนี้เล่า?
ในความเห็นของนาง พระชายาผู้นี้มีเมตตา เป็นกันเองและปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นพี่สาวของนาง นอกจากนี้ตั้งแต่วันนั้นที่พระชายาขอตัวนางไว้ พระชายาก็กลายเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวของนาง
วันนี้ท่านอ๋องทำลายปิ่นปักผมโดยไร้เหตุผล นางจึงรู้สึกเสียใจกับพระชายายิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าหมี่โม่หรู่ไม่พูด ซวงหวนก็คุกเข่าลงแล้วก้มหน้างุด “ท่านอ๋องยังคงสงสัยว่าพระชายาเป็นสายข่าวของจวนมหาเสนาบดีอยู่หรือเพคะ หรือเพราะว่านางเป็นสมาชิกของจวนมหาเสนาบดี ดังนั้นนางจึงไม่อาจแม้แต่จะแตะต้องปิ่นปักผมที่แม่ของนางให้ได้หรือเพคะ?!”
“ทุกวันนี้ข้าน้อยติดตามพระชายาและข้าน้อยมั่นใจว่านางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนมหาเสนาบดีอย่างแน่นอน มิฉะนั้นนางจะโจมตีแม่นางฉิน น้องสาวคนที่สามของนางเพราะดูถูกชื่อเสียงของท่านอ๋องได้อย่างไรเพคะ? หากท่านอ๋องไม่เชื่อพระชายาก็เพียงแค่ตรัสถามให้ละเอียดกว่านี้ด้วยเถิดเพคะ…”
เพียะ!
อู๋เยว่ตบหน้าซวงหวน “เจ้ามันหนอนบ่อนไส้!”
“หยุด!” หมี่โม่หรู่มองอู๋เยว่อย่างเย็นชา “ข้ามอบนางให้กับพระชายาแล้ว หากวันนี้นางไม่พูดแทนพระชายา นางจะเป็นคนไม่ซื่อสัตย์! แต่เจ้าน่ะสิ ข้าจำต้องย้ายเจ้าไปยังตำหนักชั้นนอกเพื่อไม่ให้เจ้าเข้าใกล้ข้าได้อีกแล้วไม่ใช่หรือ?”
อู๋เยว่มองหมี่โม่หรู่ด้วยความประหลาดใจและคุกเข่าลง “ท่านอ๋องเพคะ ข้าน้อย…”
ทุกวันนี้นางเฝ้ารอโอกาสอยู่ที่ตำหนักชั้นนอก โดยนางคิดเสมอว่าตราบใดที่ช่วงเวลานี้ผ่านไป ท่านอ๋องจะย้ายตนกลับมาอย่างแน่นอน ดังนั้นวันนี้เมื่อพวกเขาออกมาจากตำหนักชั้นในแล้วเกิดความขัดแย้งกัน นางจึงเป็นคนแรกที่รีบเร่งเข้ามา
“ซวงหวนเข็นข้าเข้าไป” ขณะนี้หมี่โม่หรู่กลับสู่ความสงบดังเมื่อก่อนอีกครั้ง แต่เมื่อเขามองลงไปที่ปิ่นปักผมสีทองในมือของเขา รอยยิ้มที่บิดเบี้ยวก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาโดยไม่รู้ตัว
อันที่จริงเขาใจเย็นขึ้นเล็กน้อยแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขายังคงลำบากใจอยู่
เพราะเขาเห็นมันอยู่ในมือของหมี่เฉินอี้ เพราะเขาเห็นมันบนมวยผมของนาง เพราะเขาเห็นท่าทางห่วงใยของนาง…
เขาสูญเสียความระมัดระวังและความรอบคอบที่เขาควรจะมีไปในทันที
ภายในห้อง ฉินปู้เข่อกำลังนอนอยู่บนหมอนและร้องไห้ออกมาหลายรอบ
มันเจ็บเหลือเกิน เมื่อเวลาผ่านไปผิวหนังและเนื้อใหม่ก็เริ่มงอกขึ้นมา เมื่อมันเปียกน้ำและถูกบีบอย่างรุนแรง แผลก็ฉีกออกจากกัน
สิ่งสำคัญที่สุดคือบัดนี้นางไม่อาจส่งเสียงได้
ในเวลานี้นางเพิ่งรู้ซึ้งว่าการกรีดร้องเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดมีความสำคัญเพียงใด
ไม่แปลกใจเลยที่ฉากคลอดลูกในโทรทัศน์ เหล่าคุณแม่ทุกคนจะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ปรากฏว่าการกรีดร้องสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้จริง ๆ
เดิมทีนางต้องการจะกินลูกอมสอดไส้แก้ปวดอีกเม็ดหนึ่ง แต่นางก็พบว่ามีผลข้างเคียงหลังจากกินไปสามเม็ด
นี่เป็นระบบที่แย่ เหตุใดของบางอย่างถึงมีผลข้างเคียง
เป็นเพราะนางเกรงว่าจะต้องนอนสลบไปอีกสามวันจึงไม่กล้ากิน ‘ยาฤทธิ์แรง’ อีก แต่นางคาดไม่ถึงว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะมีผลค่อนข้างดีมากจะมีผลข้างเคียงที่แปลกประหลาด
ฉินปู้เข่อสูดหายใจอีกครั้ง มันเจ็บมากและซวงหวนก็ไปรับยานานเกินไป
เสียงเปิดประตูดังขึ้น นางรีบลุกขึ้นและวิ่งออกจากห้องด้านในด้วยความกังวลใจ
ทันทีที่นางเห็นหมี่โม่หรู่ นางก็หันหลังกลับอีกครั้ง
มันน่าโมโหนัก บัดนี้นางสู้ไม่ได้และไม่สามารถแม้แต่จะบอกให้เขาออกไปได้
“มานี่สิ ข้าจะทายาให้เจ้า”
ซวงหวนวางถาดลงบนโต๊ะเบา ๆ แล้วถอยออกไป
“บาดแผลของเจ้าเปียกโชกไปด้วยน้ำ และหากไม่รักษาให้ทันเวลา มันก็จะเปื่อยเน่า” ดวงตาของหมี่โม่หรู่หรี่ลง และมีความรู้สึกผิดเล็กน้อยในคำพูดของเขา
“ข้านำปิ่นปักผมขึ้นมาให้แล้วและข้านำมาคืนให้เจ้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินปู้เข่อก็หันกลับมาและเอื้อมมือไปหยิบปิ่นปักผมในมือของหมี่โม่หรู่
จากนั้น…
มันน่าโมโหนักที่ไม่อาจด่าได้!! ฉินปู้เข่อเกือบจะเป็นบ้าไปแล้ว ใครจะรู้ว่าหมี่โม่หรู่จะฉวยโอกาสนี้คว้ามือนางมาจับไว้!
นางจ้องหมี่โม่หรู่ นางบิดข้อมือที่กำลังถือปิ่นปักผมเพื่อพยายามดึงมันออกจากมือของเขา แต่เขาบังคับให้นางนั่งลง
“อย่าขยับ” หมี่โม่หรู่ก้มหน้าลงและค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลที่ชุ่มน้ำออกอย่างระมัดระวัง เสียงของเขานุ่มนวลละมุนละไม
………………………………………………………………………