สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 80 อ๋ององค์หนึ่งเปิดปุ่มให้อาหาร
“ใครหรือเพคะ?”
ต้องไม่ได้มาจากสกุลฉินอย่างแน่นอน ฉินเสวี่ยเหลียนสร้างเรื่องอื้อฉาวจึงทำให้ฮองเฮาสั่งลงโทษนางเป็นการส่วนตัว ซึ่งทำให้ฉินเฉิงหย่งเป็นทุกข์ยิ่ง ประกอบกับปัญหาต่อเนื่องขององค์รัชทายาทในช่วงเวลานี้ทำให้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยไม่สำราญพระทัย จิ้งจอกเฒ่าฉินเฉิงหย่งจะต้องใช้กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่ง และไตร่ตรองถึงอนาคตขององค์รัชทายาทอีกครั้งอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับคนเช่นเขาที่ใช้ลูกสาวทุกคนเป็นหมากรุก ฉินเสวี่ยเหลียนและนางต่างก็เป็นคนไร้ประโยชน์ในความคิดของเขา ดังนั้นเขาจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการแต่งงานของฉินชิงเหยียน และแน่นอนว่าเขาจะจับคู่นางกับผู้ที่มีแนวโน้มที่จะได้สืบทอดราชบัลลังก์มากที่สุด
“ต๋งเหม่ยจิง ธิดาของอัครเสนาบดีต๋งชวน”
ฉินปู้เข่อกะพริบตา “ช่างไพเราะ… ชื่อนั้น!”
ต้องเป็นสตรีผู้งามเพียบพร้อมจึงจะได้สมญานามว่าเป็นดอกบัวขาวอันเรืองรองเช่นนี้ และต้องเลอโฉมเสียจนทำให้บ้านเมืองน่าอยู่ และต้องเป็นความงามที่ยากจะหาสิ่งใดในโลกนี้มาเทียบเทียม
“พรืด” หมี่ฉงหัวเราะลั่น “เป็นชื่อที่ดีนะ แต่ดูเหมือนตัวจริงจะตรงกันข้ามกับชื่อเลย หากจะบอกว่าอัปลักษณ์อย่างยิ่งก็ถือว่าไม่ได้พูดเกินจริงเลย เพียงแค่จับนางไปอยู่เคียงข้างหมี่เซวียนสักสองสามวันก็คงเพียงพอแล้ว บัดนี้…”
เพียะ!
ฉินปู้เข่อตบท้ายทอยของหมี่ฉง
ในใจของนาง นางต้องการให้หมี่เซวียนถูกลงโทษ แต่การที่หมี่ฉงตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอกและยังหัวเราะเยาะความอัปลักษณ์ของผู้อื่นทำให้นางรู้สึกแย่จริง ๆ
ท้ายที่สุดแล้ว ในชาติก่อนนางก็ไม่ได้มีผิวพรรณดี เพราะต้องฝึกซ้อมอย่างบ้าคลั่งเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันสานต่าอยู่พักหนึ่ง นางจึงมีรูปร่างกำยำและบึกบึน เมื่อนางออกไปข้างนอกและสวมแจ็กเกตบุนวมก็ถูกเด็กชายตัวเล็ก ๆ มองว่านางเป็นหมี
ปกติแล้วเมื่อคนอื่นเห็นกล้ามของนาง แม้ว่าพวกเขาจะคิดว่านางน่าเกลียดแต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดต่อหน้า ทว่าเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนนั้นทำให้นางเข้าใจความรู้สึกที่ถูกเรียกว่า ‘น่าเกลียด’ อย่างลึกซึ้ง
“เหตุใดน้องสะใภ้ถึงตบข้า” หมี่ฉงกุมศีรษะด้วยท่าทางสับสน นางควรจะยินดีกับข่าวดีเช่นนี้ไม่ใช่หรือ
ฉินปู้เข่อขจัดความรังเกียจในสายตาของนางแล้วยกยิ้มอ่อน “หม่อมฉันขออภัยเพคะ หม่อมฉันดีใจนักที่ได้ยินสิ่งที่พี่ชายสามบอก หม่อมฉันตื่นเต้นนักจนไม่อาจควบคุมมือได้”
หมี่โม่หรู่เหลือบมองนางแล้วชี้ไปที่เก้าอี้และกวักมือเรียกหมี่ฉงให้นั่งลง แล้วพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “พระประสงค์เดิมของฮองเฮาคือต้องการให้เขาอภิเษกสมรสกับภรรยาผู้มีคุณธรรม เพราะพระองค์ไม่ประสงค์จะให้องค์รัชทายาทลุ่มหลงอยู่กับความกำหนัดเพราะอิสตรี ดังนั้นพระองค์จึงเลือกขอต๋งเหม่ยจิงผู้มีรูปลักษณ์ธรรมดามาดูแลองค์รัชทายาท”
การที่อ๋องจั่วเสียนเดินทางกลับสู่เมืองหลวงนั้นไม่เพียงแต่สร้างแรงกดดันให้กับองค์รัชทายาทเท่านั้น แต่ยังทำให้บุคคลอื่นที่มีอำนาจทางทหารในต้าเซี่ยรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนเข็ม
ก่อนหน้านี้หมี่เฉินอี้อยู่ไกลจากชายแดนและไม่ได้คุกคามสถานะของเขาในเมืองหลวง ทว่าบัดนี้อัครมหาเสนาบดีฉินก็มีความรู้สึกถึงวิกฤตเช่นกัน
ในเวลานี้จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะเลือกตั้งกลุ่มกับองค์รัชทายาท แต่ฮองเฮาก็ใช้ตำแหน่งองค์รัชทายาทผูกสัมพันธ์กับจวนของตระกูลต๋งและรับการสนับสนุนทางทหารจากอัครมหาเสนาบดีตระกูลนี้ การกระทำดังกล่าวเป็นเพียงการรวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ของแต่ละคน
ฉินปู้เข่อไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มากนัก นางก้มศีรษะลงดื่มชาอย่างเงียบ ๆ หมี่เซวียนค่อนข้างหลงใหลในความงาม การที่ต๋งเหม่ยจิงเข้ามาในตำหนักบูรพาจึงทำให้หมี่เซวียนไม่มีความสุข
นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญเสียการสนับสนุนจากจวนมหาเสนาบดีฉิน บางทีหมี่เซวียนอาจจะได้รับผลกระทบมากขึ้นอีกในอนาคต
“ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่ข้าก็พนันได้เลยว่าพี่ชายสามยังคงติดหนี้เลี้ยงปูเจ้าอยู่ใช่หรือไม่” หมี่โม่หรู่เอื้อมมือออกไปปัดผมของฉินปู้เข่อออกจากหูของนาง แล้วทัดไว้ที่ด้านหลังศีรษะของนางและกระซิบข้างหูเบา ๆ
“หากเจ้ามีความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูด จะดีกว่าหากเจ้าทำให้เงินเดือนของเขาในเดือนนี้และเดือนหน้าหมดไปเลย ราคาปูในหมิงเทาเยี่ยนอันเลื่องชื่อนั้นน่าพึงพอใจนัก”
ฉินปู้เข่อหันหน้าไปทางใบหน้าที่อยู่ใกล้ชิดนาง เขาใส่พยาธิตัวกลมลงไปในท้องของนางหรือ?!
ในระยะใกล้เช่นนี้จะเห็นได้ว่าผิวพรรณของเขาดูดีนัก กรามของเขาก็นุ่มเนียนราวกับงานศิลปะ
เฮ้อ ชายหนุ่มผู้นี้ช่างหล่อเหลาอะไรเช่นนี้
ฉินปู้เข่อกลืนน้ำลาย แม้ว่าการตัดสินบุคคลด้วยรูปลักษณ์จะไม่ถูกต้อง แต่การได้เห็นผิวพรรณที่ดูดีก็ยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกมีความสุขได้
“เอาล่ะ พระชายาไปเปลี่ยนชุดก่อน ข้าและพี่ชายสามจะรอเจ้าอยู่ด้านนอก”
เมื่อเห็นว่ากลยุทธ์ ‘ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา’ ได้ผล หมี่โม่หรู่ก็มีรอยยิ้มในดวงตาของเขาและเอาใบหน้าอันงดงามของตัวเองออกจากใบหน้าของฉินปู้เข่อในเวลาที่เหมาะสม ก่อนจะทิ้งให้นางอยู่ในความสับสนอยู่เพียงผู้เดียว
“เมื่อครู่นี้ข้าถูกเขายั่วยวนใช่หรือไม่!” ฉินปู้เข่อเพิ่งตระหนักได้ในภายหลัง
ซวงหวนกำลังช่วยนางแต่งตัว และเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางก็พูดออกมาอย่างผ่อนคลายว่า “ท่านอ๋องของข้าน้อยหล่อเหลาจริงเพคะ”
ฉินปู้เข่อเหลือบมองซวงหวนอย่างไม่คุ้นเคยและส่ายหัวอย่างรุนแรง
หล่อก็ส่วนหล่อ อันตรายก็อันตรายจริง ๆ
หลังจากเข้างานมายังร้านหมิงเทาเยี่ยนแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในห้องส่วนตัวที่ชั้นหนึ่งตามปกติ
“ร้านหมิงเทาเยี่ยนนี้กำลังจะปิดหรือเพคะ?”
ฉินปู้เข่อมองไปรอบ ๆ อย่างแปลกใจเล็กน้อย เหตุใดวันนี้ที่นี่จึงมีที่ว่างเยอะและไม่ค่อยมีคนมากนัก
“ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมามีร้านอาหารรูปแบบตะวันตกเปิดให้บริการในเมืองหลวง ทุกคนจึงไปที่นั่นเพื่อลองลิ้มรสของแปลกใหม่” หมี่ฉงกล่าวและเหลือบมองหมี่โม่หรู่
เหตุใดเขาจึงเลือกซือต๋าเป็นอัจฉริยะทางการค้า ประการแรกคือเขาเป็นผู้ดูแลร้านหมิงเทาเยี่ยนและใช้เป็นพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร หลังจากกลับมาจากการเดินทางไปภูมิภาคตะวันตกเมื่อนานมาแล้วก็เริ่มสร้างร้านอาหารรูปแบบตะวันตก
หลังจากนั่งลงแล้ว หมี่ฉงก็คำนวณราคาในใจของเขาเงียบ ๆ และสั่งอาหารจานเด่นและปูขนมาสองสามจาน ซึ่งไม่มีทางที่ความอยากอาหารของน้องสะใภ้จะหมดไป เขาต้องใจเย็น ๆ
เนื่องจากมีแขกไม่กี่คน พ่อครัวด้านหลังจึงยกอาหารมาให้อย่างรวดเร็ว
ดวงตาของฉินปู้เข่อเป็นประกายเมื่อนางมองดูอาหารชั้นดีที่หลั่งไหลมาอย่างไม่รู้จบ พวกมันล้วนเป็นอาหารจานหนักทุกจาน หนักมาก!
“อิตาดาคิมัสสุ” นางแทบรอไม่ไหวที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปข้างหน้า
เมื่อหมี่โม่หรู่ได้ยินดังนั้น เขาก็เหลือบมองฉินปู้เข่อด้วยท่าทางประหลาดใจ
หมี่ฉงตกตะลึงครู่หนึ่งและถามว่า “สุคืออะไร?”
“มันแปลว่า ‘ข้ากำลังจะเริ่ม’ เพคะ” ฉินปู้เข่ออธิบายโดยไม่ได้หันไปมอง
ในชาติก่อนนางได้ดูอนิเมะมาเยอะ จึงเป็นเรื่องปกติที่ฉินปู้เข่อจะพูดประโยคภาษาญี่ปุ่นง่าย ๆ สองสามประโยคเป็นครั้งคราว
เข่งติ่มซำถูกเปิดออกแล้ว และปูขนห้าตัวก็กำลังรอนางอย่างเชื่อฟัง
ฉินปู้เข่อเอื้อมมือออกไปหยิบปูในเข่งติ่มซำมาไว้ในจานที่อยู่ตรงหน้า
จากนั้นก็แกะเปลือกปูและฉีกออกจากกันด้วยมืออย่างไม่รักษาภาพลักษณ์
ไข่ปูสีเหลืองสดใสและอวบอ้วนปรากฏขึ้นตรงหน้านาง ขณะที่นางกำลังถือปูอยู่ในมือทั้งสองและพร้อมที่จะกิน ตะเกียบคู่หนึ่งที่อยู่ถัดจากนางก็เอื้อมออกมาตีมือนางดัง ‘แปะ’
“อะไร!”
ท้องของนางส่งเสียงร้องดัง อาหารอร่อยอยู่ตรงหน้านางแล้ว สำหรับนักชิมอย่างนางจะมีอะไรน่าเศร้าไปกว่าเนื้อปูที่กำลังจะเข้าปากถูกพรากไป
หมี่โม่หรู่กลอกตามองนาง เขาพับแขนเสื้อขึ้นและเปิดถุงผ้าเล็ก ๆ ข้างที่วางตะเกียบ อุปกรณ์แกะปูสีเงินเงางามจำนวนแปดชิ้นวางอยู่บนผ้าฝ้ายอย่างเงียบ ๆ
ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา อุปกรณ์ที่มีรูปร่างสวยงามแต่ละชิ้นก็ผลัดกันอยู่ในมืออันเรียวยาวและขาวเนียนของหมี่โม่หรู่
เขาแสดงฝีมือการใช้มีดเป็นท่วงทำนองอันไพเราะก่อนจะรับประทานอาหาร
ไม่นานไข่ปูสีทองเงางาม มันปูเหนียวสีขาวนวล และเนื้อปูสีขาวราวหิมะนุ่มละมุนก็ถูกแกะออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ และวางไว้ในถ้วยสามขาถัดจากหม้อนึ่ง
“กินตอนนี้เลยได้หรือไม่เพคะ” ฉินปู้เข่อยกตะเกียบขึ้นมาอย่างลังเล
นางรู้สึกทึ่งกับวิธีการรับประทานปูที่วิจิตรงดงาม เมื่อเทียบกับวิธีการกินปูครั้งก่อน ๆ ของนางแล้วมันก็ดูน่าเกลียดนักราวกับตือโป๊ยก่ายพบลูกละมุด เพราะนางแทบจะกลืน ‘ปู’ เข้าไปทั้งตัว
หมี่โม่หรู่ไม่ตอบ เขาหยิบช้อนเล็ก ๆ ด้านข้างขึ้นมาแล้วตักน้ำจิ้มสูตรพิเศษราดลงบนเนื้อปูหนึ่งช้อนเต็ม
ฉินปู้เข่อกลืนน้ำลาย ปรากฏว่าเนื้อปูมีวิธีการกินขั้นสูง
อะไรจะมีความสุขไปกว่าการกินเนื้อปูเต็มคำ
“เอ๊ะ~ ขอบใจนะเจ้าเจ็ด”
หมี่ฉงผู้เฝ้าดูอยู่นานแล้วลุกขึ้นยืนแล้วคว้าช้อนเล็ก ๆ จากมือของหมี่โม่หรู่ ส่วนอีกมือหนึ่งเอื้อมไปยังถ้วยสามขาที่อยู่บนโต๊ะ
………………………………………………………………………………