สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 81 เถ้าแก่ผู้หยิ่งผยองโอหัง
หมี่โม่หรู่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยแล้วตีมือของเขาด้วยมือข้างที่ไม่ได้ถือช้อน
มือของหมี่ฉงที่กำลังจะคีบเนื้อปูหยุดอยู่กลางอากาศ
“หากท่านจะกินก็ต้องแกะด้วยตัวเอง”
หมี่โม่หรู่หยิบช้อนคันเล็กออกจากมือแล้วยัดใส่มือฉินปู้เข่อ แล้วผลักถ้วยสามขาตรงหน้าเขาไปให้นาง และพูดอย่างอบอุ่นว่า “กินสิ”
ฉินปู้เข่อตักเนื้อปูหนึ่งช้อนเข้าปากแล้วหรี่ตาลงอย่างมีความสุขทันที
หมี่ฉงที่กลับไปนั่งลงที่เดิมด้วยความเศร้า เขาก้มหน้าลงมองโต๊ะ “ข้าเป็นคนจ่ายเงินเพื่อซื้อปู แต่ดันไม่มีใครช่วยแกะมันให้เลย ช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจริง!”
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เพราะเขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเห็นหมี่โม่หรู่ตั้งใจแกะปู
เขายังคิดอีกด้วยว่าเจ้าเจ็ดหลงใหลน้องสะใภ้ของเขามากเกินไป
“พี่ชายสาม หม่อมฉันจะช่วยท่านเองเพคะ” ฉินปู้เข่อกินเนื้อปูคำสุดท้ายเสร็จแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หม่อมฉันเห็นวิธีแล้ว หม่อมฉันจะลองดูเพคะ”
นางหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดขาและเล็บปูออก แล้วค้อนเล็กกับขวานเล็กนี่ใช้ทำอะไรกัน?
ฉินปู้เข่อพยายามทุกวิถีทางเพื่อใช้อุปกรณ์ทุกชิ้นให้เป็นประโยชน์ และสุดท้ายก็แกะเปลือกปูออกแบบไข่ปูและเนื้อปูผสมปนกันหมด
“เป็นอย่างไรบ้าง เก่งใช่หรือไม่เพคะ” ฉินปู้เข่อวางถ้วยสามขาไว้ตรงหน้าหมี่ฉง
หมี่ฉงตักเนื้อปูหนึ่งช้อนใส่ปากด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่เขาจะได้เพลิดเพลินกับรสชาติแสนอร่อย ลิ้นของเขาก็ถูกเปลือกปูชิ้นใหญ่บาด
บัดนี้เขารู้สึกน้อยใจเล็กน้อย เขารู้สึกว่าในเมื่อไม่มีผู้ใดแกะเนื้อปูให้เขา ทางเลือกที่ดีสำหรับเขาก็คือแกะเอง
“วันนี้อ๋องคังชินเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสหรือไม่?” เสียงที่ร่าเริงดังขึ้น ซือต๋าในชุดคลุมสีแดงตัวใหญ่เดินเอามือไพล่หลังเข้ามาในห้อง
หมี่ฉงกลืนเลือดในปากของเขาและจ้องไปยังคนผู้นั้น “เลิศรสนัก แต่มันจะดีกว่าหากเถ้าแก่ซือไม่ได้มากระทบกระเทือนต่อความอยากอาหารของข้า”
ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเขารู้สึกอับอายนัก เพราะเขาต้องการตามหาซือต๋าเพื่อเงินเพียงเล็กน้อย ใครจะรู้ว่าชายผู้นี้ไม่มีเงินแม้แต่ตำลึงเดียวและเขาก็เสียมิตรภาพนานหลายปีนี้ไป!
“ทำไม เจ้าคิดว่าวันนี้ข้าหล่อเหลาราวกับต้นหยกเล่นลมและยังสุภาพอ่อนโยน เมื่อเปรียบกับเจ้าแล้ว เจ้าก็เลยไม่มีความอยากอาหารอย่างนั้นหรือ?”
เอ่อ เมื่อฉินปู้เข่อได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองดูซือต๋าที่สวมชุดสีแดง
หยิ่งผยองโอหัง นี่คือความรู้สึกแรกของนางที่มีต่อซือต๋า
“เจ้า! ข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วอยากจะอาเจียนและไม่อยากอาหาร!” หมี่ฉงตอบอย่างไร้ความปรานี “ชายร่างใหญ่สวมชุดสีแดงทั้งวัน บรรดาคนที่ไม่รู้จักก็คงจะคิดว่าเจ้าเป็นผีชุดแดงที่ถูกญาติทิ้ง น่าเกลียดจะตาย!”
“อ๋องคังชินได้รับรางวัลแล้ว วันนี้มีส่วนลดให้เจ้า คิดว่าเป็นอย่างไร” ซือต๋าทำราวกับว่าเขาไม่เคยได้ยินหมี่ฉงด่าตน เขายกเสื้อคลุมขึ้นและนั่งลง หยิบอุปกรณ์แกะปูแปดชิ้นขึ้นมาเริ่มแกะอย่างสบายอารมณ์
“เท่าไหร่?”
“หากมันราคาถูกเกินไปก็จะไม่สมกับสถานะอ๋องคังชิน ฉะนั้นลดเพียงร้อยละสิบก็ถือว่าเหมาะสม” ซือต๋าพูดแล้วส่งเนื้อปูที่ใส่ลงในถ้วยให้ฉินปู้เข่อ “ข้าพูดถูกหรือไม่เล่า น้องสะใภ้”
ฉินปู้เข่อเอนหลังและมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาคู่งาม
นางไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างคุ้นเคยกับหมี่ฉง
“ว่าอย่างไร เจ้าไม่กล้าที่จะรับมันโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากโม่หรู่อย่างนั้นหรือ?” ซือต๋าคว้ามือของนางแล้ววางถ้วยสามขาไว้ในมือของนาง “ตอนที่เจ้ากับโม่หรู่แต่งงานกัน ข้าไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีด้วย วันนี้เนื้อปูเหล่านี้จึงเป็นของกำนัลวันแต่งงานชิ้นใหญ่ของข้าสำหรับพวกเจ้าทั้งสอง”
ความรู้สึกที่สองก็คือฉลาดและตระหนี่
“เถ้าแก่ซือยืมดอกไม้ถวายพระ ให้ส่วนลดร้อยละสิบแก่ข้าและปูเป็นกองกลาง” น้ำเสียงของหมี่ฉงนั้นไร้ความปรานียิ่ง
“นี่คือซือต๋า เจ้าของภัตตาคารหมิงเทาเยี่ยน” หมี่โม่หรู่หัวเราะเบา ๆ “เราสามคนรู้จักกันมานานแล้ว”
“ใครรู้จักเขามาตั้งนานแล้ว ข้าไม่รู้จักคนที่สนใจแต่เงินและไม่สนใจคนอื่นเช่นนี้”
ฉินปู้เข่อรู้สึกประหลาดใจและถามว่า “ซือต๋า ท่านคือซือต๋าหรือ?!”
………………………………………………………………………….