สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 83 คนสามคนมาด้วยกัน หนึ่งในนั้นต้องเป็นคนโง่เขลา
“ความสัมพันธ์ระหว่างแม่นางจานกับพี่สาวของเจ้านั้นแน่นแฟ้นดีเหลือเกิน เจ้าเป็นสตรีผู้เป็นมิตรและน่ารัก”
อะไรกัน!! ซือต๋ากำลังจะเป็นบ้า อะไรคือความแตกต่างระหว่างเขาในตอนนี้กับการสารภาพรักกับสตรีโดยตรง!
อย่างแรกคือเขาชมนางว่าแต่งตัวงดงามเพียงใด และเขายังยกย่องความใจดี มีน้ำใจของนาง ไม่ว่าใครก็ถือว่านี่คือคำสารภาพรัก!
ใบหน้าของจานหานชิวเปลี่ยนเป็นสีแดง และในขณะเดียวกันดวงตาของนางก็หวานหยาดเยิ้มขึ้น
จานหานจือที่อยู่ด้านหลังก็มองมาที่เขาด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง เมื่อนางได้ยินสิ่งที่นายน้อยซือกล่าว
เป็นไปได้ว่าน้องสาวคนเล็กจะสมหวังในความรัก ซือต๋าผู้นี้มีพื้นฐานครอบครัวที่ดีและเป็นที่รู้จักในนามของนายน้อยผู้ใจกว้าง การได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเขามีความประทับใจที่ดีต่อน้องสาวตัวน้อยของนาง
สำหรับน้องสาวตัวน้อยของนางที่ดูราวกับเด็กน้อยในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ว่าใครก็สามารถเห็นหัวใจของนางได้เพียงแค่ชำเลืองมอง
“อะแฮ่ม” จานหานจือกระแอมเบา ๆ และเจาะฟองสบู่สีชมพูที่ลอยอยู่ในห้อง
จานหานชิวทำความเคารพและกระซิบว่า “นายน้อยซือ เราจะพูดถึงเรื่องนี้กันในวันอื่นนะเจ้าคะ”
ซือต๋า “อืม วันนี้ข้ามีความสุขนักที่ได้คุยกับแม่นางจาน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจานหานชิวก็เหลือบมองเขาราวกับว่านางโปรยเสน่ห์ แล้วรีบตามจานหานจือเข้าไปในห้องส่วนตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองแผ่นหลังที่จากไปแล้วของหญิงสาว ซือต๋าก็ทำหน้าขมขื่นและอยากจะตบปากตัวเอง
คำพูดไร้สาระที่เขาพูดเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้บอกใบ้ความนัยแก่สตรีผู้นั้นอย่างชัดเจนหรอกหรือ
เมื่อประตูห้องถัดไปเปิดออก ฉินปู้เข่อก็เข็นหมี่โม่หรู่ออกมาและเผชิญหน้ากับซือต๋าที่ดูหงุดหงิดและยังไม่ยอมแพ้
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่หรือ”
ฉินปู้เข่อไม่รู้ตัวเลยว่าไข่เค็มสรรเสริญของนางจะทำให้ความสัมพันธ์ของซือต๋าและจานหานชิวเริ่มต้นขึ้นอย่างน่าอึดอัด
“ไม่มีอะไร” ซือต๋าแตะตั๋วเงินในแขนเสื้อของเขา บัดนี้มีเพียงเงินเท่านั้นที่สามารถบรรเทาจิตวิญญาณที่ตื่นตระหนกของเขาได้
ฉินปู้เข่อพึมพำไปเรื่อยเปื่อยขณะที่เดินผ่านซือต๋า “สีหน้าเช่นนี้ต้องมี…”
เมื่อเดินผ่านไปครึ่งทางนางก็หยุดพูด แล้วจู่ ๆ ก็มองกลับไปที่ซือต๋าราวกับว่านางได้ค้นพบบางสิ่งที่ไม่ธรรมดา
“น้องสะใภ้ของข้าเป็นอะไรหรือไม่?” คำพูดนี้ออกจากปากของซือต๋า
“ไม่มีอะไรเพคะ” ฉินปู้เข่อยกยิ้มให้เขาอย่างรู้ทันและก้าวเท้าเดินต่อ
หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว นางก็รีบขยับไปหาหมี่โม่หรู่เพื่อเริ่มนินทา “เดาสิเพคะว่าหม่อมฉันเพิ่งพบอะไร ซือต๋าและจานหานชิวเพิ่งพบกัน ท่านเห็นท่าทางของเขาหรือไม่ ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งสองแน่เพคะ”
การรับรู้กลิ่นของฉินปู้เข่อพัฒนาขึ้นอย่างผิดปกติ เมื่อนางเดินผ่านซือต๋าเมื่อสักครู่นี้ นางก็ได้กลิ่นของน้ำมันดอกจำปี
บรรดาขุนนางในตระกูลข้าราชการจะดูแลเส้นผมของตน และเพื่อให้แตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง สตรีเกือบทุกคนจะจงใจเลือกน้ำมันใส่ผมที่มีกลิ่นแตกต่างกัน และกลิ่นน้ำมันใส่ผมของจานหานชิวก็คือกลิ่นของดอกจำปี
ฉินปู้เข่อชอบเรื่องซุบซิบนินทาอันแสนหวานระหว่างชายหญิงเช่นนี้ และยังคงชอบที่จะเข้าไปรู้เห็นเรื่องของผู้อื่นเสมอ
แน่นอนว่าเมื่อนางเจอคนที่นางชอบ นางจะอัปเกรดตัวเองให้กลายเป็นแฟนคลับคู่จิ้นโดยอัตโนมัติดังเช่นตอนนี้
“ท่านเห็นหรือไม่ว่าหน้าของซือต๋าแดงเล็กน้อย จุ๊ จุ๊ สองคนนี้เป็น ‘คนที่มีความรู้สึกรักใคร่ต่อกัน’ น่ะสิเพคะ”
หมี่โม่หรู่ยกยิ้มแล้วมองสตรีที่กำลังเต้นเร่าอยู่ตรงหน้าเขา พลางคิดว่าบางทีเขาอาจจะรู้คำตอบในวันพรุ่งนี้
นางใส่ยาหลอนประสาทเพิ่มเข้าไปในอาหาร หรือใส่อย่างอื่นที่สามารถเปลี่ยนความคิดได้ลงไปหรือไม่?
ปัญหามันมากับจานไข่เค็มที่ยกมาตอนท้ายอย่างแน่นอน
คราวนี้พระชายาเรียนรู้ที่จะฉลาดมากขึ้น แทนที่จะนำอาหารที่ไม่ได้ยกมาไว้บนโต๊ะออกมาในทันใด นางกลับสั่งอาหารจานเดิม จากนั้นจึงเปลี่ยนไข่เค็มที่นางเตรียมไว้แล้วส่งให้หมี่ฉง
วันรุ่งขึ้นที่ห้องอ่านหนังสือในตำหนักของอ๋องหลี่ชิน ชายร่างใหญ่สองคนจ้องไปยังจานไข่เค็มที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา ราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม
ซือต๋าหยิบไข่เค็มของเมื่อวานมาที่ตำหนักของอ๋องหลี่ชิน เขาตอกไข่แล้วแกะเปลือกไข่เค็มทีละฟองต่อหน้าหมี่โม่หรู่ จากนั้นจึงลองใช้เข็มเงินจิ้มทดสอบทีละฟอง
“ไม่มีปัญหา ไม่มีสารพิษถูกใส่เพิ่มเข้าไป”
เนื่องจากซือเยี่ยน น้องชายของฉีเหวินกงเป็นหนึ่งในหมอที่ดีที่สุดในต้าเซี่ย ซือต๋าจึงเดินตามรอยเสด็จปู่เล็กของเขาเพื่อจดจำและเก็บรวบรวมยาตั้งแต่ยังเด็ก
นอกจากนี้ซือต๋ายังมีพรสวรรค์ด้านการรักษา ดังนั้นตั้งแต่เขาอายุยังน้อยก็ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมเขาทางด้านการแพทย์ได้ และเขายังมีเอกลักษณ์ในการใช้พิษเฉพาะตัวด้วย
“ไม่อย่างนั้นข้าจะลองกินอีกรอบ”
หมี่โม่หรู่ดึงเข็มเงินออกจากไข่เค็ม สีหน้าของเขาราวกับคนจมน้ำ “ข้าจะกินเอง”
“ไม่มีทาง!” ซือต๋าขมวดคิ้วและมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าใช้เงินจำนวนมากซื้อสมุนไพรหายาก เพื่อกำจัดพิษออกจากร่างกายของเจ้า จนถึงบัดนี้พิษในร่างกายของเจ้าก็ยังไม่ถูกกำจัดออก หากสิ่งนี้ทำให้พิษยิ่งรุนแรงขึ้น พลังและเงินของข้าตลอดหลายปีนี้ก็จะสูญเปล่า”
เรียกได้ว่าซือต๋าเต็มใจเรียนหมอเพราะเขาต้องการกำจัดพิษให้หมี่โม่หรู่ และไม่เต็มใจที่จะเห็นความเจ็บปวดของเขาเมื่อพิษรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
“อีกอย่างคือเมื่อวานข้ามีปัญหากับไข่เค็ม ซึ่งข้าสามารถบอกได้ด้วยรสชาติ”
ซือต๋ายังใช้จิตวิทยาให้กำลังใจตัวเอง “หากข้าพูดอะไรที่น่ารำคาญในภายหลังก็ไม่เป็นอะไร”
ในที่สุดเขาก็หยิบไข่เค็มขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทาแล้วกัดอย่างน่าอนาถ
เอ๊ะ? รสชาติแตกต่างจากเมื่อวาน เป็นรสเผ็ดตามสูตรของภัตตาคารหมิงเทาเยี่ยน
ซือต๋ากัดอีกคำหนึ่งและกัดอีกคำก็ยังคงรสชาติเหมือนของภัตตาคารหมิงเทาเยี่ยน
จนกระทั่งเขากัดไข่เป็ดหกฟองในจาน เขาก็ยังไม่พบไข่ที่มีรสชาติเหมือนเมื่อวาน
“ไม่ได้อยู่ที่นี่” ซือต๋าพยักหน้ายืนยัน “ไม่ใช่อย่างแน่นอน”
หมี่โม่หรู่นึกถึงรายละเอียดทั้งหมดของเมื่อวาน “เป็นไปได้หรือไม่ที่นางจะเอาไข่เค็มที่มีปัญหาออกมาเพียงแค่สองฟอง แล้วโยนให้เจ้าแทนที่จะเอามาเปลี่ยนทั้งจาน”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่! แต่สมุนไพรชนิดใดที่สามารถบงการคำพูดของผู้คนได้?” ซือต๋าสับสนมากและคาดเดาหลายอย่างในใจ
เมื่อวานนี้เขารู้สึกแปลก ๆ และวันนี้เขาก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีกหลังจากฟังหมี่โม่หรู่เล่าเรื่องสิ่งแปลก ๆ เหล่านี้เกี่ยวกับอาหารอย่างละเอียด
หมี่โม่หรู่สามารถตัดสินใจได้ดีตั้งแต่ยังเป็นเด็กและเต็มไปด้วยกลอุบาย เขาบอกว่าสาเหตุที่เกิดจากอาหารจะต้องได้ข้อสรุปหลังจากพิจารณาอย่างละเอียด
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาแตกต่างจากคนโง่เขลาอย่างหมี่ฉงที่หลังจากกลับมาเป็นปกติเมื่อวานนี้ เขาก็สังหรณ์ใจว่ามีบางอย่างกำลังควบคุมปากของเขาอยู่
“เจ้าเจ็ด เดาสิว่าข้าได้ยิน ‘เรื่องดี ๆ’ อะไรตอนที่ข้าออกไปข้างนอกวันนี้” เมื่อกล่าวจบหมี่ฉงก็เดินเข้ามาอย่างรู้สึกอารมณ์ดี
ซือต๋ากระแอมในลำคอแล้วหยิบเข็มเงินเก็บเข้าไปในแขนเสื้อแล้วนั่งลงบนเก้าอี้
“เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่ มันส่งผลต่ออารมณ์ของนายน้อย” หมี่ฉงจ้องมองซือต๋าอย่างไม่พอใจหลังจากก้าวเข้าไปในประตู และมองดูเขาด้วยความรังเกียจหลังจากมองเห็นไข่เค็มทุกใบบนโต๊ะ
“บัดซบ อย่าได้จ่ายเงินให้นายน้อยในราคาถูกเพราะเจ้าจะได้กินไข่แต่ละฟองแค่คำเดียวเท่านั้น! เงินสูญเปล่าและอาหารก็สูญเปล่า!”
ซือต๋ามองดูท่าทางของคนโง่เขลาและส่ายหัวอย่างไร้คำพูด เหตุใดเขาและหมี่โม่หรู่ถึงได้มีไหวพริบกันทั้งคู่ แต่ชายผู้นี้กลับเป็นคนโง่เขลา และเขาไม่เคยได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินอยู่เป็นประจำตลอดหลายปีมาแล้ว
“เรื่องดี ๆ อะไรหรือ” หมี่โม่หรู่กลับมาที่ประเด็น
………………………………………………………………………………..