สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 94 ท่านอ๋องผู้ตื่นตระหนก
เมื่อมองดูอีกครั้ง ใครบางคนก็ยืนอยู่นอกมุ้งอย่างมั่นคงเสียแล้ว ขณะที่มือนั้นจับเท้าที่เตะออกไปเอาไว้
ผู้นั้นใช้ฝ่ามือกดที่เท้าของนางด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่รีบร้อน “พระชายาที่มีนิสัยชอบเตะผู้อื่นตอนตื่นนั้นไม่ดีเอาเสียเลย เท้าที่งดงามเช่นนี้ไม่คู่ควรแก่การใช้เตะผู้คนสักหน่อย”
“ไปให้พ้น!”
ฉินปู้เข่อไม่มีอารมณ์มาสนใจใครทั้งนั้น นางยังจำได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่นางจะผล็อยหลับไป
นางลุกขึ้นจากเตียงและสวมเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ ก่อนจะจัดกระเป๋าให้ตัวเองอย่างเรียบง่าย
เป็นเพราะผลข้างเคียงของ ‘ช็อกโกบอลเพิ่มพละกำลัง’ ออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ก่อนที่นางจะร้องไห้เสร็จในคืนนั้นด้วยซ้ำ นางที่เหนื่อยล้าและจิตใจบอบช้ำจึงผล็อยหลับไปในตู้เสื้อผ้า
ตอนนี้นางไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป เดิมทีนางคิดว่าหมี่โม่หรู่จะเดินทางในคืนนั้น คำถามที่นางตอบออกไปได้คลายความคลางแคลงใจของเขาที่มีต่อตัวตนของนางแล้ว นอกจากนี้เขาได้ทำให้เห็นว่าตนเองไม่ใช่ผู้ร้ายและไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร
สุดท้ายแล้ว เขาก็ตบหน้าตัวเองจริง ๆ
ก่อนที่ผู้คนจะขุดคุ้ยไปถึงเบื้องหลังของนางไปมากกว่านี้ ทั้งหมดทั้งมวลมีเพียงการยอมลดตัวลงไปขายร่างกาย แล้วนางยังจะต้องอาลัยอาวรณ์อะไรอีกหรือ นอกจากเทพบุตร รสจูบ และการหลับนอน แค่นั้นเอง
“เจ้ากำลังทำอะไร!” หมี่โม่หรู่ฉวยกระดาษที่อยู่ในมือของนาง “ข้ารู้ว่ามันคือจดหมายหย่า ตอนนี้เจ้าคงพร้อมที่จะหนีไปแล้วใช่หรือไม่!”
ฉินปู้เข่อจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ในเมื่อท่านอ๋องคลางแคลงใจในตัวหม่อมฉันมาตลอด ทำไมเราถึงไม่จากกันด้วยดีไปเสีย หม่อมฉันจะไม่ปากพล่อยถึงทุกการกระทำของท่าน ท่านอ๋อง ขอได้โปรดเข้าใจแล้วปล่อยหม่อมฉันไปเถิด และแยกจากกันจะดีกว่า”
“จากกันด้วยดี เหอะ พระชายาพูดออกมาง่ายดายยิ่งนัก” ใบหน้าของหมี่โม่หรู่ยังคงนิ่งเรียบ ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูอันตรายอย่างยิ่ง “หากข้ายืนกรานจะขังเจ้าไว้ในตำหนัก พระชายาจะกล้าขัดขืนข้าหรือไม่!”
ฉินปู้เข่อไม่ล้มเลิกการเก็บของ และเอื้อมหยิบปิ่นปักผมทองบริสุทธิ์บนโต๊ะเครื่องแป้ง “ใช่เพคะ หม่อมฉันมาตำหนักคนเดียว ย่อมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของตำหนักออกไปไม่ได้อยู่แล้ว ได้โปรดท่านอ๋องมองในแง่ดี หม่อมฉันเพียงจะเอาปิ่นปักผมออกไปเท่านั้น”
“ท่านอ๋องมั่นใจได้ ทันทีที่หม่อมฉันก้าวออกจากประตูพระตำหนัก หม่อมฉันจะบอกคนนอกแค่ว่าตัวหม่อมฉัน ฉินปู้เข่อคนนี้โหดเหี้ยมและไร้พรสวรรค์จน ‘เจ้าเจ็ดขับไล่’ จะไม่ส่งผลต่อชื่อเสียง ‘คุณดีงาม’ ของท่านอ๋องที่สร้างมานานนับหลายปี และจะไม่ป่าวประกาศความลับของท่าน!”
“ท่านอย่าคิดกักขังหม่อมฉันเอาไว้เลยเพคะ หากมีความสามารถมากพอ วันหนึ่งท่านคงได้อยู่กับหม่อมฉันอีก ไม่เช่นนั้น หม่อมฉันคงได้หนีไปอีกเหมือนวันนี้ และอาจหนีอยู่ร่ำไป”
เมื่อเห็นว่านางกำลังจะก้าวไปเปิดประตู หมี่โม่หรู่ก็รู้สึกถึงร่องรอยความวิตกกังวลจากก้นบึ้งหัวใจ เขาก้าวออกไปข้างหน้าและกอดฉินปู้เข่อจากทางด้านหลัง “เสี่ยวเข่อ ข้าไม่อยากใช้อำนาจกักขังเจ้า แต่เจ้าไม่จากกันด้วยดีได้หรือไม่ เจ้าบอกว่าอยากอยู่เคียงข้างข้าเหมือนที่เคยทำไม่ได้หรือ”
ฉินปู้เข่อสูดลมหายใจเข้าลึก และพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตา “หม่อมฉันบอกแล้วไงเพคะ ท่านอ๋องเป็นคนมีสติไม่สมประกอบหรือ ทั้งที่ท่านคลางแคลงใจว่าหม่อมฉันจะทำร้ายท่านมาตลอด เหตุใดท่านถึงเอาแต่เก็บหม่อมฉันไว้ข้าง ๆ? ท่านจะอยากมีชีวิตอยู่ด้วยความวิตกกังวลไปทุกวันหรือ? และที่ท่านหลอกลวงว่าชอบหม่อมฉันมันคือการกระทำจากใจจริงหรือเพื่อทดสอบหม่อมฉันกันแน่ ท่านทำแบบนั้นแล้วมันจะทำให้ท่านสุขใจงั้นหรือ?!”
“ไม่ ไม่ใช่” หมี่โม่หรู่หันนางกลับมาและกอดนางไว้แน่น โดยไม่แม้แต่จะเว้นช่องว่างให้นาง “ข้าไม่ได้คลางแคลงใจในเจตนาของเจ้า ข้าไม่ได้สงสัยว่าเจ้าจะทำร้ายข้า ข้าแค่ แค่อยากรู้”
หมี่โม่หรู่กระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาข้างหูของนาง “ข้าแค่เตือนเจ้าให้ลดความโหดเหี้ยมลง แต่ข้าไม่ได้กังวลว่าเจ้าจะทำร้ายข้า ข้าแค่เป็นห่วงว่าวันหนึ่งใครจะมาพาตัวเจ้าไป บางทีอาจจะเป็นหมี่เฉินอี้ที่พาไป”
ร่างกายของคนในอ้อมกอดแข็งทื่อเล็กน้อย
หมี่โม่หรู่ถอนหายใจ “เจ้ามีความลับอะไรก็เรื่องของเจ้า ข้าจะระงับความอยากรู้อยากเห็นและไม่เสาะหาคำตอบอีก แต่หากความลับนั้นพรากลมหายใจของเจ้าไปล่ะ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าไปเจอกับหมี่เฉินอี้ในคืนที่เจ้ากลับมาก่อนใช่ไหม จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอาจจะค้นพบความลับของเจ้าเข้าแล้ว?”
น้ำเสียงของหมี่โม่หรู่ดังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ “ที่ข้าจงใจหลีกเลี่ยงตลอดหลายปีที่ผ่านมา เป็นเพราะไม่มีใครช่วยในราชสำนัก หลังจากที่หมี่เฉินอี้กลับมา เขาก็เข้ามาพัวพันกับตำหนักอ๋องหลี่ชินบ่อย ๆ ข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว สุดท้ายนี้คงสรุปได้เพียงเรื่องเดียว หมี่เฉินอี้มาที่นี่เพราะความลับของเจ้าใช่หรือไม่”
“เจ้าก็รู้ว่าหมี่เฉินอี้เชิญชวนคนในตำหนักอ๋องหลี่ชินให้ไปพระราชวังน้ำพุร้อนด้วยกันในอีกสองสามวัน สองสามเดือนมานี้ สัญชาตญาณของข้าบอกว่าเสด็จอาจะต้องทำอะไรที่นั่นเป็นแน่ หรือเตรียมทำอะไรบางอย่างกับเจ้า”
“ข้ายอมรับว่าข้าวิตกกังวล หากไม่เข้าใจสถานการณ์ ข้าก็ไม่อาจเตรียมตัวรับมือตอบโต้อะไรล่วงหน้าได้ ข้าไม่รู้ว่าความลับของเจ้าคืออะไร คาถาสาปแช่งหรือยาพิษงั้นหรือ? ข้าถึงได้อยากรู้นัก ข้าคิดแค่ว่าถ้าข้ารู้ความลับของเจ้าก่อน อย่างน้อยข้าคงหาวิธีขับไล่เสด็จอาออกไปได้ทันทีที่เท้าของเขาก้าวเหยียบประตู…”
“เสี่ยวเข่อ เจ้าเชื่อใจข้าเถิด ข้าไม่เคยคิดสงสัยในตัวเจ้าเลย ข้าแค่อยากรู้ แค่หวาดกลัวว่าความลับของเจ้าจะทำให้ผู้คนกังวลใจ และเข้ามาใกล้ชิดกับเจ้าด้วยจุดประสงค์บางอย่าง คิดจะฆ่าข้าทั้งวันทั้งคืนยังทำให้ข้ากังวลใจน้อยกว่านี้ อย่างน้อยข้าก็ควบคุมเรื่องของตัวเองได้ แต่กับเจ้า ข้ากลัวว่าข้าจะทำอะไรไม่ได้เลย”
ฉินปู้เข่อปล่อยให้เขากระซิบข้างหู ขณะที่หัวใจพลันอ่อนยวบ
เดิมทีนางเพิ่งพบเข้ากับหมี่เฉินอี้ที่วังเมื่อไม่กี่วันก่อน มันคงเป็นความตั้งใจของเขา นางเพียงอาศัยอยู่ในตำหนักเงียบ ๆ เท่านั้น และคิดว่าหมี่เฉินอี้คงจะเลิกตามหาความลับของนางแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะเปลี่ยนไปใช้วิธีการอื่น
“เสี่ยวเข่อ ต่อให้เจ้าจะยังสงสัยในความจริงใจของข้า ก็ไม่จำเป็นจะต้องละทิ้งตำหนักไปเช่นนี้เลย ข้ากลัวว่าเขาจะยังรอคอยโอกาสอยู่ อย่างน้อยเจ้าก็ยังปลอดภัยหากอยู่ในตำหนัก”
หัวใจของฉินปู้เข่อรู้สึกกระสับกระส่ายมากขึ้น ระบบในมือของนางสามารถนำความสำเร็จและอันตรายมาสู่นางได้
หากนางออกจากตำหนักไป นางอาจจะถูกหมี่เฉินอี้ลักพาตัวไปก่อนที่จะหนีไปไกลได้ เมื่อเปรียบเทียบกับความไม่รู้จักกับหมี่เฉินอี้ อย่างน้อยหมี่โม่หรู่ก็เป็นคนที่นางรู้สึกคุ้นเคยมากกว่า
โลกของศิลปะการต่อสู้นั้นลึกซึ้งจนคาดการณ์ไม่ได้ คนทั่วไปไม่สามารถคาดเดาโลกอีกใบอย่างสุดซึ้งได้ นางไม่รู้และจะไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น คนที่ไร้ความสามารถขาดศิลปะป้องกันตัวไม่ควรต่อสู้เพียงลำพัง และสิ่งของที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในระบบก็มีผลข้างเคียงเช่นกัน
หากนางใช้พละกำลังของตนเองต่อสู้กับหมี่เฉินอี้ในต้าเซี่ย ก็เปรียบเหมือนต่อสู้กับเทพเจ้าแห่งสงคราม นางคงโดนฆ่าตายภายในวินาทีเดียว
จู่ ๆ ฉินปู้เข่อก็ระลึกได้ถึงเหตุการณ์ในคุกของคืนนั้น ลูกน้องของหมี่เฉินอี้มาหาเขา แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป ชายคนนั้นกลับทำร้ายคนของเขาเสียก่อน
มีเพียงคนเลือดเย็นและจิตใจโหดเหี้ยมเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตอยู่ในสนามรบได้ เขาเป็นวีรบุรุษของต้าเซี่ยที่คอยปกป้องครอบครัวและบ้านเกิดเมืองนอน แต่สำหรับนาง เขาเป็นเพียงศัตรูตัวฉกาจที่โหดเหี้ยมและกระหายเลือด
ร่างกายของฉินปู้เข่อสั่นเทาจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เสี่ยวเข่อ เจ้าเชื่อใจข้าสิ ข้ามีความสามารถพอที่จะปกป้องเจ้า” หมี่โม่หรู่ค่อย ๆ ลูบหลังคนที่ตื่นตระหนกอยู่ในอ้อมแขนของเขา
น้ำเสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นเคยนัก ราวกับว่านางเคยได้ยินเสียงของหมี่โม่หรู่ในความฝัน
น้ำตาของฉินปู้เข่อไหลรินลงมาอย่างยากที่จะควบคุม นางพยายามที่จะเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของหมี่โม่หรู่อย่างสุดความสามารถ โดยหวังว่านางจะร้องระบายความคับข้องใจและความหวาดกลัวออกมา
“หม่อมฉัน… หม่อมฉัน…” ฉินปู้เข่อขยับตัวเล็กน้อย และมองลอดช่องแขนของหมี่โม่หรู่ออกไป
ทันใดนั้น ใบหน้าของนางก็ซีดเผือด นางชี้ไปที่หน้าต่างและกรีดร้องออกมา “ผี!”