สำรับมนตราของชายาอ๋อง - บทที่ 95 ยาพิษที่เป็นยาถอนพิษ
ดวงตาของหมี่โม่หรู่เฉียบคม ก่อนจะรีบดึงมือของนางให้มาอยู่ด้านหลัง เมื่อมองจากหางตา เขาจึงเห็นร่องรอยการสัมผัสสีแดงติดอยู่บนหน้าต่าง ก่อนจะใช้เข็มเงินทิ่มเข้าไปที่ปลายนิ้ว หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจากโต๊ะ และเขวี้ยงไปที่หน้าต่าง
“โม่หรู่ น้องสะใภ้ ข้าเอง ซือต๋า” กลุ่มเงาสีแดงด้านนอกหน้าต่างรีบวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะเคาะประตูสองสามครั้งเพื่อรายงานตัวอย่างสุภาพ
“โม่หรู่ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะรบกวนเจ้าทั้งสองคน พี่ชายจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก หมิงเทาเยี่ยนกับรสชาติความเป็นตะวันตกรอให้ข้าออกไปพบปะทุกวัน ข้าป่วยมาสามวันแล้ว จะออกไปแบบนี้ก็ไม่ได้”
หมี่โม่หรู่ไม่ได้สนใจเสียงของคนที่อยู่ด้านนอก เพียงแต่ลดศีรษะลงและช่วยซับน้ำตาของนาง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ให้ซือต๋าเข้ามาดีหรือไม่?”
“ไม่!” ฉินปู้เข่อตะโกนไปที่ประตู “อย่าคิดว่าหม่อมฉันจะหายขุ่นเคืองท่าน หม่อมฉันยังไม่พอใจอยู่ เพราะท่านเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!”
แม้ว่าตอนนี้นางจะหายโกรธหมี่โม่หรู่แล้ว ทว่านางก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจคนอื่นอยู่ และทั้งสามคนนี้ไม่มีทางหนีพ้นหรอก!
หมี่โม่หรู่โอบกอดนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอนศีรษะซบลงไปในซอกคอของฉินปู้เข่อและยิ้มออกมา
แม้ว่าครั้งนี้หมี่ฉงจะไม่รู้เรื่องอะไร แต่ก็ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องอีกครั้ง
“น้องสะใภ้ ข้าคือถุงเงินถุงทองของโม่หรู่ ภัตตาคารจะไม่สามารถทำเงินได้มากหากข้าไม่ยอมออกไป อาหรู่ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ถึงได้เกลี้ยกล่อมนางไม่ได้ทั้งที่ผ่านมาสามวันแล้ว!”
ไม่ใช่แค่หมี่โม่หรู่เท่านั้นที่ว้าวุ่น แต่ซือต๋าเองก็ว้าวุ่นเช่นกัน
ในคืนนั้นที่เขากลับไป ขนของเขาดูหนาขึ้นเล็กน้อย แต่หลังจากผล็อยหลับไปหนึ่งคืน เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขากลับพบว่าร่างกายของตัวเองถูกปกคลุมไปด้วยขนยาวเฟื้อยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ราวกับลิงที่แสดงการละเล่นอยู่ริมถนน
อีกทั้งยังดูน่ารังเกียจกว่าลิง เพราะอย่างไรเสีย ลิงก็มีขนสีน้ำตาลอ่อน ในขณะที่ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยขนสีดำสนิท แม้แต่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยขนสีดำ เหลือไว้เพียงดวงตา จมูก และปากเท่านั้น
เดิมทีเขาคิดจะพึ่งพาทักษะทางการรักษาที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ ยาสักสองสามแผ่นจะช่วยยับยั้งขนที่งอกออกมาได้อย่างแน่นอน
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากผ่านไปสามวันสามคืนแล้ว เขาที่ดื่มยาหม้อไปสิบกว่าถ้วย ศึกษาตำราที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษครั้งแล้วครั้งเล่า กลับไม่สามารถหาสูตรยามารักษาได้
ดังนั้นเขาจึงเริ่มเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าน้องสะใภ้ผู้นี้สามารถฝึกคาถาอาคมได้
ตอนนี้เขาไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ในห้องอย่างใจเย็นได้อีกต่อไป คำสาปแช่งที่น่ากลัวทำให้หมี่โม่หรู่ผู้มีจิตใจเยือกเย็นกลับกลายเป็นคนโง่เขลาอย่างหมี่ฉงได้
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าฉินปู้เข่อจะตื่นขึ้นมาในวันนี้ ดังนั้นเขาจึงรีบห่อหุ้มร่างกายตนเองเอาไว้อย่างหนาแน่นและควบรถม้าออกมาแต่เช้าตรู่
“น้องสาว ถ้าในอนาคตภัตตาคารหมิงเทาเยี่ยนมีสินค้าออกมาใหม่ ข้าจะเชิญเจ้าไปลิ้มลองด้วย เจ้าจะได้กินตั้งแต่รอบแรก! น้องปู้เข่อ! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าจะไม่ร่วมมือกับหมี่โม่หรู่อีกแล้ว!”
ซือต๋าเคาะประตูอย่างสิ้นหวัง มันคงแย่มากหากมันเป็นคำสาปตามที่ว่าไว้ และคงจะเป็นสิ่งที่เลวทรามอย่างแท้จริง เขายังไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนี้ในอนาคตเขาคงไม่มีวันได้ย้ายออกมาจากตระกูลซือ
“ท่านอย่าได้คิดให้หมี่โม่หรู่ลองดีอีก!” ฉินปู้เข่อเปิดประตูออกมาด้วยเสียงดัง ‘เอี๊ยด’
ก้อนสีแดงเคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ใต้วงแขนของนางอย่างเร่งรีบ
“ไม่ต้องห่วง ข้าเอง พี่ชายไง ข้าจะรักษาสัญญาไปจนตาย” ซือต๋าเดินผ่านประตูเข้าไปขณะที่ยังห่อหุ้มร่างกายอย่างหนาแน่น ปรากฏให้เห็นแค่ดวงตาสองดวงเท่านั้น
ฉินปู้เข่อเดินวนดูรอบก้อนผ้าคลุมสีแดงนี้สองสามครั้ง แม้แต่ผ้าที่คลุมยังไม่ลืมที่จะเลือกสีฉูดฉาด
“โผล่หัวของท่านมาให้หม่อมฉันดูหน่อยสิเพคะ”
ผลข้างเคียงของน้ำตาลดำปลูกขนคือขนทุกส่วนจะดกขึ้น นางเพิ่งได้อ่านคู่มือตอนที่ซื้อมันมา แต่ยังไม่เคยเห็นผลลัพธ์จริงจากการใช้งาน ตั้งแต่ฮูหยินฉินได้รับผลข้างเคียงนี้ก็เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้อง และนางก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนฮูหยินฉินที่ตำหนักอีกเลย
ดังนั้นซือต๋าที่เป็นคนคุ้นเคยก็ไม่ลังเลที่จะเดินผ่านประตูเข้ามาและให้นางได้เชยชม
ซือต๋าบิดตัวไปมาและส่ายหัว “อย่าเลยจะดีกว่า”
ฉินปู้เข่อไม่ได้ฝืนใจคนตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองหมี่โม่หรู่ และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “หม่อมฉันหิวแล้ว พวกเราออกไปหาของอร่อยกินกันดีกว่าเพคะ”
“น้องสาว อย่าไป!” ซือต๋าจับแขนเสื้อของฉินปู้เข่อไว้ด้วยความตื่นตระหนก
มือคู่หนึ่งที่มีขนดกดำยาวทำให้ฉินปู้เข่อตกตะลึง จากนั้นนางจึงรีบถอยหลังกลับทันที “โอ้ พระเจ้า อย่าบอกนะว่าท่านมีขนดกดำแบบนี้อยู่ทั่วร่างกาย”
“อืม” ซือต๋าถอดผ้าคลุมสีแดงที่ห่อหุ้มอยู่ทั่วร่างกายออก
“อุวะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงหัวเราะที่ไม่ได้เสแสร้งดังก้องอยู่เหนือสวนเฉินอวี้ ก้องกังวาน… อยู่เป็นเวลานาน
หมี่โม่หรู่ผู้ซึ่งสงบสติอารมณ์และควบคุมตนเองอยู่เสมอ อดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปกลั้นเสียงหัวเราะ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาถึงกับเปลี่ยนไปเป็นสีแดง
“น้องสะใภ้ เจ้าจะหัวเราะเสร็จได้หรือยัง หัวเราะเสร็จแล้วก็คิดหาวิธีช่วยข้าด้วย” ซือต๋าดูเหมือนกับคนที่ยอมแพ้กับการรักษา เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้และมองดูคนสองคนที่กำลังหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนาน
ฉินปู้เข่อเดินไปข้างหน้าและถกแขนเสื้อของซือต๋าขึ้น อดไม่ได้ที่จะเอื้อมออกไปสัมผัสแขนของเขา “ขนยาว นุ่มดีนะเพคะ ฮูหยินฉินคงเป็นแบบนี้เหมือนกันสินะ แต่ถ้าไม่มองหน้าของนาง นางก็ยังน่ารักเหมือนกับตุ๊กตานะเพคะ”
“แค่ก” เมื่อหมี่โม่หรู่จ้องมองมือของนางที่สัมผัสเข้ากับแขนของซือต๋า ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
ซือต๋ายังคงมึนงงกับสายตาที่จ้องเขม็งของเขา ก่อนจะรีบดึงแขนเสื้อของตนเองลง “ข้าขอร้อง น้องสะใภ้ช่วยข้าที ช่วยข้าเอาขนพวกนี้ออกไปเสียที”
ฉินปู้เข่อสัมผัสขนยาวอีกสองสามครั้ง หลังจากสัมผัสจนพอใจแล้ว นางก็นั่งลงและยกยิ้ม ก่อนจะนำเอาน้ำตาลดำปลูกขนสามก้อนออกมาจากแขนเสื้อ “เอาล่ะ ดื่มสิ่งนี้พร้อมกับน้ำนะเพคะ”
“ฮ่า ฮ่า” ซือต๋าไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้ “น้องสะใภ้ หยุดหยอกล้อข้าเสียที ตราบใดที่หมี่โม่หรู่ไม่อยากรู้ ข้าก็คงไม่สงสัยเกี่ยวกับ ‘คาถาสาปแช่ง’ ของน้องสะใภ้หรอก”
“หม่อมฉันไม่ได้ล้อเล่นเพคะ นี่คือยาถอนพิษที่ช่วยกำจัดขน” ดวงตาของฉินปู้เข่อเปล่งประกายไปด้วยความขี้เล่น
“วิเศษมาก!” หมี่โม่หรู่อดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของนาง “ดูเหมือนว่าฮูหยินฉินจะไม่มียาถอนพิษ”
ซือต๋ายังคงจดจำมันได้ดี โดยปกติแล้ว หากคนทั่วไปกินอะไรที่ผิดสำแดงลงไป คนเราย่อมเขวี้ยงสิ่งของที่เป็นปัญหานั้นทิ้งไป และไม่กลับไปแตะต้องมันอีก
เหมือนกับฮูหยินฉินที่นางรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับน้ำตาลหลังจากดื่มมันเข้าไป ดังนั้นนางจึงสั่งให้สาวรับใช้ในตำหนักเทน้ำตาลทิ้งไปจนหมด
แม้แต่ตัวเขาเองยังคิดว่าฉินปู้เข่อกำลังล้อเล่นกับเขา
“น้ำตาลพวกนี้คือน้ำตาลปลูกขน หากครั้งแรกกินเข้าไปสามก้อน มันจะช่วยบรรเทาอาการผมร่วงและผมขาวได้เพคะ แต่หลังจากกินเข้าไปหกก้อน ขนจะขึ้นดกดำจนไม่มีช่องว่าง สุดท้ายหากท่านกินเข้าไปเก้าก้อนมันจะกลายเป็น ‘ยาถอนพิษ’ เพคะ”
ฉินปู้เข่อหยิบถ้วยชาขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะใส่น้ำตาลลงไปสามก้อนและคนจนละลายเข้ากัน “ท่านได้กินก้อนแรกในตอนที่ขโมยฮูหยินฉินมา จากนั้นหม่อมฉันก็ละลายอีกห้าก้อนและเทให้ท่านดื่ม เพียงสัดส่วนเท่านี้ก็ทำให้ขนของท่านดกดำขึ้นแล้วเพคะ”
ซือต๋ามองน้ำสีน้ำตาลดำสนิทที่วางอยู่ตรงหน้าของเขา ก่อนจะเหลือบตามองฉินปู้เข่อที และหมี่โม่หรู่ที
“ทำไมหรือเพคะ พอขโมยของกินไปแล้วไม่มีความสุขหรือเพคะ?” ฉินปู้เข่อหยอกล้อ
“มันก็ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เลวร้ายเสียจริง!” ซือต๋าจ้องมองถ้วยและดื่มมันไปจนหมด ทว่าเขายังคงหวาดกลัวอยู่ “มันไม่ใช่คำสาปใช่มั้ย? ประโยคสุดท้ายที่เจ้าบอกจะไม่เป็นจริงสินะ”
นางพูดประโยคสุดท้ายว่าอะไรนะ?! ฉินปู้เข่อเบิกตากว้างและคิดอย่างจริงจัง ตอนนั้นนางโกรธมาก จึงหยิบสุ่มหยิบของที่คิดว่าโหดเหี้ยมและตลกโปกฮาออกมาลงโทษ
“โอ้… นั่น ที่ว่าจะเปลี่ยนเป็นไม้จิ้มฟันหรือเพคะ” ทันใดนั้นฉินปู้เข่อก็ระลึกบางอย่างได้
“ใช่แล้ว” ซือต๋าไม่รู้ว่าตนเองกำลังหน้าแดงก่ำอยู่เพราะขนดกดำขึ้นปกคลุมใบหน้าอยู่เต็มไปหมด
ฉินปู้เข่อก้มหน้าลงอย่างกะทันหัน และแสดงออกด้วยท่าทีจริงจัง “บางที ‘คำสาป’ นั้นอาจจะยังมีอยู่เพคะ”
ก่อนที่ซือต๋าจะตอบสนองอะไรออกมา หมี่โม่หรู่ก็เหล่มองนางด้วยรอยยิ้มมุมปาก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอันตราย “เสี่ยวเข่อ ปล่อยให้ซือต๋ากลับไปได้แล้ว”
เขารู้ดีว่าพระชายาตัวน้อยกำลังพูดคุยประเด็นนี้อย่างไม่คิดอะไรมาก ทว่าตอนนี้นางกำลังคุยถึงปัญหานี้กับชายผู้อื่นด้วยใบหน้านิ่งเฉยต่อหน้าเขา
ทั้งสองคนไม่ได้มีท่าทางจริงจังมากนัก เมื่อคนหนึ่งพูดออกมา อีกคนก็พูดตอบกลับไป
“ไม่ ข้าจะไม่กลับจนกว่า ‘คำสาป’ ทั้งหมดจะหายไป” ท่าทางจริงของฉินปู้เข่อทำให้ซือต๋าตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขารู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับความชื่นมื่นทาง ‘เพศ’ ถึงสมองจนถึงกับคิดอะไรไม่ออก
“ถ้าเจ้าไม่กลับไปเสียตอนนี้ ข้าจะถือว่าเจ้าขาดงาน และถูกหักค่าจ้างตามกฎที่วางไว้” หมี่โม่หรู่เหลือบมองเขาเล็กน้อย ขณะที่คำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นตัวกำหนดชีวิตความอยู่รอดของซือต๋า
“ฮึ…” ซือต๋าส่งเสียงออกมาอย่างแปลกประหลาด ทันทีที่หมิงเทาเยี่ยนเปิดตัว บทลงโทษสำหรับการขาดงานที่เขาตั้งไว้นั้นรุนแรงมาก การขาดงานไปหนึ่งวันโดยไร้เหตุผลจะถูกหักค่าจ้างทั้งเดือน และเงินเดือนทั้งเดือนของเขาเชื่อมโยงกับการเปิดตัวของหมิงเทาเยี่ยน หมี่โม่หรู่ ชายผู้นี้โหดร้ายเกินไป
อีกด้านหนึ่งขู่กรรโชกจะหักเงินห้าหมื่นตำลึง ส่วนอีกด้านหนึ่งร่ายคำสาปจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง
การดื่มน้ำตาลดำทั้งสามครั้งนี้ล้วนเป็นการต้องคำสาป… ซือต๋าตัดสินใจหยิบผ้าทั้งหมดขึ้นมาคลุมร่างกายของเขาและเตรียมจะวิ่งหนีไป
แต่เมื่อก้าวออกไปนอกประตูได้เพียงสองก้าว ซือต๋าก็รีบวิ่งกลับมาด้วยท่าทางหวาดกลัว และกล่าวขึ้นว่า “ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีเล่า น้องสะใภ้มีห้องให้ข้าซ่อนตัวหรือไม่… ไม่ทันแล้ว สายเกินไป…”