สืบล่าหาผู้ใช้ศาสตร์ความตาย - ตอนที่ 1
หญิงสาวคนนั้นสวมฮู้ดสีขาวคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับนักเวท เดินอยู่ในเมืองอย่างเชื่องช้า
มองเห็นสีหน้าท่าทางได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก
จากที่ได้ยินมาจากร้านยาที่เธอเข้า ๆ ออก ๆ เป็นประจำ เธอมีใบหน้าที่ไม่ได้น่าจดจำอะไร
เป็นเรื่องแปลกที่จำหน้าเธอไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ขายยาชั้นดีให้แท้ ๆ
บางทีเธอคงจะใช้เวทมนตร์อะไรบางอย่าง เหมือนจะมีสิ่งที่เรียกว่าเครื่องรางลบตัวตน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้เวทอยู่ มีความเป็นไปได้สูงว่าหญิงสาวจะมีของที่ว่านั่น
“แม่หนู ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
ฉันออกมาจากตรอกพร้อมกับลูกน้องสองคน แล้วพยายามล้อมหญิงสาวไว้เพื่อพูดคุย
เธอหยุดชะงักด้วยความตกใจ แล้วมองดูอีกฝ่ายที่โผล่พรวดออกมา
เสื้อเกราะที่พวกเราสวมใส่มีตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรรามสลักอยู่ ซึ่งมันเป็นตัวระบุว่าเราเป็นใคร
“……ท่านอัศวิน?”
หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อย เธอคงไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงโดนหยุดเรียก
ฉันมองใบหน้าของหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ในฮู้ด
ตาแดง ผิวขาว ผมทอง ……สืบเชื้อสายมาจากชาวอาซูรางั้นเหรอ
คงอายุประมาณ 16 ปี หน้าตาก็สวย
ไม่มีทางที่ใบหน้าแบบนี้จะไม่มีใครจำได้ แผ่นไม้เล็ก ๆ ที่เธอคล้องคออยู่คงจะเป็นเครื่องรางที่พูดถึงเมื่อกี้
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอก แค่ไปที่ทำการกองอัศวินสักหน่อยได้ไหม”
ฉันพยายามยิ้มเต็มที่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันไม่ได้มีเจตนาเป็นศัตรู
“คุยเรื่องอะไรคะ”
หญิงสาวถาม ใบหน้าของเธอไม่ได้มีความประหลาดใจอะไร ดูเหมือนการติดต่อจะลุล่วงไปได้ด้วยดี
“เกี่ยวกับคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันกับเธอน่ะ เราไม่ได้คิดจะทำอะไรเขาหรอก กลับกัน ถ้าเขาเป็นคนที่เราคิดไว้ เราก็อยากปกป้องเขา”
“ปกป้อง? อาจารย์น่ะเหรอ”
เป็นลูกศิษย์หรอกเหรอเนี่ย นึกว่าเธออาจจะเป็นคนรับใช้เสียอีก
“อื้ม ก่อนอื่นเราอยากยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าอาจารย์ของเธอคือคนที่พวกเรากำลังตามหา แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินน่ะ เพราะงั้นช่วยมาที่กองอัศวินหน่อยได้ไหม”
“……เข้าใจแล้ว ขออย่าให้นานมากนะ”
หลังจากกล่าวคำขอร้องเล็กน้อย หญิงสาวก็เชื่อฟังแต่โดยดี
แบบนี้ก็ค่อยโล่งใจหน่อย เพราะฉันไม่อยากพาเธอมาโดยใช้กำลัง
“ได้เลย เราจะพยายามใช้เวลาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฉันชื่อคอนราต อย่างที่เห็น ฉันเป็นสมาชิกของกองอัศวินแห่งอาณาจักรราม ขอทราบชื่อของเธอหน่อยได้ไหม”
“ฉันชื่อลูน่า”
“ลูน่า……เป็นชื่อที่ดี งั้นเราไปกันเลยไหม”
ฉันให้ลูกน้องสองคนเดินประกบลูน่า แล้วมุ่งหน้าไปยังที่ทำการกองอัศวิน
──
กองอัศวินที่ฉันสังกัดตั้งอยู่บนถนนสายหลักของเมือง
แม้แต่ในบรรดาตึกรามบ้านช่องตามท้องถนน ที่ทำการกองอัศวินก็จัดว่าเป็นอาคารขนาดใหญ่ เนื่องจากหน้าที่หลักของกองอัศวินคือการรักษาความสงบเรียบร้อย จึงจำเป็นต้องแสดงตัวตนนั้นให้เห็น
หน้าที่ของกองอัศวินไม่ได้จำกัดเพียงแค่การปราบปรามอาชญากรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสืบสวนภายใน การสอดแนม และบางครั้งก็ครอบคลุมถึงการปราบปิศาจด้วย
แม้ว่าหน้าที่ของอัศวินจะไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก แต่ก็เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อครั้งที่พระราชายังทรงเป็นเจ้าชาย และเป็นหน่วยงานที่แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรทำงานเพื่อไพร่ฟ้าประชาชน
ถึงแม้ว่าแท้จริงแล้วงานนี้จะเป็นหน้าที่ของเหล่าทหารซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของอัศวิน และการที่พวกเราอัศวินต้องลงมือเองเช่นครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ซึ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูน่ามีความสำคัญถึงเพียงนั้น
ฉันพาลูน่าไปที่ห้องที่ดูดีที่สุดในกองอัศวิน และเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกกลัว ฉันจึงเป็นคนเดียวที่คุยกับเธอ ส่วนลูกน้องสองคนที่พามานั้น ฉันสั่งให้ไปเฝ้าประตูอยู่หน้าห้องเพื่อไม่ให้มีใครแอบฟังเรื่องที่เราคุยกัน
ฉันนั่งฝั่งตรงข้ามกับลูน่าโดยมีโต๊ะคั่นกลาง บนโต๊ะมีกาน้ำและถ้วยชาสองใบที่ฉันสั่งให้นำมาวางไว้ ชาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าทางเราใส่ใจ
ลูน่ายกถ้วยขึ้นมาใกล้ริมฝีปาก แล้วเพลิดเพลินกับกลิ่นชาครู่หนึ่งก่อนจะดื่ม ดูเธอไม่ได้เกร็งอะไร
“ก่อนอื่นช่วยถอดเครื่องรางนั้นออกก่อนได้หรือเปล่า คงมีพลังเวทบางอย่างทำงานอยู่ใช่ไหมล่ะ”
“นี่เหรอ ได้สิ”
ลูน่าถอดเครื่องรางออกจากคออย่างง่ายดายแล้วเก็บไว้ในเสื้อ เท่านี้ก็คงจะไม่ลืมเนื้อหาที่คุยกันแล้ว
“อย่างแรก ฉันขอถามประวัติความเป็นมาของเธอหน่อยได้ไหม เพราะจากที่เห็น ดูเหมือนเธอจะเป็นผู้รอดชีวิตชาวอาซูราน่ะ……”
ชาวอาซูราเป็นชนเผ่าที่กล่าวกันว่าครั้งหนึ่งเคยปกครองโลก ลักษณะเด่นคือมีพลังเวทที่แกร่งกล้ามาแต่กำเนิด และเหมาะกับการเป็นผู้ใช้เวทอย่างยิ่ง
ชาวอาซูราใช้พลังเวทอันทรงพลังในการปกครองโลกและปฏิบัติต่อชนเผ่าอื่นในฐานะทาส
แต่เนื่องจากเป็นชนกลุ่มน้อย จึงมีจำนวนคนไม่มาก ครั้งหนึ่ง บรรพบุรุษของเราที่ถูกทำให้เป็นทาสก็ได้ก่อกบฏขึ้นและเกิดเป็นสงครามครั้งใหญ่
ว่ากันว่าชาวอาซูราทุกคนเป็นผู้ใช้เวทที่เก่งกาจ แต่ก็พ่ายแพ้ต่อจำนวนทาสที่เหนือกว่าและล่มสลายไป หลังจากนั้นก็เหมือนว่าชาวอาซูราจะกลายเป็นที่รังเกียจและถูกกดขี่อย่างรุนแรง
แต่นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมานานกว่าพันปีแล้ว ในสมัยนั้น เวทมนตร์ถือเป็นสิ่งต้องห้าม แต่พอเข้าสู่ยุคปัจจุบัน ผู้ใช้เวทกลับเป็นตัวตนที่มีค่า
ถ้าจะให้พูดละก็ มีบางครั้งที่เหล่าผู้สืบสายเลือดของอาซูราที่มีลักษณะของบรรบุรุษในอดีตก็ถึงกับได้รับความสำคัญในฐานะสิ่งหายากเลยทีเดียว
“ตัวฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน ตอนที่โตพอจะรู้ความ ฉันก็อยู่ในสถานที่ค้ามนุษย์แล้ว”
อย่างนี้นี่เอง ลือกันว่าผู้ที่มีสายเลือดของชาวอาซูรานั้นหายากและถูกนำมาขายในราคาสูง แม้สมัยก่อนการค้ามนุษย์จะเป็นที่นิยม แต่ปัจจุบันมันถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายและจะได้รับโทษ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนที่ทำการค้าแบบลับ ๆ อยู่
“งั้นเหรอ ลำบากมากเลยสินะ”
อาศัยอยู่ในแหล่งค้ามนุษย์ ก็คงเจอเรื่องเลวร้ายมามากในวัยเด็กเป็นแน่
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ฉันถูกปฏิบัติในฐานะสินค้าที่มีค่าน่ะ แถมสอนการอ่านเขียนให้ด้วย หลังจากอาจารย์ซื้อตัวไป ฉันลำบากกว่าด้วยซ้ำ เพราะอาจารย์เป็นคนที่ไม่ทำอะไรเลยนอกจากวิจัย คฤหาสน์ที่ถูกพาไปก็สกปรกมาก จนฉันต้องเริ่มตั้งแต่ทำความสะอาด เป็นช่วงที่ลำบากที่สุดเลยละ”
ลูน่าตอบด้วยน้ำเสียงสดใส
ถึงจะต่างจากที่คิดไว้เล็กน้อย แต่ฉันก็ยังถามคำถามต่อไป
“งั้น ช่วยบอกชื่ออาจารย์คนนั้นของเธอหน่อยได้ไหม”
“ชื่อคานน่ะ”
คาน ไม่เคยได้ยินชื่อนี้แฮะ นึกว่าจะเป็นจอมเวทโลแกนเสียอีก หรือว่าจะเป็นชื่อปลอม
โลแกนเป็นนักเวทในตำนานที่ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่เรื่องนี้ต้องมีนักเวทระดับสูงเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
“พวกเราคิดว่าคานเป็นนักเวท เราคิดถูกใช่ไหม”
“ถูก”
“เขาเก่งมากไหมในฐานะนักเวท”
“จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน อาจารย์ต่างจากนักเวทปกติอยู่นิดหน่อย มาเทียบกันง่าย ๆ ไม่ได้หรอก”
“ต่างกันยังไง”
“เวทมนตร์ที่เขาวิจัยอยู่มันค่อนข้างพิเศษ.…..ฉันไม่ค่อยอยากพูดเท่าไหรน่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะเก็บเป็นความลับ เพราะฉันเป็นอัศวินที่ปากหนักที่สุดในอาณาจักรนี้”
ฉันพูดเช่นนั้นพร้อมขยิบตาข้างหนึ่งแล้วยิ้ม แล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะเชื่อใจฉัน
ลูน่าครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้วจึงพูดว่า
“…..เข้าใจแล้ว เขากำลังวิจัยศาสตร์ความตายอยู่ น่าขนลุกใช่ไหมล่ะ ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะ ถ้าคนอื่นรู้มันจะไม่ดี”
ศาสตร์ความตาย ศาสตร์เวทที่ใช้ดูอนาคตหรืออดีตผ่านผู้ล่วงลับ ว่ากันว่าสามารถมอบชีวิตชั่วคราวให้แก่ซากศพ รวมถึงควบคุมกูลและโครงกระดูกได้ แต่ปัจจุบันไม่มีผู้ที่เรียนศาสตร์นี้ จึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
แต่ถึงยังไง นักเวทที่ฉันตามหาอยู่ก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์ความตาย
“อย่างนี้นี่เอง ฉันสาบานว่าจะไม่เอาไปบอกคนอื่นอย่างแน่นอน
แล้วเอ่อ……เขาสามารถใช้ศาสตร์ความตายได้ในระดับไหนเหรอ อย่างเช่นควบคุมซากศพได้หลายตัวพร้อมกัน แบบนั้นทำได้หรือเปล่า”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะฉันขอให้เขาไม่ใช้กูลเพราะมันน่าขนลุก ที่บ้านเลยมีโครงกระดูกหลายตัวแทน แบบว่าเหมือนคนรับใช้น่ะ”
โครงกระดูกเป็นคนรับใช้……โครงกระดูกทำอาหารกับความสะอาดด้วยเหรอเนี่ย
เป็นภาพที่ค่อนข้างแปลกประหลาด ถ้ามีบ้านแบบนั้นอยู่ใกล้ ๆ ฉันคงย้ายบ้านทันที
ดูเหมือนว่าการรับรู้ของลูน่าจะผิดแผกจากความรู้สึกของคนทั่วไปมากทีเดียว เอาเถอะ ถ้าคิดถึงสภาพแวดล้อมที่เธอโตมามันก็ช่วยไม่ได้
“ฟังดูเป็นผู้ใช้วิชาระดับสูงทีเดียว……งั้นพอจะเล่าเรื่องคานให้ฟังหน่อยได้ไหม ฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง และถ้าเธออาศัยอยู่ด้วยกันมาตลอด เธอจะเล่าเรื่องของเธอเองก็ได้”
“ถ้าเรื่องของโอเคละก็ ฉันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
ด้วยเหตุนี้ ลูน่าจึงเริ่มเล่าเรื่อง