สืบล่าหาผู้ใช้ศาสตร์ความตาย - ตอนที่ 15
ฉันเกิดมาในฐานะราชโอรสองค์โตของราชวงศ์
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงถูกกำหนดให้เป็นกษัตริย์โดยกำเนิด
แต่อาณาจักรของเราไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น และการเป็นเจ้าชายก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้เช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะทำให้อาณาจักรนี้ยิ่งใหญ่ขึ้น!”
ฉันตัดสินใจว่าจะเป็นวีรบุรุษเหมือนดังที่ปรากฏในเทพนิยายและตำนาน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ราชา
ฉันจะเป็นคนที่ถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ให้ผู้คนเล่าขานกันไปชั่วลูกชั่วหลาน นั่นคือความฝันของฉัน
“เทพนิยายกับตำนานมันเป็นเรื่องแต่ง ท่านเป็นอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกนะคะ”
ลูเซียน่าซึ่งเป็นผู้รับใช้ส่วนตัวของฉันเป็นพวกยึดหลักความเป็นจริง และมักจะล้อเลียนฉันแบบนี้เสมอ
ฉันคิดว่าเธอเป็นคนไร้ความฝัน มันถูกกำหนดอยู่แล้วว่าฉันต้องเป็นกษัตริย์ เพราะงั้นถ้าไม่ก้าวข้ามสิ่งนั้นไป ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
แต่คนส่วนใหญ่มีทัศนคติแบบเดียวกับลูเซียน่า จึงไม่มีใครจริงจังกับสิ่งที่ฉันพูด
“ถ้าเป็นท่านรัถละก็ ต้องทำได้แน่นอนครับ!”
คิเลียนซึ่งเป็นผู้รับใช้ส่วนตัวอีกคนกล่าวยกย่องสรรเสริญ
แทนที่จะเรียกหมอนี่ว่าเป็นคนที่เข้าใจ เรียกว่าเป็นคนที่เทิดทูนบูชาฉันอย่างหน้ามืดตามัวจะถูกกว่า คำพูดของเขาก็แค่ผ่านหูฉันไปอย่างไร้ความหมาย
แค่ลมปาก แน่นอนว่าใครก็พูดได้ ฉันเลยทุ่มเทให้กับวิชาดาบและวิชาการ ถ้าฉันไม่อยู่ในจุดสูงสุดของทุกด้าน ก็จะกลายเป็นตำนานไม่ได้
──
เมื่อเติบโตขึ้น ฉันก็กลายเป็นผู้เก่งกล้าที่สุดในอาณาจักรทั้งในวิชาดาบและวิชาการ จึงได้ก่อตั้ง “กองอัศวินที่ 8” ขึ้นมา
แหม ก็ฉันเป็นเจ้าชายที่ไม่ได้มีอำนาจอะไรเลยนี่นา เลยถือวิสาสะเริ่มกิจกรรมนี้ขึ้นมาเองก็เท่านั้น
ฉันให้ลูเซียน่ากับคิเลียนมาเป็นสมาชิก แล้วก็แก้ไขความไม่ถูกต้องและความเดือดร้อนของประชาชนในราชอาณาจักรไปทีละเรื่อง และบางครั้งก็ไปปราบปิศาจด้วย
ไม่ใช่ว่าฉันไม่สนใจคนรอบข้าง ตอนแรกฉันก็เริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ จากนั้นก็สะสมผลงาน แล้วทำให้คนรอบข้างยอมรับ
แต่สิ่งที่อยู่ตรงนั้น มันคือความจริง แม้ผู้คนมากมายจะหันมาสรรเสริญฉัน แต่ฉันก็รู้ว่าโดยพื้นฐานแล้ว มันไม่มีอะไรได้รับการแก้ไขเลย นี่ไม่ใช่ปัญหาแค่ของอาณาจักรนี้ แต่มันเป็นปัญหาของโลก ดังนั้นถึงแม้จะแก้ไขปัญหาไปทีละเรื่อง โลกก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี ฉันไม่ได้มีพลังอะไรเลย
ไม่มีทางที่โลกจะสร้างจากสิ่งสวยงามเพียงอย่างเดียว ในฐานะเจ้าชายรัชทายาท ฉันรับรู้เรื่องนี้ได้
ตอนนั้นเองที่ฉันได้พบกับลูน่า เธอเป็นหญิงสาวที่อายุไล่เลี่ยกับฉัน และมีความเกี่ยวข้องกับคดีคดีหนึ่ง เธอมีชีวิตที่เดินบนเส้นทางที่อับโชค และตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้ใช้เวท
ตอนที่เราดื่มชากันที่ร้านในเมือง ลูน่าพูดกับฉันว่า
“ถ้าโลกรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ก็คงดีเนอะ”
นั่นเป็นไปไม่ได้ จะรวมโลกให้เป็นหนึ่งเดียวได้ยังไง มันเป็นเรื่องยากทั้งทางการทหารและการเมือง ถึงต่อให้รวมเข้ากันโดยใช้กำลังทางทหาร ก็ไม่รู้ว่าต้องบังคับให้ประชาชนเสียสละแค่ไหน สงครามเป็นหนทางที่เลวร้ายที่สุด
“เสียสละ? การเสียสละน่ะเกิดขึ้นทุกวัน อย่างเช่นถ้ามีประเทศใดประเทศหนึ่งยอมรับการค้ามนุษย์ ก็จะมีเด็กถูกลักพาตัวทุกวันเลยนะรู้ไหม เพราะถ้าขายในประเทศนั้น มันก็ทำเงินได้ยังไงล่ะ แล้วเด็กที่ถูกลักพาตัวไป ก็ต้องประสบชะตากรรมที่ไร้เหตุผล ฉันเองก็อาจจะเป็นแบบนั้น นั่นคือการเสียสละไม่ใช่หรือไง
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีแค่เรื่องค้ามนุษย์หรอกนะ พอมันมีหลาย ๆ ประเทศ แล้วทุกประเทศต่างก็ไปกันคนละทางสองทาง โลกก็มีแต่จะยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะประเทศที่โกงเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ พอเป็นแบบนั้น ทุกคนก็จะอยากได้ประโยชน์ แล้วก็จะไม่มีใครทำในสิ่งที่ถูกต้องอีกต่อไป ไม่มีใครตั้งเป้าในอุดมคติอะไรนั่นที่รัถพูดถึงหรอกนะ
ถ้าอยากทำในสิ่งที่สวยงาม ทุกคนก็ต้องทำพร้อมกัน ไม่งั้นมันก็ไม่มีความหมาย ฉันเลยอยากให้โลกนี้กลายเป็นหนึ่งเดียว มันอาจจะมีการเสียสละเกิดขึ้นมากมาย แต่การเสียสละที่เกิดขึ้นทุกวันก็จะลดลง การเสียสละที่ยังคงสั่งสมอยู่ตอนนี้น่ะนะ
แล้วอีกอย่าง ถ้าโลกนี้รวมเป็นหนึ่งเดียว ชากับขนมก็จะถูกลงด้วยใช่ไหมล่ะ ทุกคนก็จะมีความสุขได้”
ลูน่าพูดเช่นนั้นแล้วหัวเราะ
ตอนที่ได้ยินสิ่งนี้ ฉันก็รู้สึกมองเห็นถึงสิ่งที่ควรทำ
ทั้งที่ฉันตั้งเป้าว่าจะเป็นวีรบุรุษแท้ ๆ แต่วิสัยทัศน์กลับแคบลงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ไม่ใช่แก้ไขจากสิ่งเล็ก แต่ต้องแก้ไขจากสิ่งใหญ่
แก้ไขทั้งโลก ไม่ใช่แค่อาณาจักรราม นี่ต่างหากคือสิ่งที่วีรบุรุษควรทำ
“เป็นอย่างที่เธอพูดเลย ลูน่า! ฉันคิดผิดมาตลอด! ฉันต้องมีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้!”
ฉันจับมือลูน่าแล้วพูดด้วยความกระตือรือร้น
แต่สายตาของลูน่าช่างเย็นชา
“พูดอะไรของรัถน่ะ ทำอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอันก่อนเถอะถึงค่อยพูดเรื่องแบบนั้น”
“เป็นชิ้นเป็นอัน? ไม่สิ ฉันเก่งและน่าเคารพอยู่แล้วต่างหาก……”
ดูเหมือนว่าในสายตาของลูน่า ฉันจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
“เก่งและน่าเคารพที่ว่านี่น่าเก่งและเคารพอะไร รัถทำงานเหรอ หาเงินเองได้เหรอ ใครตัดสินเหรอว่ารัถน่าเคารพ?”
แน่นอนว่าฉันไม่เคยหาเงิน ไม่เคยคิดเรื่องพวกนั้นเลยด้วย ที่ฉันได้รับความเคารพก็เพราะมันถูกกำหนดมาตั้งแต่ตอนที่ฉันเกิด ฉันเลยพูดได้แค่นั้น
แต่ลูน่าต่างออกไป เธอเป็นสินค้าของนายหน้าค้ามนุษย์ตั้งแต่จำความได้
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังใช้ชีวิตโดยไม่ก้มหน้า เธอไม่พูดในแง่ลบเลยแม้แต่น้อย
จัดการคฤหาสน์หลังใหญ่ให้สะอาดเอี่ยม ทำงานบ้าน เก็บสมุนไพร ปรุงยา ออกไปซื้อของ เรียนเวทมนตร์ และทั้งหมดนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ คงแทบไม่มีเวลาพักหายใจ เป็นคนขยันทำงานมากที่สุดเท่าที่ฉันรู้จัก
ถ้าถามว่าใครเก่งกว่ากันระหว่างฉันกับลูน่า ลูน่าก็คงเก่งกว่า
“เข้าใจแล้ว ฉันไม่ได้เก่งจริง ๆ นั่นแหละ”
ฉันหัวเราะ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้เก่งอะไร
“แต่คอยดูนะ ฉันจะเก่งที่สุดในโลกให้ได้”
ฉันทำให้โลกเป็นหนึ่งเดียวและเกิดความสงบสุข นั่นคงเป็นสิ่งที่วีรบุรุษเท่านั้นที่ทำได้ เป็นสิ่งที่ฉันเท่านั้นที่ทำได้
ลูน่ามองฉันด้วยสายตาที่ไม่เชื่อมั่น
“รัถนี่เก่งแต่ปากที่สุดในโลกจริง ๆ เลยเนอะ”
“มันแน่อยู่แล้ว อย่างแรกก็ต้องพูดก่อนถึงจะเริ่มทำได้ ถ้าประกาศให้ทุกคนรู้แล้ว จะไม่ทำก็ไม่ได้ ถ้าเงียบไปก็จะไม่มีใครเข้าใจ ที่คนเขาไม่พูดก็เพราะเขากลัวจะล้มเหลว ที่คนเขาพยายามทำโดยไม่บอกก็เพราะเขากลัวจะอับอาย แต่ฉันไม่กลัวที่จะล้มเหลวหรืออับอายเพราะงั้นฉันถึงเริ่มจากปากก่อนยังไงล่ะ”
“นายนี่เก่งแต่ปากจริง ๆ แฮะ”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ลูน่าก็หัวเราะ
“ไม่เชื่อเหรอ”
“เปล่า ฉันเชื่อ เพราะคำว่าไม่เชื่อไม่ได้ทำให้เกิดอะไรขึ้นเลย รัถกำลังพยายามทำอะไรสักอย่าง ซึ่งฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นเรื่องที่จะทำได้หรือไม่ได้ แต่ว่า ถ้าการที่ฉันเชื่อมันจะเป็นพลังให้รัถได้ ฉันก็จะเชื่อ เวทมนตร์เองมันก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ เพราะเราเชื่อ มันถึงได้มีเวทมนตร์ก็ยังไงล่ะ เวทมนตร์จะสร้างปาฏิหาริย์
ถึงตอนนี้ฉันจะเป็นลูกศิษย์ของผู้ใช้เวท แต่สักวันฉันก็จะเป็นจอมเวทที่ยิ่งใหญ่ เพราะงั้นถ้าฉันเชื่อ สิ่งที่รัถอยากทำก็จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน”
ฉันมักจะพูดเรื่องใหญ่ ๆ อยู่เสมอ เพราะฉันคิดว่าคำพูดของฉันมีพลัง
แต่ฉันไม่เคยรู้สึกว่าคำพูดของคนอื่นมีพลังมาก่อน เพราะบรรดาคนที่อยู่รอบตัวฉันมักจะพูดแค่ว่า “ทำอะไรได้” ไม่ได้พูดว่า “อยากทำอะไร” และมีแง่ลบกับสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้ ฉันเลยไม่รู้สึกว่าคำพูดแบบนั้นมันมีพลังอะไร
แต่คำพูดของลูน่านั้นมีพลัง ฉันรู้สึกถึงมันได้
เธอเก่งและน่าเคารพจริง ๆ ไม่ใช่เคารพในความสูงต่ำของฐานะ
เพราะงั้นฉันเลยอยากอยู่กับเธอตลอดไป ฉันอยากให้เธออยู่ข้าง ๆ ฉัน
จะผีดูดเลือดหรือราชาอมตะก็ช่าง มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ถ้าอยากได้เลือด มากเท่าไรฉันก็จะให้ แต่ฉันจะไม่ยอมให้เธอดื่มเลือดหรืออะไรของคนอื่นแม้แต่หยดเดียว
ฉันอยากให้มีแค่เลือดของฉันที่ไหลเวียนอยู่ในตัวลูน่า
“ขอโทษนะรัถ เพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”
ฉันได้ยินเสียงของลูน่าไม่ได้ชัดเจน
ผู้แปล: คำว่าเก่ง น่าเคารพ (ปาก)เก่งในบทนี้ ต้นฉบับใช้คำว่า偉いซึ่งแปลได้ทั้งยิ่งใหญ่/เป็นใหญ่ (คนใหญ่คนโต) หรือในแง่ของเก่ง/น่าเคารพยกย่องก็ได้ แต่ในบริบทไทยผู้แปลก็หาคำเดี่ยว ๆ ที่ใช้ในทุกความหมายไม่ได้