สืบล่าหาผู้ใช้ศาสตร์ความตาย - ตอนที่ 19
ในที่สุดลูน่าก็หลุดพ้นจากความกระหายเลือด
เธอสามารถลดการเผาผลาญพลังเวทลงได้จนถึงขีดสุด และยังสามารถรวบรวมพลังเวทจากบริเวณโดยรอบได้ราวกับหายใจเข้าออก
แม้วันเวลาจะผ่านไปนาน 40 ปี แต่รูปลักษณ์ภายนอกของลูน่าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“ทีนี้จะทำอะไรต่อดีล่ะ” ลูน่าครุ่นคิด
เธอบรรลุเป้าหมายแล้ว แต่ยังไม่มีเป้าหมายต่อจากนั้น ถ้าจะให้พูดก็คงเป็นการเอาชนะโลแกน
แต่ในช่วงหลังนี้โลแกนคนนั้นก็แทบไม่ได้ต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด
แม้รูปลักษณ์ภายนอกของโลแกนจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เวลาที่เขาใช้สอนลูน่ากลับน้อยลงทุกที ในขณะเดียวกัน เวลาทำสมาธิก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น ทุกวันนี้เขาใช้เวลาเกือบทั้งวันหมดไปกับการทำสมาธิ
“อีกไม่นานแล้ว”
เป็นคำพูดติดปากของโลแกนในช่วงนี้
แม้แต่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังต้องเผชิญกับจุดจบที่ใกล้เข้ามา
“อาจารย์ใหญ่ ไม่อยากมีชีวิตนิรันดร์เหรอ”
ลูน่าถามโลแกน อาจารย์ใหญ่คือคำที่ลูน่าใช้เรียกโลแกน เพราะเขาเป็นอาจารย์ของคานซึ่งเป็นอาจารย์ของฉัน เลยเรียกว่าอาจารย์ใหญ่
แม้ลูน่าจะไม่เคยใช้หรือทดลอง แต่เธอสามารถเปลี่ยนคนที่เธอดูดเลือดให้กลายเป็นบริวารได้
ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาจะกลายเป็นผีดูดเลือด แต่ถ้าเป็นชาวอาซูราอย่างโลแกนก็จะกลายเป็นราชาอมตะ
โลแกนตอบว่า
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าอายุเท่าไร 120 เชียวนะ เป็นมนุษย์ที่มีอายุยืนที่สุด ข้าเป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน และจะครองสถิติผู้ที่มีอายุยืนที่สุดในโลกด้วย เท่ระเบิด
แต่ถ้ากลายเป็นอันเดด สถิติพวกนั้นก็จะไร้ค่า ทั้งฉายาจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานและผู้ที่มีอายุยืนที่สุดในโลกก็จะกลายเป็นการกระทำที่ขี้โกงแทน เพราะฉะนั้นอย่าได้ทำอะไรที่ไม่เข้าเรื่อง”
โลแกนหัวเราะเห็นฟัน
“นั่นสินะคะ อาจารย์ใหญ่เท่มาก”
ลูน่าคิดเช่นนั้นจากใจ โลแกนเป็นคนที่มีชีวิตเหลือจะเชื่อ แต่เขามีความเชื่อในการใช้ชีวิตนั้น
เขาไม่ให้ค่ากับการเลิกเป็นมนุษย์เหมือนคาน และตั้งเป้าจะเป็นที่สุดในฐานะมนุษย์ นั่นเป็นวิถีชีวิตที่น่านับถือ
ระหว่างนั้นเอง โลแกนก็หยุดนิ่งไปในขณะทำสมาธิ
ลูน่าสังเกตว่าไม่มีการไหลเวียนของพลังเวทในตัวโลแกนแล้ว
“ฉันเอาชนะอาจารย์ใหญ่ไม่ได้จนถึงวันสุดท้ายเลยสินะคะ”
ลูน่าพูดเช่นนั้นแล้วออกจากบานูกูตที่พักของโลแกนไป
──
ลูน่าออกมาสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี เธอจะอยู่ที่บานูกูตก็ได้ แต่สุดท้ายเธอก็เหมือนจะทนอยู่คนเดียวไม่ได้
เป้าหมายที่มุ่งหน้าไปคือบ้านเกิดสำหรับลูน่า คฤหาสน์ของนายหน้าค้ามนุษย์เมสัน
ถ้าเมสันกับมอลลี่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงอายุประมาณ 80 อาจจะกำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงวาระสุดท้าย
โลกมนุษย์ที่เธอจากมานานนั้นมีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ลูน่าใช้เครื่องรางซึ่งเป็นของต่างหน้าที่คานทิ้งไว้ แล้วเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้สะดุดตา แต่เมืองก็เปลี่ยนไปมากจนน่าตกใจ
โลกที่ลูน่ารู้จักเป็นโลกที่มีแต่ประเทศเล็ก ๆ ตั้งกระจัดกระจาย แต่ปัจจุบันหลายประเทศรวมตัวกันเป็นประเทศเดียวแล้ว
ชื่อประเทศนั้นก็คืออาณาจักรราม โลกกำลังรวมตัวกันอย่างรวดเร็วโดยกษัตริย์รามนาถผู้ถูกขนานนามว่าเป็นราชาแห่งนักรบ
ประเทศที่คฤหาสน์ของเมสันตั้งอยู่ก็ถูกอาณาจักรรามพิชิต และการค้ามนุษย์ก็ถูกสั่งห้ามเช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากหลายประเทศรวมตัวกันเป็นประเทศขนาดใหญ่ การกระจายสินค้าจึงเฟื่องฟู และจำนวนสินค้าที่วางจำหน่ายในร้านค้าก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“รัถพยายามอย่างหนักเลยนะเนี่ย”
ลูน่าพึมพำเมื่อเห็นตราประจำอาณาจักรรามที่คุ้นตาติดอยู่ตามท้องถนน
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของเมสัน
──
คฤหาสน์ของเมสันดูเก่าสมกับที่อยู่มานาน แต่ก็ยังคงได้รับการดูแลดีอย่างที่คาดไว้
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ภายในบริเวณคฤหาสน์จึงมีเด็ก ๆ อยู่
(ไม่ใช่ว่าการค้ามนุษย์ถูกสั่งห้ามแล้วเหรอ)
ลูน่าสงสัยจึงเคาะประตูคฤหาสน์
คนที่ออกมาเปิดประตูเป็นหญิงที่เลยวัยกลางคนแต่งตัวเรียบร้อย แต่พอเห็นหน้าลูน่าเธอก็ตกใจ
“ลูน่า!? เอ๊ะ หลานของลูน่า?”
ลูน่าคุ้นหน้าผู้หญิงคนนั้น เธอจ้องหน้าผู้หญิงคนนั้นแล้วพยายามนึก
“หรือว่าจะเป็นโดโรธี?”
เธอคือเพื่อนคนแรกของลูน่า เด็กผู้หญิงที่เคยอยู่ด้วยกันที่บ้านนายหน้าค้ามนุษย์
“อ้าว ใช่ลูน่าจริง ๆ เหรอ ทำไมถึงยังสาวขนาดนี้ล่ะ”
“มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นน่ะ”
แม้จะดูไม่เหมือนรูปลักษณ์ของลูน่าที่จะสามารถทำสำเร็จได้ด้วยอะไรหลายอย่าง แต่โดโรธีก็ยิ้ม
“อะไรหลายอย่าง นั่นสินะ ก็ผู้ใช้เวทซื้อเธอไปนี่เนอะ คงมีอะไรหลายอย่างจริง ๆ นั่นแหละนะ”
เหมือนโดโรธีจะคาดเดาไปเองถึงสถานการณ์ของลูน่าในตอนนี้หลังจากที่เห็นลูน่าสวมเสื้อคลุมนักเวทสีขาว เธอดูจะประเมินพลังของเวทมนตร์ไว้ค่อนข้างสูง แต่ก็เข้าทางลูน่าพอดี ลูน่าจึงปล่อยเรื่องนั้นให้เลยตามเลย
“ที่สำคัญกว่า ทำไมโดโรธีถึงอยู่ที่นี่ล่ะ ทั้งที่เกลียดคฤหาสน์หลังนี้ขนาดนั้น”
ตอนที่โดโรธีออกจากบ้านนายหน้าค้ามนุษย์ เธอดูดีใจออกนอกหน้า และยังบอกด้วยว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว
“ฉันก็มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นเหมือนกัน หลายอย่างเลยแหละ เข้าไปข้างในกันเถอะ เดี๋ยวฉันเอาชามาให้”
เมื่อลูน่าได้รับเชิญจากโดโรธี เธอก็เข้าไปในคฤหาสน์
ด้านในดูเก่าอย่างที่คิด แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนกับในความทรงจำของลูน่า เธอจึงรู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปในอดีต
ที่ที่โดโรธีพาไป คือห้องรับแขกที่เมสันเคยใช้เจรจาธุรกิจกับขุนนางและคนอื่น ๆ
โดโรธียกชามาเสิร์ฟบนโต๊ะที่ในสมัยนั้นมันเป็นเครื่องเรือนราคาแพง แต่ตอนนี้มันกลายเป็นของโบราณโดยสมบูรณ์
“โดโรธี ชาเป็นของชั้นสูงนี่ จะดีเหรอ ที่เอาของแบบนั้นมาเสิร์ฟให้ฉัน”
ชาที่ลูน่ารู้จักเป็นของราคาแพง ดูไม่ใช่ราคาที่คนธรรมดาทั่วไปจะซื้อมาดื่มได้
“พูดอะไรของเธอน่ะลูน่า ชามันไม่ใช่ของแพงอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”
โดโรธีหัวเราะ
“แต่เมื่อก่อนมันเป็นของชั้นสูงไม่ใช่เหรอ”
“นั่นมันนานมาแล้วนะ ตั้งแต่ที่ราชาแห่งนักรบขยายอาณาเขตไปทางตะวันออกไกล ราคาชาก็ลดลงเยอะเลยไม่ใช่หรือไง ที่ผ่านมาเธอไปอยู่ไหนมาเนี่ย”
โดโรธีทำหน้าแปลกใจ
“อืมก็นะ ฉันอยู่ในชนบทที่แทบไม่มีคนอาศัยอยู่จนถึงเมื่อไม่นานมานี้เอง เพราะงั้นเลยไม่รู้เรื่องอะไรในช่วงนี้เลยน่ะ”
“งั้นเหรอ ผู้ใช้เวทนี่ลำบากจังเนอะ”
ดูเหมือนโดโรธีจะตีความไปเองอีกแล้ว แต่คราวนี้กลับถูกซะส่วนใหญ่ ฉันลำบากจริง ๆ นั่นแหละ
“แล้วทำไมโดโรธีถึงกลับมาที่คฤหาสน์หลังนี้ล่ะ”
“อ๋อเรื่องนั้นน่ะเหรอ นั่นสินะ ตอนที่ฉันออกจากคฤหาสน์หลังนี้ ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่กลับมาอีกเหมือนกันนั่นแหละ ที่จริง เจ้านายที่ซื้อฉันไปใจดีกว่ามอลลี่มากทีเดียว
ที่นั่นฉันได้รับคำชมเพียบเลยละ ทั้งที่ในคฤหาสน์หลังนี้ฉันไม่เคยได้รับคำชมเลยแม้แต่ครั้งเดียวแท้ ๆ แต่ที่นั่นบอกว่า ‘โดโรธีสุดยอด ทำได้ทุกอย่างเลย’ ฉันดีใจมาก เลยทำงานอย่างสุดความสามารถ
แล้วตำแหน่งของฉันก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ฉันได้รับมอบหมายให้อบรมสั่งสอนพวกเด็ก ๆ ที่เข้ามาทีหลังด้วยนะ แต่เด็กพวกนั้นทำงานไม่เป็นเลยสักนิด ท่าทางคนขายจะไม่ได้สอนอะไรมามากมาย ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ ฉันเลยเผลอต่อยไปด้วยความโมโหเหมือนมอลลี่ แล้วสอนจนกว่าจะทำได้น่ะ”
โดโรธีจิบชาเบา ๆ แล้วก็ยิ้มราวกับหวนคิดถึงอดีต
“นั่นก็เลยทำให้คนอย่างฉันมีค่าขึ้นมา เพราะฉันได้รับการฝึกฝนจากมอลลี่มาอย่างเต็มที่ยังไงล่ะ ตัวหนังสือฉันอ่านออก คำนวณง่าย ๆ ฉันก็ทำได้ เลยได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญ ๆ จนสุดท้ายก็ได้รับฐานะตำแหน่งที่ดี ฉันแต่งงานแล้วนะ ตอนนี้มีหลานแล้วด้วย”
ลูน่าพบตัวเองอีกคนในตัวของโดโรธี เธอคิดว่าหากตัวเองไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากชาวอาซูรา ก็อาจมีชีวิตที่มีความสุขเหมือนกับผู้หญิงตรงหน้าก็เป็นได้
โดโรธีไม่ได้สังเกตเห็นความรู้สึกนั้นของลูน่าและยังคงพูดต่อไป
“แล้วในที่สุดฉันก็เข้าใจ ว่าทำไมฉันถึงมีความสุขได้ มันเป็นเพราะมอลลี่สอนฉันอย่างสุดความสามารถยังไงล่ะ
ฉันก็เพิ่งเข้าใจหลังจากที่สอนคนอื่นไปแล้วเหมือนกัน ว่าการสอนคนอื่นนั้นมันยาก ยากจริง ๆ ต่อให้เด็กคนนั้นทำไม่ได้ ก็ใช่ว่าฉันจะเดือดร้อนสักหน่อย ปล่อยไว้งั้นยังจะสบายกว่าอีก
ถ้าไม่มีความรักก็ทำไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีความรักน่ะนะ ถึงมอลลี่จะเป็นคนน่ากลัวจริง ๆ แต่ความรักก็ลึกซึ้งพอ ๆ กับที่น่ากลัวนั่นแหละ ส่วนเมสันก็ คงทำไปเพื่อธุรกิจละมั้ง”
โดโรธีหัวเราะ แล้วลูน่าก็หัวเราะตาม
“ถึงพวกเราจะไม่มีแม่ แต่มอลลี่ก็ทำหน้าที่นั้นแทนได้อย่างดีเยี่ยม เพราะงั้นหลังจากเลี้ยงลูกโตจนมีหลานแล้ว ฉันก็มีเวลาว่างบ้าง เลยกลับมาที่บ้านของตัวเองน่ะ
ไม่ใช่แค่ฉันนะ มีกลับมาหลายคนเลย ถึงจะได้รับการเลี้ยงดูจากมอลลี่และได้รับอิสรภาพจากคนที่ซื้อไปแล้วก็ตาม พวกเราเลยผลัดกันดูแลพวกเด็ก ๆ น่ะ”
โดโรธีทอดสายตาไปยังเด็ก ๆ ที่เดินอยู่ตามทางเดิน
“การค้ามนุษย์ถูกสั่งห้ามแล้วไม่ใช่เหรอ”
ลูน่าถามสิ่งที่ตัวเองกำลังสงสัย
“แน่นอนสิ ตอนนี้ที่นี่น่ะ กลายเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ แค่ไม่ได้รับเงินก็เท่านั้น”