สืบล่าหาผู้ใช้ศาสตร์ความตาย - ตอนที่ 2
ฉันอยู่ที่บ้านของเมสันนายหน้าค้ามนุษย์มาโดยตลอด
พ่อแม่เหรอ ไม่รู้หรอก ไม่ใช่ว่าไม่สนใจนะ แต่เหมือนเมสันก็ไม่รู้เหมือนกัน
เพราะไม่ว่าจะถูกทิ้งหรือถูกลักพาตัว มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์สักเท่าไร
แล้วอีกอย่าง บ้านของเมสันก็ไม่ใช่สถานที่ที่น่ารังเกียจอะไร
เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ สมกับเป็นธุรกิจที่ต้องจัดการกับคน ฉันยังจำทางเดินยาว ๆ ได้ดี
พวกเราต้องขัดทางเดินยาว ๆ นั้นให้เงาวับอยู่เสมอ มันลำบากมากเลยละ
คฤหาสน์ต้องเงาวับอยู่ตลอดเวลาทั้งภายนอกและภายใน
แล้วก็เมสันน่ะ ทำธุรกิจค้ามนุษย์ร่วมกันกับภรรยาที่ชื่อมอลลี่
ตอนนั้นเมสันน่าจะอายุประมาณ 30 กลาง ๆ มั้ง ตัวสูง ผมดำ ดูยิ้มแย้มอยู่เสมอ หน้าตาค่อนข้างดีทีเดียว ถึงจะมีรอยแผลที่คางหลายรอยก็เถอะ
ส่วนมอลลี่ ถึงจะมีผมยาวสีแดงและหน้าตาสะสวย แต่ก็เป็นคนที่ดูแกร่ง เห็นแล้วน่าเกรงขาม ในฐานะผู้หญิงเธอเป็นคนตัวสูง รูปร่างก็ดี อายุน่าจะพอ ๆ กับเมสันละมั้ง
เหมือนว่าทั้งคู่จะมีชื่อเสียงดีในฐานะนายหน้าค้ามนุษย์น่ะ
แปลกที่นายหน้าค้ามนุษย์มีชื่อเสียงดี?
ไม่ใช่แบบนั้นหรอก การค้ามนุษย์เองก็เป็นธุรกิจ มันมีทั้งดีและไม่ดีนั่นแหละ ถ้าสินค้าที่จ่ายตังค์ซื้อมามันใช้ไม่ได้ คุณเองก็คงโกรธใช่ไหมล่ะ
นี่ก็เหมือนกัน เป็นที่รู้กันดีว่าเด็กที่เมสันขายมีคุณภาพสูง
เมสันน่ะ ถนัดในการซื้อเด็กมาถูกแล้วขายแพง
เรียกว่าเพิ่มมูลค่าหรือเปล่านะ
เขาจะสอนเด็ก ๆ พวกเรื่องการศึกษา มารยาท และงานบ้านอย่างจริงจัง แล้วถึงค่อยนำไปขายน่ะ เหมือนว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกขุนนางหรือพ่อค้าที่ร่ำรวย
ถึงส่วนมากจะถูกซื้อไปเป็นแรงงาน แต่เหมือนว่าถ้าได้รับการศึกษามาก่อน ประโยชน์ใช้สอยก็จะต่างกันลิบลับเลยละ และเพราะใช้งานได้สารพัดประโยชน์ เลยเหมือนจะได้รับการปฏิบัติที่ดีไปด้วย
คนที่ซื้อไปเป็นลูกบุญธรรมก็มีเหมือนกัน เพราะคุณภาพดียังไงล่ะ
เมสันชอบพูดว่า
“ธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่ยอดเยี่ยมที่ทำให้ทุกคนทั้งผู้ที่ถูกขาย ผู้ซื้อ และตัวผู้ขายเองมีความสุข”
เป็นคนที่เหลือเชื่อเลยจริง ๆ ?
นั่นสินะ แน่นอนว่าฉันไม่ได้คิดว่านายหน้าค้ามนุษย์จะเป็นอาชีพที่ยอดเยี่ยม แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าแหล่งค้ามนุษย์ที่อื่น
ฉันมารู้ภายหลังว่านายหน้าค้ามนุษย์ส่วนใหญ่จะแค่ซื้อมาขายไป และปฏิบัติกับผู้ที่ถูกซื้อขายอย่างหยาบคาย พอคิดดูมันก็……
อ้อ แต่มอลลี่ที่เป็นภรรยาเข้มงวดมากเลยนะรู้หรือเปล่า
พวกเด็ก ๆ กลัวเธออย่างกับกลัวปีศาจแน่ะ
ถ้าทำผิดเรื่องงานบ้าน การเรียน หรือมารยาทแม้แต่นิดเดียว ก็จะดุด่าอย่างสาดเสียเทเสียเชียวละ
ฉันหัวดี เรียนก็ไหว เลยไม่เจอกับเรื่องโหดร้ายขนาดนั้น แต่โดโรธีเพื่อนสนิทของฉันโดนดุอยู่ตลอด
“ทำไมเรื่องแบบนี้ก็ยังทำไม่เป็น!”
เธอตะคอกแล้วชกหัว
เจ็บน่าดูเลยละ
เธอจะไม่ทุบตีที่ร่างกาย เพราะถ้ามีรอยบาดแผล มูลค่าของสินค้าก็จะลดลง
ให้เธอตีก้นซะยังดีกว่า ความเจ็บนั้นน่ะ ฉันจำไม่ลืมเลยจริง ๆ
ถึงจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังจำได้
หลังจากที่ตีเสร็จก็จะพูดว่า
“ทำแบบนี้ต่างหาก!”
แล้วก็สาธิตให้ดูอย่างถูกต้อง
มอลลี่ทำได้ทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบสมกับที่ปากว่า
มาคิดดูตอนนี้ มันก็น่าแปลกที่ทำไมคนอย่างนายหน้าค้ามนุษย์ถึงทำได้ดีในหลาย ๆ ด้าน ทั้งมารยาท การศึกษา และงานบ้าน
แต่สำหรับเด็ก ๆ มันก็เป็นความกดดันอะนะ ใครมันจะไปทำได้สมบูรณ์แบบอย่างนั้น
หลังจากสาธิตให้ดู มอลลี่ก็จะอธิบายอีกรอบ แล้วให้เด็ก ๆ ทำตาม และไม่ยอมให้ไปไหนจนกว่าจะทำได้
โดโรธีร้องห่มร้องไห้ทุกคืนเลยว่า
“ไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอยู่ที่แบบนี้แล้ว ฉันอยากให้ใครสักคนซื้อฉันไปเร็ว ๆ”
แต่พอถูกดุบ่อยเข้า ถึงจะไม่ชอบแต่ก็จำได้ไปเอง
ตอนแรกโดโรธีโดนดุบ่อยมาก แต่หลัง ๆ ก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
หืม ทำไมอาจารย์ไม่มีบทสักทีน่ะเหรอ
นั่นสินะ ฉันเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่งน่ะ
เพราะไม่ค่อยได้คุยกับใคร พอได้พูดทีก็เลยพูดเป็นต่อยหอยโดยไม่รู้ตัว
เพราะงั้นทนฟังฉันไปก่อนนะ ระหว่างนั้นเดี๋ยวอาจารย์ก็ออกมา
เอ้อ แต่ว่าโดโรธีถูกซื้อไปก่อนหน้าฉันด้วยละ
บอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าที่ฉันขายไม่ออกเป็นเพราะฉันถูกเก็บไว้ขายในราคาสูงเฉย ๆ
ฉันมีมูลค่าสูงเพราะเป็นชาวอาซูรา เมสันเลยไม่ขายฉันออกไปอย่างง่าย ๆ
.…..เอ่อแล่วก็ คนที่มาซื้อโดโรธีเป็นขุนนางที่เริ่มเข้าสู่วัยชราท่าทางใจดี
เมสันน่ะเป็นคนที่เลือกลูกค้า เพราะเขาอุตส่าห์เลี้ยงดูมาอย่างดี ก็ต้องเลือกคนที่จะใช้เด็กอย่างเหมาะสม เขาจะไม่ขายให้กับคนที่ใช้งานไม่ทันไรก็ทิ้งขว้างอย่างกับเป็นสินค้าสิ้นเปลือง
เมสันบอกว่าคนพรรค์นั้นน่ะ พอใช้การไม่ได้ก็จะโทษนายหน้าค้ามนุษย์ ถึงจะจ่ายหนัก แต่ถ้ามองในระยะยาวมันก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะมันจะส่งผลต่อชื่อเสียงของตัวเองยังไงล่ะ
“ธุรกิจชั้นดีต้องอาศัยลูกค้าชั้นดี”
เมสันมักจะพูดแบบนั้น
ด้วยเหตุนี้ โดโรธีเลยดีใจมาก เพราะคนที่ซื้อเธอไปดูใจดีกว่ามอลลี่
“ในที่สุดฉันก็ได้ออกไปจากที่นี่สักที”
ฉันจำได้ว่าเธอพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข
กลับกัน มอลลี่จะอารมณ์ไม่ดีทุกครั้งเวลาเด็ก ๆ ถูกขายออกไป
“เด็กคนนั้นยังทำได้ไม่ดีเลย”
เธอจะบ่นกับเมสันแบบนั้น
เมสันให้ความสำคัญกับธุรกิจเป็นหลัก ส่วนมอลลี่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นหลัก ฉันว่าเป็นคู่สามีภรรยานายหน้าค้ามนุษย์ที่สมดุลกันดียังไงไม่รู้
และแล้วในที่สุด อาจารย์ก็ออกโรง
อยู่มาวันหนึ่ง มีนักเวทที่ดูน่าสะพรึงกลัวมาหาฉัน
เป็นนักเวทที่สวมฮู้ดสีดำขาดรุ่งริ่ง ผมกับเคราสีเทายาวเฟื้อย ดูไม่ค่อยออกว่าหนุ่มหรือแก่
จำได้ว่าเขาถือจดหมายแนะนำตัวของขุนนางสักคน และเมสันก็ปฏิบัติกับเขาอย่างนอบน้อม
นักเวทคนนั้นจ้องฉันตาเขม็ง
เขามองเข้าไปในดวงตาสีแดงของฉันเป็นพิเศษ มันน่าขนลุกอยู่หน่อย ๆ
เมสันพยายามโฆษณาฉันสุดชีวิต
“เด็กคนนี้ฉลาดครับ อ่านเขียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ และรู้มารยาทมากกว่าบุตรสาวของขุนนางบางท่านเสียอีกครับ”
เรื่องจริงนะ ฉันทำได้ทุกอย่างเลย ถึงจะลืมมารยาทของขุนนางไปเกือบหมดแล้วเพราะไม่ได้ใช้มานาน แต่ตอนนั้นฉันก็ทำได้
และนักเวทที่น่ากลัวคนนั้นก็คืออาจารย์นี่แหละ
อาจารย์ไม่ค่อยแสดงความสนใจในสิ่งที่เมสันพูดเท่าไร
ดูเหมือนการที่ฉันเป็นชาวอาซูราจะมีความสำคัญมากกว่า
หลังจากเมสันสาธยายข้อดีของฉันเสร็จ เขาก็พูดราวกับขอโทษว่า
“เนื่องจากเป็นชาวอาซูราและได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี ในส่วนของราคาจึงค่อนข้างสูง อันที่จริงมันเป็นจำนวนเงินที่แม้แต่ขุนนางก็ยังจ่ายไม่ไหวน่ะครับ…”
เมสันคงไม่คิดว่าอาจารย์จะจ่ายไหวจริง ๆ
ฉันว่าเขาคงไม่ได้คาดหวัง เพราะดูจากสภาพแล้วก็ไม่น่าจะมีเงินทองอะไร
แต่อาจารย์ตัดสินใจซื้อทันทีที่เห็นราคา
“ฉันจะซื้อในราคานี้”
ฉันเองก็ตกใจ บอกตามตรง เขาเป็นคนที่ดูยากจนข้นแค้นที่สุดตั้งแต่มีคนมาดูตัว
ฉันเคยถูกขุนนางหลายคนดูตัว แต่คนนี้ดูจนที่สุด
ฉันอึ้งมาก ว่า “นี่ฉัน จะถูกคนแบบนี้ซื้อไปงั้นเหรอ”
เมสันดีใจมาก เพราะเหมือนไม่คิดว่าจะขายได้ในราคาสูงแบบนั้น
แล้วคืนนั้นก็เป็นอาหารค่ำมื้อสุดท้ายที่ฉันได้กินที่นั่น
มอลลี่จะทำอาหารที่เด็กคนที่ขายออกชอบมากที่สุด แต่แค่ครั้งสุดท้ายนะ
ฉันชอบเนื้อ เลยขอเมนูเนื้อที่มอลลี่ถนัดที่สุดไป
มอลลี่ทำอาหารเก่งมาก แม้ว่าทั้งฉันและโดโรธีเรียนรู้วิธีทำอาหารมาจากมอลลี่ แต่ก็ยังทำอร่อยสู้มอลลี่ไม่ได้
แล้วในอาหารค่ำมื้อสุดท้ายมอลลี่ก็พูดว่า
“ลูน่า แกเป็นคนที่ฉันฝึกมากับมือ ตั้งใจทำให้ดี อย่าให้เสียชื่อร้านล่ะ”
พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า น่ารำคาญมากจนฉันหมดอารมณ์กินเลย
แล้วจากนั้นก็พูดว่า
“ยิ้มแย้มอยู่เสมอ เขาสั่งอะไรก็ให้รีบทำ เข้าใจไหม หรือจะให้ดีก็ลงมือทำก่อนที่เขาจะสั่งซะ”
รู้สึกว่าเธอจะพูดอะไรอย่างอื่นอีก แต่ฉันลืมไปแล้วน่ะ เอาเป็นว่าเธอเตือนฉันเรื่องหยุมหยิมต่าง ๆ
เพราะมันเป็นธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือถึงขนาดนั้นเลยไงล่ะ
ฉันยังจำได้ว่าเมสันอารมณ์ดีมากที่ขายสินค้าราคาแพงที่ขายไม่ออกไปได้
“จ่ายเงินก้อนโตขนาดนี้ถือว่าเป็นลูกค้าชั้นดีเลยละ ถ้าแกทำงานดีเขาอาจจะมาซื้ออีกก็ได้ ตั้งใจทำให้ดีล่ะ”
เมสันพูดแบบนั้น
คู่สามีภรรยาเมสันกับมอลลี่ไม่ใช่คนเลวจริง ๆ นั่นแหละ
ฉันคิดว่าฉันโชคดีที่ถูกนายหน้าค้ามนุษย์แบบนี้ซื้อไป
แต่อาจารย์ต่างหากที่เป็นปัญหา