สืบล่าหาผู้ใช้ศาสตร์ความตาย - ตอนที่ 20
“เมสันเพิ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ไม่นาน แต่มอลลี่ยังสบายดีอยู่นะ ถึงตอนนี้จะนอนติดเตียงก็เถอะ”
หลังจากคุยกับลูน่าสักพัก โดโรธีก็พาไปยังห้องของมอลลี่
ลูน่าเล่าให้โดโรธีฟังว่า “เธอกลายเป็นลูกศิษย์ของผู้ใช้เวท แต่ผู้ใช้เวทที่ซื้อตัวเธอไปเสียชีวิตลง เลยฝึกฝนเป็นผู้ใช้เวทที่บ้านของอาจารย์คนนั้นให้เก่งขึ้นไปอีก” โดโรธีดูเหมือนจะยอมรับในคำอธิบายนั้น
“มอลลี่ อย่าตกใจนะ นี่ลูน่าไง เธอบอกว่าเธอเป็นผู้ใช้เวทแล้ว”
โดโรธีพูดเช่นนั้น แล้วก็พาลูน่าเข้าไปในห้องของมอลลี่
มอลลี่นั่งพิงหัวเตียงแล้วมองดูเด็ก ๆ จากทางหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
แม้จะแก่ชราไปมากแล้ว แต่ท่าทางของเธอยังสง่างาม ทับซ้อนกับท่าทางของมอลลี่ที่อยู่ในความทรงจำ
เหมือนมอลลี่จะไม่ได้ยินที่โดโรธีพูด จึงไม่หันมาทางนี้
“ช่วงนี้เธอแก่ลงไปมากน่ะ เข้าไปใกล้ ๆ ก็ได้นะ เดี๋ยวฉันต้องไปดูแลเด็ก ๆ ช่วยคุยกับมอลลี่ทีนะ เพราะดูเธอจะกังวลเรื่องลูน่ามาพักใหญ่แล้ว”
โดโรธีพูดเช่นนั้นก่อนจะปิดประตูออกไป
“มอลลี่”
ลูน่านั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงแล้วเรียกชื่อเธอ
ทันใดนั้นมอลลี่ก็หันหน้ามา
“ลูน่าเรอะ แล้วสารรูปแบบนั้นมันอะไรกัน”
มอลลี่แสดงรอยยิ้มที่ดูใจดี เป็นรอยยิ้มที่ไม่เคยแสดงให้เห็นตอนที่ลูน่าอยู่คฤหาสน์หลังนี้ มองแว็บเดียวเธอก็จำลูน่าได้ แต่ดูเหมือนจะไม่แปลกใจนักที่เห็นลูน่าในวัยสาว
“ก็นะ มันมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นน่ะ”
ลูน่ายิ้มอย่างขมขื่นที่มอลลี่พูดถึงรูปลักษณ์ของตัวเองว่า “สารรูปแบบนั้น”
“มีความสุขดีเรอะ”
“ไม่รู้สิ ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร”
“งั้นเหรอ แต่โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เธอถูกคนอย่างผู้ใช้เวทซื้อตัวไปนี่นา”
มอลลี่มองลูน่าอย่างเอ็นดู
“เพราะตอนที่ฉันถูกซื้อตัวไป มอลลี่เป็นห่วงฉันมากเลยไงล่ะ ฉันจำได้นะ
แถมยังแอบบอกว่า ‘ถ้าทุกข์ใจก็กลับมาได้เสมอ’ แล้วก็ยังเตือนว่า ‘อีกฝ่ายเป็นนักเวท เพราะงั้นก็ไม่รู้ว่าเธอจะโดนอะไรบ้าง ทำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อชีวิตของตัวเองนะ’”
“ยังจำได้อยู่สินะ ลูน่า”
มอลลี่ยิ้ม
“จำได้สิ ก็เพราะได้ของแบบนี้มาด้วยนี่ไง”
ลูน่าพูดเช่นนั้นแล้วหยิบมีดโกนออกมาจากเสื้อ
“ตอนที่มอลลี่ส่งอันนี้ให้ฉัน จำได้ไหมว่าพูดว่าอะไร
‘ถ้าถึงคราวคับขัน เอาอันนี้ไปกรีดคอตัวเองซะ’ บอกงี้เลยนะ
แถมยังบอกฉันที่ยังเด็กอยู่ด้วย ตอนที่รับมาฉันกลัวจนมือไม้สั่นเลยละ”
มอลลี่จ้องมีดโกนเล่มนั้น
“มีดโกนเล่มนั้น ฉันให้กับเด็ก ๆ ที่ไปอยู่บ้านของลูกค้าที่ไม่ค่อยดีต่างหาก หมายถึงพวกที่มีชื่อเสียงไม่ดีน่ะ ฉันคิดว่าถ้าพวกนั้นจะฆ่าเด็กของฉัน ฉันก็จะชิงฆ่าพวกมันก่อน แต่ดูเหมือนจะไม่มีเด็กคนไหนเอาไปใช้จริง ก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี เพราะสุดท้าย หลังจากที่ขายออกไป ก็มีเด็กหลายคนที่ฉันไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง
แล้วผู้ใช้เวทที่ชื่อคานที่ซื้อตัวเธอไปล่ะ เป็นยังไง ผู้ใช้เวทนี่ชื่อเสียงไม่ดีเป็นพิเศษเลยนะ เพราะเป็นพวกที่เหมือนจะคิดว่าเด็กเป็นวัตถุดิบเวทมนตร์หรืออะไรทำนองนั้นน่ะ”
ลูน่าเผลอห่อไหล่โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะมันเป็นอย่างที่มอลลี่พูด
“ไม่รู้สินะ แต่ฉันมีโอกาสได้ใช้มีดโกนด้ามนั้นด้วยละ คานเป็นคนที่ไม่สนใจอะไรที่ฉันทำเลย ไม่ว่าฉันจะทำงานหนักแค่ไหน เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมาก ฉันเลยคิดอย่างที่มอลลี่พูด ว่าเขาอาจจะไม่ได้ซื้อฉันไปเพื่อจุดประสงค์ที่ดี
แต่ว่านะ ตอนที่ฉันขอว่า ‘ให้ฉันโกนหนวดให้เถอะนะคะ’ เขาก็ไว้ใจให้ฉันทำได้ง่ายเกินคาดเลยละ แถมยังไม่ตัวเกร็งเหมือนเมสันด้วย เขาหลับตาแล้วผ่อนคลายร่างกายให้ด้วยซ้ำ เลยทำให้โกนง่าย
ตอนนั้นฉันคิดว่า ‘อ๋อ คนคนนี้เชื่อใจฉันสินะ’ พอคิดแบบนั้นฉันก็รู้สึกดีใจ เลยเอาไปใช้โกนหนวดให้เขา ไม่ได้เอาไปใช้อย่างนั้น
ก็นะ คานเป็นคนไม่เอาไหน แต่ก็ไม่ใช่คนเลวอะไรหรอก”
ลูน่าเก็บมีดโกนกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง
“งั้นเรอะ เอาเถอะ ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องดีแหละนะ”
มอลลี่หัวเราะ
“แต่ว่า มีครั้งหนึ่งที่มีคนจะมาลักพาตัวฉันด้วยละ นั่นฝีมือเมสันหรือเปล่า”
ลูน่าเคยเจอกับพวกคนลักพาตัวตอนที่ไปเก็บสมุนไพรในป่า เธอคิดว่าเมสันเป็นคนส่งพวกนั้นมาเพื่อที่จะเอาตัวลูน่าซึ่งถูกขายไปในราคาสูงไปขายให้ลูกค้าคนอื่นอีกที
“เมสันให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ เขาไม่ทำแบบนั้นหรอก นั่นฉันเป็นคนทำเอง เพราะคิดว่าถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็กะจะเอาตัวเธอกลับคืนมาน่ะ หลังจากจ่ายเงินมัดจำไป พวกนั้นก็ไม่ติดต่อกลับมา เลยคิดว่าพวกมันหนีไปแล้วซะอีก ตั้งใจทำงานอยู่เหมือนกันสินะ”
“ขอโทษด้วยนะ คนพวกนั้นตายไปแล้วน่ะ”
ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่เพราะเป็นพวกผู้ชายเบ้าหน้าไม่ดี ลูน่าจึงไม่ได้รู้สึกผิดขนาดนั้น
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงมันก็เป็นพวกที่ไม่มีอะไรดี แล้ว ผู้ใช้เวทที่ชื่อคานล่ะเป็นยังไงบ้าง ยังมีชีวิตอยู่ไหม”
“ตายไปเมื่อประมาณ 40 ปีก่อนแล้วน่ะ”
“ตายจริง ไปเร็วจัง หลังจากนั้นเป็นยังไงบ้าง กลับมาที่นี่ก็ได้แท้ ๆ”
“ก็แย่นิดหน่อยอะนะ แล้วก็ อืม ฉันน่ะ เกือบได้กลายเป็นสิ่งไม่ดีไปแล้ว ใช่ จะบอกว่าเกือบได้กลายเป็นปิศาจก็ว่าได้ เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก จนคิดว่ากลายเป็นปิศาจไปซะเลยดีไหม เพราะมันเจ็บปวดเหลือเกิน
แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้เป็น แม้แต่ตัวเองก็ยังแปลกใจเลย เพราะถ้ากลายเป็นปิศาจไปก็คงจะง่ายกว่า ฉันคิดว่า ‘ทำไมนะ’ ทำไมฉันถึงพยายามเป็นมนุษย์ต่อไปทั้ง ๆ ที่ตัวเองเจ็บปวดขนาดนี้
บางที ถ้าฉันไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากมอลลี่ ฉันว่าฉันคงเลือกทางที่ง่ายแบบนั้นไปแล้ว ถ้าฉันอยู่กับนายหน้าค้ามนุษย์คนอื่น ฉันคงกลายเป็นปิศาจไปแล้วแน่ ๆ แต่มันไม่ใช่แบบนั้น ฉันอาจจะเป็นแค่สินค้า แต่ฉันก็ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีในฐานะมนุษย์ ฉันจะกลายเป็นปิศาจไม่ได้
มอลลี่สอนฉันว่า ‘มนุษย์ย่อมต้องพยายาม’ จะเลือกทางที่ง่ายกว่าไม่ได้หรอก ดังนั้นที่ฉันต้องเผชิญกับความยากลำบาก ก็เป็นเพราะมอลลี่ด้วยเหมือนกัน”
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจที่เธอพูดเท่าไร แต่เธอคงผ่านอะไรมาเยอะสินะ”
มอลลี่เอื้อมมือไปหาลูน่าแล้วลูบหัวเธอเบา ๆ
ลูน่าประหลาดใจ แต่เธอก็เอนศีรษะไปทางมอลลี่แล้วปล่อยให้มอลลี่ลูบหัวโดนไม่ขัดขืน
สายตาของเธออยู่ที่เข่าของตัวเอง แต่ที่เข่ากลับมีน้ำตาร่วงเผาะลงมาอย่างไม่ขาดสายจนเปียกโชก
“มันลำบากมากจริง ๆ ฉันพยายามมาอย่างหนักเลยนะ”
เสียงของลูน่าสั่นเครือ
“นั่นสินะ”
เสียงของมอลลี่อ่อนโยน
──
หลังจากเงียบไปสักพักหนึ่ง ลูน่าก็เอ่ยขึ้นว่า
“นี่ มอลลี่ ทำไมถึงมาค้ามนุษย์ล่ะ เปิดสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหมือนอย่างตอนนี้ก็ได้ไม่ใช่เหรอ”
นั่นเป็นสิ่งที่ลูน่าสงสัยมาตลอด
“เธอนี่มันโง่จริง ๆ เล้ย มันมีซะที่ไหนล่ะไอ้คนที่ให้เด็กไปฟรี ๆ ทั้งที่ขายให้พ่อค้ามนุษย์ก็จะได้เงินแท้ ๆ เพราะราชาแห่งนักรบสั่งห้ามค้ามนุษย์หรอก ถึงได้มีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเกิดขึ้น พ่อค้ามนุษย์คนอื่นก็เลิกกิจการกับเกือบหมดแล้วด้วย อย่างน้อยก็มีเรานี่แหละที่เปิดสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดูแลเด็กเหมือนเดิม”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง นั่นก็จริงนะ”
“แถมรัฐยังให้ความช่วยเหลือแก่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกด้วย เป็นแนวทางของราชาแห่งนักรบน่ะ”
รัถสร้างโลกที่ปราศจากการค้ามนุษย์ สร้างประเทศที่สวยงามตามที่ตัวเองพูดไว้
“……ฉันก็เคยเป็นเด็กที่ถูกพ่อค้ามนุษย์ขายเหมือนกัน จากนั้นก็ถูกขายต่อให้ซ่องโสเภณี แต่มันก็เป็นซ่องระดับสูง ฉันเลยได้รับการศึกษามาคร่าว ๆ น่ะ เพราะถ้าอ่านเขียนอะไรทำนองนี้ได้ก็จะเป็นที่ชื่นชอบของพวกขุนนางมากกว่า แต่การค้ามันก็คือการค้า ฉันเลยไม่มีความหวังที่จะเป็นอิสระ แถมร่างกายก็กลายเป็นมีลูกไม่ได้อีก คนที่ซื้อคนอย่างฉันออกมาจากซ่อง ก็คือเมสันนี่แหละ
เมสันเป็นลูกชายคนที่สามของขุนนาง สืบทอดตระกูลก็ไม่ได้ เป็นคนเสเพลเที่ยวเล่นไปวัน ๆ แต่เมสันเป็นผู้ชายที่หาเงินเก่ง ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาเลยถูกใจฉันน่ะ
ฉันบอกกับเมสันว่า ‘ฉันอยากทำธุรกิจค้ามนุษย์ ฉันอยากเลี้ยงเด็กให้พวกเขาสามารถอยู่ได้ตัวเอง’ แล้วหมอนั่นก็รับปากง่าย ๆ ว่า ‘นั่นก็ดีนะ’ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จัดเตรียมทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี แล้วซื้อคฤหาสน์หลังนี้มาเปิดกิจการ ……อืม เมสันเป็นผู้ชายที่ดีเลยละ
จากนั้นฉันก็สอนพวกเด็ก ๆ อย่างสุดความสามารถ เพื่อให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานอย่างโสเภณี เพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานที่ดีได้ ถึงฉันจะถูกพวกเด็ก ๆ เกลียดก็เถอะ”
“ตัวเองก็รู้นี่นา”
ลูน่าเผลอหัวเราะออกมา
“รู้สิ แต่ว่านะ เมสันเคยบอกว่า ‘อย่าพูดว่าชอบหรือรักอะไรทำนอนนั้น’ ‘เพราะผูกพันแล้วจะทำธุรกิจไม่ได้’ หมอนั่นรู้จักฉันดีเลยละ เขารู้ว่าถ้าปล่อยฉันไว้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ฉันก็คงไม่ปล่อยมือจากเด็ก ๆ เราถึงได้ขายเด็กภายใต้การตัดสินใจของหมอนั่นไงล่ะ ก็นะ ถ้าไม่ทำแบบนั้น ธุรกิจก็ไปไม่รอด
เธอเองฉันก็ไม่ได้อยากขาย ซ้ำร้ายอีกฝ่ายดันมาเป็นผู้ใช้เวทอีก ฉันคัดค้านแล้ว แต่ด้วยความที่เธอเป็นชาวอาซูรา ราคาที่เราซื้อมาก็เลยสูงเหมือนกัน แล้วเมสันก็เอาชนะเสียงคัดค้านของฉันโดยพูดว่า ‘ถ้าไม่ขายก็ทำธุรกิจไม่ได้’”
“ทั้งที่ฉันราคาสูงแล้วทำไมถึงซื้อฉันมาล่ะ เมสันถือคติซื้อถูกขายแพงไม่ใช่เหรอ”
“คนซื้อเธอคือฉันเอง เพราะเธอมีผมสีทองและตาสีแดงแล้วก็น่ารักยังไงล่ะ ฉันเลยอยากซื้อมาเป็นลูกสาวของตัวเองน่ะ ……แม้สุดท้ายฉันจะขายเธอไปก็ตาม”
“……ถึงอย่างนั้นฉันก็ดีใจ ขอบคุณนะ มอลลี่ โชคดีจริง ๆ ที่มอลลี่ซื้อฉันมา”
เมื่อได้ยินคำพูดของลูน่า มอลลี่ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ฉันดีใจที่ได้ยินคำนี้ เพราะฉันเป็นห่วงลูน่ามาตลอด ฉันเหมือนมีชีวิตอยู่จนถึงปีนี้เพราะอยากเจอเธอเลย ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายแล้ว”
การไหลเวียนของพลังเวทในร่างกายมอลลี่เริ่มอ่อนลงมาก ลูน่ารู้ว่าเธอคงอยู่ได้อีกไม่นาน
“นี่ มอลลี่ อยากมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ไหม อยากแข็งแรงแล้วมีชีวิตอยู่ตลอดไปไหม”
“อะไรล่ะนั่น”
มอลลี่หัวเราะ
“ไม่เอาหรอกแบบนั้นน่ะ ฉันไม่ควรมีชีวิตอยู่นานกว่าพวกเด็ก ๆ ของตัวเอง เรื่องแบบนี้ต้องเป็นไปตามลำดับสิ ฉันตาย แล้วจากนั้นโดโรธีกับลูน่าก็ตายทีหลัง ถ้าพวกเธอมาชิงตายก่อน ฉันคงเจ็บปวดกว่าการที่ตัวเองตายเสียอีก ชีวิตแบบนั้นฉันไม่เอาหรอก”