สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 114 ความคืบหน้า
ตอนที่ 114 ความคืบหน้า
เฮ่อชิงเซียวชินกับการใช้ดาบ ทำให้ง่ามนิ้วมือเนื้อด้านเป็นไต คนเช่นไรที่จะคุกเข่าจนเข่าดำและแข็งเป็นไตได้
เจ้าหน้าที่ชันสูตรวิเคราะห์ต่อว่า “ผิวหนังผู้ตายหยาบกร้าน หว่างนิ้วคล้ายว่ามีคราบสกปรกที่ล้างไม่ออกมานาน ดูแล้วไม่เหมือนคนเรียนหนังสือ…”
ในใจเฮ่อชิงเซียวกระตุกวาบ คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา
“ลำบากท่านแล้ว กลับกันก่อนเถอะ”
สถานที่เก็บศพเดิมก็อยู่ใต้ดิน กอรปกับคดีนี้เป็นที่ฮือฮามาก จะต้องจัดน้ำแข็งมาวางไว้เพื่อป้องกันศพเน่าเปื่อย ทั้งห้องจึงเย็นราวกับถ้ำน้ำแข็ง ร่างกายอ่อนแออยู่นานย่อมทนรับไม่ไหว
ด้านนอกลมหนาวพัดมา แสงแดดสดใส กวาดตามองไปหยุดที่ห้องเก็บศพน่าสะพรึง
เฮ่อชิงเซียวก้าวออกไป กลับถึงที่ทำการก็สั่งการลงไปว่า “ไปตรวจสอบขอทานทุกแห่ง ดูว่ามีคนรูปร่างสูงใกล้เคียงกับผู้ตายหายตัวไปหรือไม่”
ผู้ตายอายุไม่นับว่ามาก หากเป็นคนใช้แรงงานทั่วไป ที่หัวเข่าไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ สภาพเช่นนี้น่าจะเป็นทาส ยามอยู่ต่อหน้าเจ้านายมีแต่เพียงคำนับนอบน้อมเท่านั้น การคุกเข่าเมื่อทำผิดเพื่อร้องขอชีวิตนานวันเสียดสีจนเป็นไตแข็ง ก็คือพวกยาจกที่คุกเข่าขอทาน
ขอทานในเมืองหลวงที่จะขอทานอย่างสงบสุขได้ล้วนมีองค์กร ก็คือที่เรียกกันว่าพรรคกระยาจกเมืองหลวง พรรคกระยาจกใหญ่น้อยสิบกว่าพรรค แบ่งพื้นที่อิทธิพลกันมานาน หากมีขอทานข้ามเขต ก็ย่อมถูกขับไล่
แม้ขอทานเมืองหลวงไม่น้อย แต่แบ่งกลุ่มอิทธิพลทำให้จัดการง่าย กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินไปหาหัวหน้าพรรคกระยาจกแต่ละพรรค หัวหน้าเหล่านี้สั่งการลงไป ไม่ถึงสองวันก็รู้กระจ่างว่าในพื้นที่ตนมีขอทานหายตัวไป
เฮ่อชิงเซียวอ่านรายชื่ออย่างละเอียด เน้นวงไปที่คนห้าคน ขอทานห้าคนนี้มีสองคนอยู่ในตัวเมืองฝั่งตะวันออก
แน่นอนนอกจากห้าคนนี้ ในรายชื่อยังมีอีกหลายคน ชีวิตเช่นขอทานนี้เป็นระดับชนชั้นต่ำสุด หายตัวไป หรือตายไปเงียบๆ เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เห็นว่าเวลากระชั้นชิดและกำลังคนจำกัด จึงได้เริ่มตรวจสอบจากขอทานที่มีความเป็นไปได้ที่สุดห้าคนนี้
โชคดีไม่เลว กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินนำตัวขอทานที่รู้จักขอทานที่หายไปไปดูศพ หนึ่งในนั้นจำได้ทันที
“เอ้อร์โก่ว!”
หลังทำความเข้าใจแล้ว เอ้อร์โก่วเป็นหนึ่งในสองขอทานฝั่งตะวันออกที่วงไว้ และเป็นคนที่หายตัวไป
ขอทานผู้นี้ขอทานอยู่ที่ริมกำแพงนอกชุมชนตรอกเยี่ยนจื่อ คนที่ใกล้ชิดกับเขายังมีขอทานเฒ่าผู้หนึ่งกับขอทานน้อยผู้หนึ่ง
ขอทานคนหนึ่งนำทางเฮ่อชิงเซียวมาพบขอทานเฒ่า
ระยะนี้ขอทานเฒ่าป่วยอยู่ ยามนี้นอนอยู่บนกองฟางใต้สะพาน ท่าทางหอบโรยแรง
ผู้ที่ดูแลขอทานเฒ่าเป็นขอทานน้อยอายุราวเจ็ดแปดขวบ ทั้งสองคนเป็นปู่หลานกัน
พอเห็นเฮ่อชิงเซียวมา ขอทานน้อยก็มีสีหน้าระแวดระวัง ราวกับมีสัตว์ป่าบุกเข้ามาในพื้นที่ตนเอง
เฮ่อชิงเซียวย่อตัวลง เอ่ยถามขอทานเฒ่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านผู้เฒ่า สะดวกคุยหรือไม่”
แววตาขุ่นของขอทานเฒ่าค่อยๆ ลืมขึ้น มองไปทางขอทานที่นำมาด้วยสีหน้าสงสัย
ขอทานรีบเอ่ยว่า “ท่านนี้คือใต้เท้ากองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน มาสอบถามท่านเรื่องหนึ่ง ท่านต้องตอบคำถามใต้เท้าให้ดี”
ได้ยินคำพูดขอทานนำทางมา ขอทานเฒ่าอดเคร่งเครียดไม่ได้ ขอทานน้อยตกใจจนม่านตาหดเกร็ง
เฮ่อชิงเซียวเป็นคนประสาทไวระดับใด รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาผิดปกติของขอทานน้อยได้ทันว่าผิดแผกไป
“ท่านว่า…” ขอทานเฒ่าเอ่ยไม่ออก
เฮ่อชิงเซียวสั่งการลูกน้องที่ตามมา “ป้อนน้ำให้ท่านผู้เฒ่าดื่มให้ลื่นคอสักสองสามคำ”
ลูกน้องปลดกระบอกน้ำที่เอวออก ดึงจุกออกป้อนน้ำขอทานเฒ่า
น้ำยังคงอุ่น ขอทานเฒ่าอาจไม่เคยได้ดื่มน้ำร้อน กินน้ำอุ่นลงท้องไปสองสามคำก็เริ่มมีแรงขึ้นมา
เฮ่อชิงเซียวเห็นดังนี้ก็ถามขึ้นว่า “มีคนชื่อเอ้อร์โก่ว เป็นขอทานบนถนนเส้นเดียวกับพวกเจ้าใช่หรือไม่”
ขอทานเฒ่าพยักหน้า
“เจ้าพบเขาครั้งสุดท้ายเมื่อใด”
ขอทานเฒ่าส่ายหน้า น้ำเสียงแหบพร่าแก่ชรา “ข้าน้อยป่วยมาครึ่งเดือน นอนอยู่ที่นี่มาตลอด ก่อนป่วยยังพอได้เห็นเขาบ้าง”
เฮ่อชิงเซียวมองไปทางขอทานน้อย
ขอทานน้อยตัวเกร็งแข็งทื่อ อดกัดริมฝีปากไม่ได้ “ข้า ข้าไม่ทันสังเกต…”
ขอทานที่นำทางมาจ้องมองขอทานน้อยทีหนึ่ง “กู่จื่อ ปู่เจ้าป่วย เจ้าไม่ได้ออกไปขออาหารทุกวันหรือ จะไม่ทันสังเกตได้อย่างไร”
เห็นท่าทางขอทานน้อยที่ชื่อกู่จื่อยิ่งเคร่งเครียด เฮ่อชิงเซียวก็ควักเหรียญทองแดงออกจากถุงเงินกำหนึ่ง ส่งให้ขอทานที่นำทางมา “ไปซื้อขนมแป้งนุ่มที่ย่อยง่ายมาหน่อย เจ้ากับปู่กู่จื่อกินกันให้อิ่มท้อง”
ขอทานนำทางรับเงินวิ่งออกไปอย่างดีอกดีใจ
กู่จื่อได้ยินว่าขนมแป้งนุ่ม ก็อดกลืนน้ำลายเอื๊อกไม่ได้
เฮ่อชิงเซียวแสดงท่าทางให้ลูกน้องดูแลขอทานเฒ่าให้ดี ชี้มือไปยังที่ไม่ไกลนัก “กู่จื่อ พวกเราไปคุยกันทางนั้น”
กู่จื่อลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มิได้ขัดขืน ตามเฮ่อชิงเซียวไปยังใต้ต้นหลิ่วที่ไม่ไกลนัก
เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ใบหลิ่วแห้งถูกลมพัดก็ร่วงปลิว ไม่ได้มีปุยหลิ่วปลิวอีกแล้ว แลดูแห้งกรอบอยู่บ้าง
“กู่จื่อ เจ้ารู้เรื่องที่เอ้อร์โก่วหายตัวไปแล้วกระมัง”
เฮ่อชิงเซียวเปิดประเด็นตรงไปตรงมา กู่จื่อสีหน้าแปรเปลี่ยน “ข้าไม่รู้อันใดทั้งนั้น!”
เขาคิดวิ่งหนี แต่ก็ไม่กล้า
เห็นว่าตรงหน้าก็คือขุนนาง คำพูดเดียวอาจทำให้เขาและปู่ต้องเอาชีวิตไปทิ้ง
เฮ่อชิงเซียวเห็นท่าทางหวาดกลัวของขอทานน้อย น้ำเสียงก็ยิ่งอ่อนโยน “เจ้าอย่าได้กลัว ขอเพียงเจ้าตอบคำถามข้าดีๆ ข้าจะส่งปู่เจ้าไปรักษาที่โรงหมอ”
“จริงหรือ” กู่จื่อแววตากระตือรือร้นขึ้นมา
“ข้าเป็นขุนนางราชสำนัก จะหลอกเด็กน้อยอย่างเจ้าได้อย่างไร”
“แต่…” กู่จื่อลังเล แม้หวั่นไหวที่ปู่จะได้รับการรักษา แต่ก็กังวลเรื่องอื่นอยู่
เฮ่อชิงเซียวเดาว่ากู่จื่ออาจจะกระทำเรื่องที่ไม่น่าเปิดเผยนัก ทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยออกมา
เขายื่นมือไปตบไหล่ให้กำลังใจขอทานน้อย “เจ้าอายุยังน้อย อาจถูกบีบให้กระทำเรื่องอันใด ขอเพียงมิได้สังหารคนหรือวางเพลิง ล้วนลงโทษสถานเบาได้ ถึงกับอาจไม่เอาเรื่องที่ปิดบังความจริงได้ หากทำให้เสียเวลาความคืบหน้าการสืบคดี ก็ย่อมก่อให้เกิดความยุ่งยากตามมายิ่งกว่า”
กู่จื่อได้ยินคำพูดเฮ่อชิงเซียว ก็ถามขึ้นอย่างระแวดระวังว่า “ไม่เอาเรื่องจริงหรือ”
“เจ้าได้สังหารคนหรือวางเพลิงหรือไม่” เฮ่อชิงเซียวถามน้ำเสียงเข้ม
หากทำความคิดระดับนี้จริง ย่อมต้องเอาเรื่อง เขาไม่คิดหลอกเด็กน้อย
กู่จื่อรีบส่ายหน้า “ไม่มีๆ!”
เฮ่อชิงเซียวยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลัว”
เขาหน้าตาดี ยามเผยรอยยิ้มก็ราวกับหิมะฤดูหนาวหลอมละลายในต้นฤดูใบไม้ผลิ กลายเป็นน้ำใสกระจ่างต้นฤดูใบไม้ผลิงามกระทบแสงตะวัน
กู่จื่อนิ่งอึ้งไปทันที ในใจเกิดความรู้สึกเชื่อใจใต้เท้ารูปงามผู้นี้อย่างไม่รู้ตัว น่าจะไม่หลอกเขากระมัง
“แล้วจะรักษาปู่ข้าด้วยหรือ”
“แน่นอน”
“แต่ปู่ข้าป่วยหนักมาก ต้องใช้เงินรักษามาก”
ใต้เท้าเฮ่อยิ้มมุมปาก เอ่ยหนักแน่นว่า “ไม่เป็นไร ข้ามีเงิน”
ในที่สุดกู่จื่อก็วางใจ “เช่นนั้นท่านถามมาได้เลย”
“เจ้าได้พบเอ้อร์โก่วครั้งสุดท้ายเมื่อใด ตอนไหน”
“เป็น…ยามค่ำเมื่อหกวันก่อน”
ยามค่ำเมื่อหกวันก่อน?
เฮ่อชิงเซียวหวนรำลึกเล็กน้อย ตอนพบศพหน้าประตูสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ก็คือยามเช้าเมื่อห้าวันก่อน
ก็หมายความว่า เป็นไปได้มากว่ากู่จื่ออาจเป็นคนสุดท้ายที่ได้เห็นผู้ตาย
ในใจเฮ่อชิงเซียวรู้สึกเป็นไปได้อย่างมาก สีหน้ากลับไร้แววพิรุธ จะได้ไม่สร้างความกดดันให้กู่จื่อ “ตอนนั้นเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้า…” กู่จื่อกัดริมฝีปากแน่น พลันสะอื้นไห้ขึ้นมา “ข้าเห็นคนร้าย!”