สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 115 เห็นเหตุการณ์
ตอนที่ 115 เห็นเหตุการณ์
คำตอบของกู่จื่อทำให้แววตาเฮ่อชิงเซียวแปรเปลี่ยน แต่น้ำเสียงยังคงอ่อนโยน “ค่อยๆ เล่า”
ความสงบนิ่งและปลอบประโลมของเฮ่อชิงเซียวทำให้ขอทานน้อยอารมณ์พลุ่งพล่าน
“พี่เอ้อร์โก่วว่าที่นี่ไม่ค่อยสว่าง กลางคืนจะไปนอนที่ริมกำแพง” กู่จื่อชี้ไปที่ศีรษะ “คืนนั้นปู่ข้าอยู่ๆ ก็ตัวสั่น ข้าตกใจมาก วิ่งไปตามพี่เอ้อร์โก่วมาช่วย ไม่คิดว่ามองไปเห็นคนผู้หนึ่งเดินไปที่เชิงกำแพง หยุดอยู่ตรงพี่เอ้อร์โก่ว…”
เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขอทานน้อยพลันเผยสีหน้าหวาดกลัว “ข้านึกอยากรู้ จึงแอบซ่อนตัว เห็นคนผู้นั้นไม่รู้ใช้อันใดอุดปากพี่เอ้อร์โก่ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็ลากพี่เอ้อร์โก่วออกไป…ข้า ข้ากลัวมากจริงๆ กลัวเหลือเกิน…”
ความรู้สึกผิดและหวาดกลัวทำให้ขอทานน้อยร้องไห้ออกมา
หลังคืนนั้น เขาเคยคิดอยู่หลายครั้ง หากตอนนั้นเขากล้าตะโกนออกไป ไม่แน่ว่าพี่เอ้อร์โก่วก็อาจจะตื่นได้ทัน ไม่ถูกเขาลากไป
แต่ตอนนั้นเขาไม่กล้า เขากลัวว่าตะโกนเรียกแล้วพี่เอ้อร์โก่วไม่ตื่น ตนเองกับท่านปู่จะกลายเป็นตกอยู่ในอันตรายแทน
ขอทานน้อยไม่กล้าเงยหน้า กลัวสบสายตาดูแคลนของอีกฝ่าย
ไม่เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่กล้าตะโกนเรียก หลังจากนั้นก็ยังไม่กล้าบอกผู้ใด และยิ่งไม่กล้าไปแจ้งทางการ
มือใหญ่วางลงบนไหล่เขา ตบเบาๆ เอ่ยว่า “กู่จื่อ เจ้าเห็นท่าทางคนร้ายหรือ ลองบอกคร่าวๆ มาหน่อยได้หรือไม่”
ความคิดกู่จื่อพลันถูกดึงไปเรื่องนี้ทันที ไม่ต้องหวนรำลึกก็เอ่ยออกมาได้ทันที “คนผู้นั้นรูปร่างสูง สวมชุดยาวทั้งตัว ดูแล้วไม่หนุ่ม แต่เพราะแสงไม่พอ มองเห็นใบหน้าไม่ค่อยชัดมาก…”
หลายวันนี้ภาพชายผู้นั้นผุดขึ้นมาในความคิดเขานับครั้งไม่ถ้วน ท่าทางของคนผู้นั้นไม่เพียงแค่ไม่ลืมเลือนไปตามเวลา แต่กลับยิ่งกระจ่างชัด
“หากเจ้าได้พบคนผู้นั้นอีกครั้ง จะจำได้หรือไม่”
“ได้!” กู่จื่อโพล่งออกมาทันที
แม้ว่าใบหน้านั้นเลือนรางเพราะแสงไม่พอ แต่เขามั่นใจว่า ขอเพียงได้พบใบหน้านั้นอีกครั้งจะต้องจำได้อย่างแน่นอน
เฮ่อชิงเซียวถามคำถามสุดท้าย “เอ้อร์โก่วตอนนั้นสวมชุดอะไร”
“พี่เอ้อร์โก่ว?” พอถูกถามถึงคนที่ได้พบทุกวัน กู่จื่อกลับพยายามคิดจึงตอบได้ “ก็เหมือนยามปกติ เพราะเก่าและสกปรกมาก มองไม่ออกว่าสีและแบบเป็นอย่างไร”
เฮ่อชิงเซียวพากู่จื่อกลับถึงช่องใต้สะพาน
ขอทานที่ไปซื้อขนมก็กลับมา กำลังเขมือบกินแทบไม่ได้เคี้ยว พอเห็นทั้งสองคนมา ตนเองยังคงมีขนมอัดแน่นจนแก้มป่องพูดไม่ออก
กู่จื่ออดกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่ได้
เฮ่อชิงเซียวสั่งการให้ลูกน้องจัดหาที่พักให้กู่จื่อสองปู่หลาน ตนเองไปร้านหนังสือชิงซงเพียงลำพัง
ในห้องรับรองที่เชื่อมกับโถงร้านหนังสือ เฮ่อชิงเซียวพบว่านอกจากชุดน้ำชา ยังมีกล่องผลไม้เชื่อมและเมล็ดถั่วธัญพืชต่างๆ อีกสองกล่อง
“ใต้เท้าเฮ่อ คดีมีความคืบหน้าแล้วใช่หรือไม่” ซินโย่วผลักกล่องผลไม้เชื่อมและเมล็ดถั่วธัญพืชต่างๆ ไปทางเฮ่อชิงเซียว
เฮ่อชิงเซียวให้เกียรติคุณหนูโค่วด้วยการกินเมล็ดสนสักสองสามเมล็ดดี หรือว่าคุยเรื่องสำคัญก่อนดีขณะกำลังลังเลอยู่นั้น ก็ตัดสินใจได้ว่าเอ่ยเรื่องสำคัญก่อนดีกว่า
“หาพยานเห็นเหตุการณ์เจอคนหนึ่งแล้ว”
ซินโย่วแววตาส่องประกาย “พยานว่าอย่างไร”
สองสามวันมานี้ ข่าวผู้ดูแลร้านหนังสือตรงข้ามถูกจับตัวไปเข้าคุกค่อยๆ แพร่ออกมา ซินโย่วไม่รู้สึกตกใจกับการปล่อยข่าวลือนี้ของร้านหนังสือหย่าซิน การค้าดังสนามรบ มีบางคนทำการค้าเปิดเผยตรงไปตรงมา มีบางคนใช้วิธีการสกปรกไม่เลือกวิธี
แต่สำหรับคนร้ายตัวจริง นางมิได้ฟังข่าวลือแล้วจะมั่นใจว่าเป็นคนจากร้านหนังสือตรงข้าม
เฮ่อชิงเซียวเริ่มเล่าเรื่องกู่จื่อ จิบน้ำชาไปคำหนึ่ง “พยานบอกว่าชุดที่เอ้อร์โก่วใส่ตอนนั้นเป็นชุดปกติที่สวมใส่ แต่ศพเอ้อร์โก่วหน้าประตูสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ที่ถูกเข้าใจว่าเป็นนักเรียนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน เพราะเขาสวมชุดยาวที่นักเรียนทั่วไปสวมใส่ ก็หมายความว่า คืนนั้นคนร้ายตีเอ้อร์โก่วสลบลากมา จงใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา”
“เป้าหมายที่คนร้ายทำเช่นนี้…” ซินโย่วบีบเมล็ดสนในมือเล่น สมองครุ่นคิดรวดเร็ว “ก็คือต้องการให้คนคิดว่านักเรียนถูกผีร้ายควักหัวใจ จะได้เชื่อมโยงไปถึงร้านหนังสือชิงซงหรือ”
“มีความเป็นไปได้อยู่มาก ดังนั้นคุณหนูโค่วลองคิดให้ดี ร้านหนังสือชิงซงเคยล่วงเกินผู้ใดหรือไม่”
“ระยะนี้การค้าร้านหนังสือชิงซงดีมาก ย่อมมีคนอิจฉาตาร้อนไม่น้อย หากกล่าวว่าส่งผลกระทบมากที่สุด แน่นอนว่าเป็นร้านหนังสือหย่าซินตรงข้าม”
“พยานที่เห็นเหตุการณ์ได้เห็นรูปร่างคนร้ายว่าค่อนข้างสูง ไม่ตรงกับผู้ดูแลร้านหนังสือหย่าซิน หากคุณหนูโค่วคิดถึงคนอื่นไม่ออก ทางข้าก็จะนำตัวคนร้านหนังสือหย่าซินมาตรวจสอบทั้งหมด ให้พยานเห็นเหตุการณ์ได้ดูใกล้ชิด”
ขณะที่เฮ่อชิงเซียวกำลังกล่าวอยู่นั้น เสียงหลิวโจวก็ดังขึ้นที่นอกประตู “ท่านเจ้าของร้าน เจ้าของร้านหนังสือหย่าซินมาขอพบท่านขอรับ”
ซินโย่วเลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึง เอ่ยกับเฮ่อชิงเซียว “ใต้เท้าเฮ่อรอสักครู่ ข้าออกไปดูหน่อย”
ในโถงร้านหนังสือ ชายหนุ่มหน้าตากระจ่างงามกำลังมองมาทางประตูห้องรับรองอยู่ ผู้ดูแลร้านหูข้างๆ แอบค้อนใส่เงียบๆ
เห็นซินโย่วเดินออกมา ชายหนุ่มยิ้มกล่าวว่า “คุณหนูโค่ว ข้าแซ่อู๋ เป็นเจ้าของร้านหนังสือหย่าซิน วันนี้มาขอโทษคุณหนูโค่ว”
ซินโย่วจ้องมองชายหนุ่ม ความคิดทั้งหมดถูกภาพน่ากลัวที่ปรากฏเบื้องหน้ายามนี้ดึงความสนใจไปหมดสิ้น
ข้างบ่อน้ำในลานบ้านแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มนอนอยู่บนพื้น ชายผู้หนึ่งถือดาบแทงใส่หัวใจเขา คว้านไปมาอย่างบ้าคลั่ง
โลหิตสดพุ่งกระจายสาดใส่ใบหน้าชายหนุ่ม เขาพึมพำ แววตาแดงฉาน
แต่เล็กจนโต ซินโย่วได้เห็นภาพมามากมาย คนส่วนใหญ่ในภาพที่ปรากฏมักจะประสบเคราะห์เล็กน้อย ไม่ลื่นหกล้มก็กระแทกเล็กน้อย ภาพที่เต็มไปด้วยโลหิตสาดนองน่าสะพรึงเช่นนี้หาได้น้อยมาก
ผู้ดูแลร้านหูเห็นซินโย่วเหม่อลอย ก็เอ่ยเรียกเตือนว่า “ท่านเจ้าของร้าน…”
ชายหนุ่มหน้าตาสู้ใต้เท้าเฮ่อไม่ได้แม้แต่น้อย นางจ้องมองเขาเช่นนี้ทำไมกัน!
ซินโย่วตั้งสติได้ คนที่ปรากฏตัวตรงหน้าตอนนี้ไม่ใช่คนที่นอนกองอยู่บนพื้นให้คนจัดการสังหารได้ตามใจ แต่เป็นชายหนุ่มท่าทางสุภาพยิ้มละไม ในแววตามีความยโสอยู่ไม่น้อย
“เจ้าของร้านอู๋”
ชายหนุ่มประสานมือ “ข้าน้อยเพิ่งรู้มาว่าผู้ดูแลร้านหนังสือเราถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ รู้สึกละอายใจยิ่ง หวังว่าคุณหนูโค่วจะให้อภัย”
เขาพูดไปก็ควักเอากล่องหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อส่งให้นาง “นี่คือของขวัญแสดงการขอขมาจากข้าน้อย ขอคุณหนูโค่วโปรดรับไว้ด้วย”
ซินโย่วยื่นมือออกไปรับแล้วยัดใส่มือผู้ดูแลร้านหู ยิ้มให้ชายหนุ่มเอ่ยว่า “ข้ารับไว้แล้ว ให้อภัยแล้วเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มเดิมยังเตรียมใจไว้แล้ว คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยปฏิเสธ ถึงกับตำหนิด่าทอเขา ปฏิกิริยาซินโย่วยามนี้ทำเอาเขาไปต่อไม่ถูก หันไปมองผู้ดูแลร้านหูด้วยสัญชาตญาณ
ผู้ดูแลร้านยังอึ้งยิ่งกว่า
ให้อภัยแล้ว?
“ข้ายังต้อนรับสหายอยู่ ไม่อาจปล่อยให้สหายรอนาน หากเจ้าของร้านอู๋ไม่มีธุระอันใดแล้ว ก็คุยกับผู้ดูแลร้านเราก็แล้วกัน”
“ไม่มีอันใดแล้ว คุณหนูโค่วไม่คิดเล็กคิดน้อยก็ดี” ชายหนุ่มออกไปอย่างงุนงง
“ท่านเจ้าของร้าน ท่าน…” ผู้ดูแลร้านหูยกกล่องใบเล็กขึ้น
“ท่านเอาไปเก็บก่อน ข้ายังมีเรื่องสนทนากับใต้เท้าเฮ่อ” ซินโย่วไม่สนใจว่าผู้ดูแลร้านหูจะเอ่ยอันใดอีก รีบก้าวเข้าไปในห้องรับรอง
มือเฮ่อชิงเซียวที่หยิบเมล็ดสนไว้พลันชะงัก
ซินโย่วรีบก้าวเข้าไปนั่งลงตรงข้าม
“ใต้เท้าเฮ่อ เมื่อครู่ได้เห็นเจ้าของร้านหนังสือหย่าซิน ข้าพลันนึกถึงคนผู้หนึ่ง!”