สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 118 ปิดร้าน
หลิวโจววิ่งตะบึงเข้ามา “ท่านผู้ดูแลร้านรีบออกไปดูเร็ว!”
เขายังไม่ลืมคว้าสือโถวมาบอกว่า “รีบไปตามเจ้าของร้านออกไปดูเร็ว!”
ผู้ดูแลร้านหูเห็นท่าทางตื่นเต้นของหลิวโจวก็รีบก้าวออกไปดู ได้เห็นกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินกำลังปิดผนึกประตูร้านฝั่งตรงข้ามก่อนจากไปด้วยท่าทีขึงขัง ทิ้งให้คนร้านหนังสือหย่าซินตื่นตกใจไม่รู้ควรทำเช่นไรต่อ
ผู้ดูแลร้านหูสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง “ถึงกับถูกปิด?”
หลิวโจวชะเง้อมอง ถอนหายใจเอ่ยว่า “กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินร้ายกาจจริง!”
ผู้ดูแลร้านเฒ่าสบตากับคนงานน้อย คิดถึงคนผู้หนึ่งพร้อมกัน ในใจเริ่มไตร่ตรองพิจารณาตนเองขึ้นมาทันที ท่าทีของพวกเขาไม่ค่อยให้ความเคารพใต้เท้าเฮ่อหรือไม่
ซินโย่วก้าวออกมา “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
หลิวโจวเอี้ยวตัวหลบ “ท่านเจ้าของร้าน ท่านดู ร้านหนังสือตรงข้ามถูกกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินปิดร้านไปแล้ว”
ซินโย่วมองตามไปก็ได้แต่ตกใจ
คนร้ายตัวจริงก็คือท่านผิงอันที่ถูกร้านหนังสือหย่าซินไล่ออก ก็เท่ากับคดีฆ่าคนตายไม่ได้เกี่ยวข้องกับร้านหนังสือหย่าซิน ความผิดร้านหนังสือหย่าซินก็แค่ปล่อยข่าวลือสกปรก
เพียงแค่เท่านี้ไม่ควรถึงขั้นถูกปิดกิจการกระมัง ผู้ให้การหนุนหลังร้านหนังสือหย่าซินก็เป็นตระกูลขุนนางรากฐานหลายปีในเมืองหลวง
ซินโย่วครุ่นคิดคาดเดารวดเร็ว หรือใต้เท้าเฮ่อนำเรื่องเกี่ยวกับคดีนี้ขึ้นกราบทูลฮ่องเต้
หากเป็นเช่นนี้ก็จะอธิบายเรื่องนี้ได้
“เข้าไปข้างในกันเถอะ” ซินโย่วเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ หันหลังเดินกลับเข้าร้านหนังสือ
ผู้ดูแลร้านหูก็ตามเข้าไป ทิ้งหลิวโจวเขย่งเท้ามองดูคนมุงต่อ
ไม่นานหลิวโจวก็เข้ามา เอ่ยอย่างเสียใจว่า “คนมามุงกันเต็มไปหมด มองไม่เห็นอันใดเลย”
ด้านนอกมีเสียงดังมากตะโกนขึ้นว่า “ระวังหน่อย อย่าปาไข่เน่าไปโดนแผ่นกระดาษผนึกปิดร้าน!”
เหตุใดยังมีปาไข่เน่าอีก
หลิวโจวรีบพุ่งออกไปแล้ว ไม่นานก็กลับมารายงาน “คนไม่น้อยได้ยินว่า ข่าวลือผีร้ายทำร้ายผู้คนมาจากร้านหนังสือหย่าซิน รู้สึกปวดใจที่เผาหนังสือทิ้งไป จึงได้นำไข่เน่าผักเน่ามาคิดบัญชี!”
ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพร้านหนังสือหย่าซินถูกทางการปิด
“ร้านหนังสือหย่าซินดูท่าจบสิ้นแล้วจริงๆ” หลิวโจวถอนหายใจ หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดชั้นหนังสือเบิกบานใจ
จิ้งจอกโศกาเพราะกระต่ายตาย? ไม่มีเสียหรอก
ตั้งแต่ฝั่งตรงข้ามมาเปิดร้านหนังสือ ก็ส่งผลกระทบต่อร้านหนังสือพวกเขามาตลอด ที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือเกือบต้องปิดร้าน โชคดีที่มีเจ้าของร้านมา
ผู้ดูแลร้านหูเองก็คิดเช่นนี้ แววตาที่มองซินโย่วเต็มไปด้วยความอารีของผู้ใหญ่ใจดี และยังมีความเลื่อมใสชื่นชม
“ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าของร้านคาดการณ์ไว้เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”
มิน่าเจ้าของร้านหนังสือหย่าซินมาขอขมา นางจึงได้ไม่ค่อยสนใจปล่อยผ่านไป
ยามนี้ดีเลย วันหน้าไม่มีร้านหนังสือหย่าซินเป็นคู่แข่ง ยังได้มาหกร้อยตำลึงเปล่าๆ
“ท่านคิดมากไปแล้ว ไม่มีเรื่องเช่นนี้”
ผู้ดูแลร้านหูหัวเราะเหอๆ ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ
ท่านผิงอันนับว่าเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองหลวง โดยเฉพาะก่อนท่านซงหลิงปรากฏตัวขึ้น เขาได้รับความชื่นชมยกย่องจากคนมากมาย แต่พอคดีกระจ่าง ผู้คนก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กระหน่ำ
พริบตาทุกหนทุกแห่งก็คุยกันแต่เรื่องคดีท่านผิงอันฆ่าขอทาน และอย่างไรก็ต้องเอ่ยถึงร้านหนังสือชิงซงกับคุณหนูโค่ว
องค์หญิงใหญ่เจาหยางกำลังทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลบุตรีที่ตกใจจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมา ได้ยินข่าวก็ให้พ่อบ้านไปสอบถาม
พ่อบ้านสอบถามได้ความมาอย่างรวดเร็ว รายงานต่อองค์หญิงใหญ่เจาหยางอย่างละเอียด
ความสนใจขององค์หญิงใหญ่เจาหยางต่างจากผู้คนที่สนใจกันแต่เรื่องท่านผิงอันฆ่าคน ร้านหนังสือหย่าซินเล่นสกปรกจนถูกปิดร้าน แต่กลับไปอยู่ที่กองบัญชาการปัญจทิศรักษาเมืองหลวงตะวันออกไปหาเรื่องร้านหนังสือชิงซง
นางไม่รู้เรื่องที่พระสนมซูเฟยโมโหเดือดดาล คิดว่าเป็นจวนกู้ชางป๋อ
เรื่องนี้ทำให้นางไม่พอใจเข้าวังไปขอความเป็นธรรม ผู้ที่ทำให้บุตรชายพวกเขาถูกโบยต่อหน้าสาธารณชนก็คือนาง ไม่กล้ามาเอาเรื่องนาง แต่กลับไปหาเรื่องคุณหนูโค่ว หญิงสาวที่มีบุญคุณช่วยบุตรีนางไว้หรือ
“ไร้เหตุผลสิ้นดี!” องค์หญิงใหญ่เจาหยางยิ่งคิดก็ยิ่งเดือดดาล “ไปตามคุณชายใหญ่มา”
คุณชายใหญ่ข่งรุ่ยปกติไม่ได้อยู่ในจวนองค์หญิงใหญ่ แต่อยู่ที่จวนจิ้งอันโหวที่ไม่ไกลจากจวนองค์หญิงใหญ่นัก
ตอนราชวงศ์ต้าซย่าก่อตั้งแผ่นดินขึ้นมา ราชบุตรเขยองค์หญิงใหญ่ได้รับแต่งตั้งเป็นจิ้งอันโหว หลังจากจากไปบรรดาศักดิ์ก็ย่อมสืบทอดไปที่ข่งรุ่ย
ข่งรุ่ยยังไม่ได้วัยสวมกวนก็ได้เป็นท่านโหวแล้ว แต่คนจวนองค์หญิงใหญ่ยังชินกับการเรียกเขาว่าคุณชายใหญ่
ไม่นานข่งรุ่ยก็มาถึง
“ท่านแม่หาข้าหรือ”
พอได้เห็นบุตรชายท่าทางเรียบร้อยสุขุม องค์หญิงใหญ่เจาหยางก็ถามขึ้นว่า “รุ่ยเอ๋อร์ได้ยินเรื่องข้างนอกไหม”
ข่งรุ่ยส่ายหน้างุนงง
“มัวแต่หมกมุ่นกับของพวกนั้นอีกแล้วหรือ”
ข่งรุ่ยเผยรอยยิ้มใสซื่อให้มารดา
องค์หญิงใหญ่เจาหยางถอนหายใจ
นางกับสามีก็ปกติมาก เหตุใดบุตรชายแต่เล็กจนโตลุ่มหลงอยู่กับของประหลาดพวกนั้นไม่ยอมเลิกเช่นนี้
อย่างไรจวนโหวก็คงต้องการนายหญิงที่มีความสามารถสักคน
“แม่ไม่ห้ามเจ้าหมกมุ่นกับของพวกนั้น แต่ต้องรับรองความปลอดภัยของตัวเจ้าเองด้วย” องค์หญิงใหญ่เจาหยางกำชับอีกครั้ง
“บุตรชายทราบแล้ว”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางบอกจุดประสงค์ที่ตามตัวบุตรชายมา “เจ้านำคนไปร้านหนังสือชิงซง ซื้อ ‘วาดหนัง’ หนึ่งร้อยชุดกลับมา”
ทำเช่นนี้จะได้สนับสนุนคุณหนูโค่วและสร้างโอกาสให้บุตรชาย นับว่ายิงนัดเดียวได้นกสองตัว
ในความคิดองค์หญิงใหญ่เจาหยาง คุณหนูโค่วกล้าหาญช่วยคน ยังทำกิจการร้านหนังสือใหญ่โตด้วยความสามารถตนเอง ไม่ว่าพฤติกรรมหรือความสามารถ ล้วนเป็นตัวเลือกสะใภ้ที่เพียบพร้อมมาก
ส่วนเหตุใดไม่ไปขอหมั้นหมายที่จวนรองเจ้ากรม ย่อมเพราะหวังว่าหนุ่มสาวทั้งสองจะมีใจให้กันก่อน ไม่ใช่การฝืนใจบังคับ
“หนึ่งร้อยชุด?” ข่งรุ่ยคิดว่าฟังผิด
องค์หญิงใหญ่เจาหยางอมยิ้มพยักหน้า “ไปได้แล้ว นำคนไปขนหนังสือมากหน่อย”
ข่งรุ่ยรับคำสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ในใจรู้สึกสงสัย ไม่ใช่เพราะท่านแม่คงเห็นเขาวันๆ เอาแต่ค้นคว้าของพวกนั้นอยู่ในจวน จงใจหยอกเขาเล่นกระมัง
พอบุตรชายไปแล้ว องค์หญิงใหญ่เจาหยางก็หุบยิ้ม สั่งการพ่อบ้าน “รอข่งจางกลับมา ให้เขามาที่นี่หน่อย”
ข่งจางก็คือลุงใหญ่ของข่งรุ่ย สอบเคอจวี่ได้เป็นขุนนาง ตอนนี้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น
แต่ไรมาองค์หญิงใหญ่เจาหยางไม่ใช่คนที่ยอมทนให้ผู้ใดมารังแกกันได้ง่ายๆ ในเมื่อกู้ชางป๋อบงการหลานเขยไปหาเรื่องคุณหนูโค่ว เช่นนี้ก็อย่าได้โทษนางที่ต้องโต้กลับคืนอย่างไม่มีทางเลือก
ข่งรุ่ยนำคนงานสองคนเร่งไปยังร้านหนังสือชิงซง ระหว่างทางได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลายวันนี้จาก คนงาน
“กล่าวเช่นนี้ ตอนนี้ผู้คนไม่กล้าซื้อ ‘วาดหนัง’ กันหรือ?”
“น่าจะไม่กล้า แม้ว่าความจริงกระจ่าง แต่คิดแล้วก็ไม่สบายใจ” บ่าวคาดเดา
ขณะที่คุยกันก็มาถึงหน้าประตูร้านหนังสือชิงซง ก็เห็นแถวยาวไปถึงหน้าถนน
ข่งรุ่ยพบว่าในแถวถึงกับมีคนแต่งกายแบบบัณฑิตผู้มีความรู้ไม่น้อย
“ลูกค้าผู้มีเกียรติทุกท่าน หากต้องการซื้อ ‘วาดหนัง’ เชิญกลับไปได้ขอรับ ร้านเราไม่มีสินค้า หยุดพิมพ์ชั่วคราว” หลิวโจวโก่งคอประกาศ
ข่งรุ่ยมองดูคนงานทีหนึ่ง
คนงานสีหน้าเก้กัง รีบเข้าไปสอบถามความ
“ท่านลุง เหตุใดมีคนมากมายมาซื้อ ‘วาดหนัง’ กันหรือ”
“แค็กๆ เพียงแค่มาเดินเล่นเท่านั้น”
คนงานมุมปากกระตุก
แถวยาวขนาดนี้ บอกว่ามาเดินเล่นเท่านั้นหรือ
เห็นว่าถามคนอายุมากไม่ได้ความ คนงานก็ไปถามคนหนุ่มกว่าในแถวแทน
คนหนุ่มคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น “ได้ยินว่าเมิ่งจี้จิ่วมาซื้อ ‘วาดหนัง’ ข้าอยากรู้ก็เลยมาซื้อไปอ่านบ้าง”
ยามนี้เมิ่งจี้จิ่วกำลังอบรมหลานชาย
“เจ้าบัดซบ ข้าไปซื้อ ‘วาดหนัง’ หรือ ใครให้เจ้าปล่อยข่าว!”