สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 129 ปะทะกำแพง
ตอนที่ 129 ปะทะกำแพง
เสียงคำรามของไต้เจ๋อทำเอาซินโย่วปวดหัวตุบ พอหันไปสบตากับเฮ่อชิงเซียว ก็เห็นความสงสัยจากแววตาเขา จากนั้นก็กวาดตามองไต้เจ๋อทันที เผยแววตาเข้าใจกระจ่างขึ้นมาหลายส่วน
ซินโย่วเก้กังอย่างมาก
ใต้เท้าเฮ่อคงมิใช่ดาวข่มนางกระมัง
ซินโย่วทำสีหน้าเหมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปเอ่ยว่า “ใต้เท้าเฮ่อ มีอันใดเข้าใจผิดหรือไม่”
เข้าใจผิด…
ในใจเฮ่อชิงเซียวพึมพำคำนี้ เข้าใจว่าคุณหนูโค่วไม่ต้องการให้เขานำตัวซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อไป
หมายความว่าอย่างไร
คิดโยงไปถึงซินโย่วให้ความสนใจจวนกู้ชางป๋อเป็นพิเศษ เฮ่อชิงเซียวก็จ้องมองไต้เจ๋อลุ่มลึก
ไต้เจ๋อคำรามข่มขู่ “ข้าขอเตือนเจ้า รีบปล่อยข้านะ ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องคลานไป!”
ซินโย่ว “…” แน่ใจแล้วว่าเจ้าหมอนี่โง่เง่าจริง
“จะต้องคลานไปหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่ไต้ซื่อจื่อกระทำการขัดขวางการทำงานของกองกำลังองครักษ์จิ่น หลิน บางทีข้าควรไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทสักครั้ง”
“เจ้า…” ได้ยินว่าเรื่องจะไปถึงเบื้องพระพักตร์ ไต้เจ๋อก็สะอึก
บั้นท้ายเขาเพิ่งหายดี ระยะนี้ไม่คิดปรากฏตัวต่อเบื้องพระพักตร์
เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยคิดอวดอ้างบารมีพยัคฆ์!
ไต้เจ๋อเงียบลง แต่ในใจก่นด่าเฮ่อชิงเซียว
เห็นเขายอมสงบลง เฮ่อชิงเซียวถามน้ำเสียงนิ่งเรียบขึ้นว่า “คุณชายไต้ เหตุใดจึงควบม้าบนท้องถนน”
ไต้เจ๋อมองไปทางซินโย่วด้วยสัญชาตญาณ เอ่ยตอบด้วยสีหน้าดำทะมึน “ถุงเงินข้าหล่นอยู่ที่ร้านหนังสือชิงซง รีบร้อนกลับมาเอาไม่ได้หรือ”
“เช่นนั้นก็ไม่ควรควบม้าทะยานบนท้องถนนที่มีผู้คนไปมาขวักไขว่ เพื่อเงินไม่กี่ตำลึง หากทำผู้อื่นบาดเจ็บถึงแก่ชีวิตจะทำเช่นไร”
ไต้เจ๋อเบ้ปาก
ทำผู้อื่นบาดเจ็บแล้วอย่างไร ก็แค่ชดใช้เงินไป ไยเจ้าต้องมายุ่งเรื่องชาวบ้านด้วย
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเป็นสุนัขดังคาด
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเฮ่อชิงเซียวไม่ใช่คนที่จะยอมเอาอกเอาใจเขาพวกนั้น ไต้เจ๋อก็ไม่คิดเสียเปรียบให้ผู้ใดตอนนี้จำต้องแสดงท่าทีอ่อนข้อ “ข้าไม่ได้ตั้งใจโดนเจ้า”
“เอาเช่นนี้แล้วกัน หากไม่ส่งผลกระทบต่อคดี ข้าก็จะไม่เอาเรื่องไต้ซื่อจื่อ แต่หากวันหน้าเกิดความยุ่งยาก ก็ได้แต่ขอเชิญตัวซื่อจื่อมาสักครา”
เฮ่อชิงเซียวพยักหน้าให้ลูกน้อง องครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายจึงปล่อยมือ
ไต้เจ๋อนวดแขนที่ถูกกดจนเจ็บเบาๆ พยายามระงับความวู่วามที่คิดจะด่าทอ
เขานับว่าตกใจ แต่พ้นภัยกระมัง
อยากจะให้เจ้าสุนัขนี่รีบไปให้พ้นๆ เขาจะได้หารือกับคุณหนูโค่วสักหน่อย
เฮ่อชิงเซียวเองก็คิดเช่นกัน
เขารีบมาร้านหนังสือชิงซง ก็เพราะคิดว่าซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อมาหาเรื่อง ตอนนี้ดูท่าเขาคิดมากเกินไปแล้ว
แท้จริงคุณหนูโค่วคิดทำอันใด
ทั้งสองต่างรออีกฝ่ายไป แต่ผู้ใดก็ล้วนไม่ยอมขยับ ในโถงร้านหนังสือพลันตกอยู่ในสภาวะเงียบงัน
ซินโย่วถูมือไปมา “คุณชายไต้ ในเมื่อหาถุงเงินพบแล้ว ควรกลับได้แล้วกระมัง”
“อา ใช่ ข้าควรกลับแล้ว” ไต้เจ๋อตบหน้าผาก ถลึงตาใส่เฮ่อชิงเซียวก่อนจะก้าวออกไป
พอเขาไปแล้ว บรรยากาศร้านหนังสือก็ผ่อนคลายลง มีเพียงซินโย่วที่เริ่มปวดหัวว่าจะรับมือกับความสงสัยของใต้เท้าเฮ่ออย่างไร
เขาจะต้องถามนางอย่างแน่นอนว่า เหตุใดจึงเข้าใกล้ซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อ แท้จริงมีเป้าหมายใดต่อจวนกู้ชางป๋อ
พอซินโย่วคิดเช่นนี้ก็รู้ว่าล้วนเป็นคำถามที่นางไม่อาจตอบได้
เฮ่อชิงเซียวก้าวขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง “คุณหนูโค่ว”
“เอ่อ… ใต้เท้าเฮ่อจะไปดื่มน้ำชาที่ห้องรับรองหรือไม่”
“ไม่ล่ะ ยังมีงานที่ต้องทำ”
คำตอบนี้ทำเอาซินโย่วนิ่งอึ้งไปทันที
ถึงกับไม่ถามนาง?
เฮ่อชิงเซียวมองความสงสัยของซินโย่วออก แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย “ซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อเป็นคุณชายเสเพลตระกูลมากอิทธิพลบารมี ดูเหมือนความคิดเรียบง่าย แต่ไม่เข้าใจธรรมเนียม ทันทีที่นิสัยชั่วร้ายระเบิดออกมาก็ย่อมร้ายกาจยิ่ง คุณหนูโค่วสมาคมกับเขาต้องระวังให้มาก”
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เฮ่อชิงเซียวยิ้มหันหลังจากไป
พริบตาร้านหนังสือก็ว่างเปล่า หลิวโจวตะกายอยู่ที่กรอบประตูมองตามไปอย่างไม่เข้าใจ “ใต้เท้าเฮ่อระยะนี้งานยุ่งมากหรือ ไม่มาอ่านหนังสือเลย”
ซินโย่วเดินออกมา มองไปยังร่างสูงที่ไกลออกไปเรื่อยๆ บนท้องถนนเงียบๆ
ตั้งแต่ได้สนทนากับน้ากุ้ยในวันนั้น ใต้เท้าเฮ่อคล้ายว่าแปลกไป
พอไต้เจ๋อกลับถึงจวน ก็ถูกฮูหยินกู้ชางป๋อเรียกตัวไป
“ท่านแม่ ท่านหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
ฮูหยินกู้ชางป๋อประเมินมองบุตรชาย เห็นว่าไม่ได้บาดเจ็บที่ใด ก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก “เหตุใดอยู่ๆ ขี่ม้าออกไป”
ไต้เจ๋ออ้างคำพูดที่อ้างกับเฮ่อชิงเซียว “ข้าพบว่าถุงเงินหาย”
ฮูหยินกู้ชางป๋อขมวดคิ้ว “จะสักเท่าไรกัน วันหน้าห้ามวู่วามเช่นนี้อีก เกิดหกล้มบาดเจ็บจะทำอย่างไร”
“ทราบแล้วขอรับ” ไต้เจ๋อฟังแล้วรู้สึกรำคาญ กลอกตาคิดลองถามดู “ท่านแม่ เดือนสี่เดือนห้า คนในตระกูลเรามีคนออกจากจวนไปไกลหน่อยบ้างไหม”
“เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม”
ไต้เจ๋อก่อเรื่องจนชิน อ้าปากก็เอ่ยวาจาเหลวไหลทันที “ข้าได้อ่านบันทึกการเดินทางที่ต่างๆ เล่มหนึ่ง น่าสนใจมาก จึงอยากถามคนที่เคยไป”
ฮูหยินกู้ชางป๋อตกใจ “เจ๋อเอ๋อร์ เจ้าถึงกับอ่านหนังสือหรือ”
นี่เป็นบุตรชายนางที่เข้าใกล้สำนักศึกษาก็อาเจียนคนเดิมหรือ
“บันทึกการเดินทาง เป็นบันทึกการเดินทาง” ไต้เจ๋อเน้นย้ำท่าทางหนักแน่น “บันทึกการเดินทางก็มิใช่หนังสือเสียหน่อย”
เหตุผลนี้พอกล่อมให้ฮูหยินกู้ชางป๋อเชื่อได้บ้าง ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ตระกูลเรามีกิจการในพื้นที่ต่างๆ ไม่น้อย มักมีคนไปตรวจบัญชีและกิจการบ้าง เจ้าถามเช่นนี้ ตอนนี้แม่นึกไม่ออก ไว้ค่อยถามพ่อบ้านที่ดูแลเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
ไต้เจ๋อได้ยินก็โบกมือ “ก็เพียงแค่ถามไปอย่างนั้น ท่านแม่ไม่รู้ก็แล้วไป ไม่จำเป็นต้องตั้งใจไปถาม”
ฮูหยินกู้ชางป๋อไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับอารมณ์แปรปรวนไปมาของบุตรชาย “เช่นนั้นเจ้ารีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า วิ่งมาจนเหงื่อออกไปหมด อย่าได้เป็นหวัดเอา”
พอไต้เจ๋อไปแล้ว ฮูหยินกู้ชางป๋อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกมีปัญหา
หากนางจำไม่ผิด หลายวันก่อนบุตรชายยังนำนิยายกลับมา ตอนนี้ถึงกับอ่านบันทึกการเดินทาง อีกสองสามวันคงมิใช่อ่านสี่ตำราห้าคัมภีร์[1]หรอกนะ
คงไม่ใช่เพราะถูกโบยไปจนมารร้ายสิงร่างกระมัง
ฮูหยินกู้ชางป๋อตามตัวบ่าวติดตามไต้เจ๋อมาคนหนึ่ง ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างละเอียด
บ่าวคนนี้เป็นบ่าวที่ฮูหยินกู้ชางป๋อตั้งใจคัดเลือกให้ติดตามบุตรชาย ย่อมไม่กล้าปิดบังนายหญิง
“สองครั้งที่ออกไปล้วนไปร้านหนังสือชิงซงหาคุณหนูโค่ว?” ฮูหยินกู้ชางป๋อได้ยิน ในใจก็พอรู้แล้ว
ไม่ใช่มารร้ายสิง แต่นิสัยเดิมๆ กำเริบ ติดใจบุปผาริมทางเข้าแล้ว
ไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อก่อนไปก่อเรื่องกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไป เสียเงินเล็กน้อยก็จบเรื่องได้ แต่คุณหนูโค่วผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นหลานสาวของรองเจ้ากรมพระราชยานหลวง ยังรู้จักองค์หญิงใหญ่เจาหยาง ไม่อาจมีเรื่องเกี่ยวข้องกับนางได้อย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเกรงว่าคงได้แต่ต้องแต่งเข้าตระกูล
คืนนั้นฮูหยินกู้ชางป๋อก็เอ่ยกับกู้ชางป๋อ
กู้ชางป๋อได้ยินพลันขมวดคิ้วแน่น “ฮูหยินกังวลได้ถูกต้องแล้ว พระสนมไม่ชอบคุณหนูโค่วอย่างมาก พวกเราอย่าได้ทำให้พระสนมไม่พอพระทัยจะดีกว่า”
เดิมรู้สึกว่าคุณหนูโค่วก็พอได้ แต่พระสนมไม่ชอบก็แล้วไปดีกว่า
ฮูหยินกู้ชางป๋อได้ยินก็โมโหขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นางเป็นคนเลือกสะใภ้ ไม่ใช่พระสนมในวังเลือก ในใจของท่านป๋อ ผู้ใดล้วนไม่มีความสำคัญไปกว่าน้องสาวที่เป็นพระสนม
“เจ้าลูกคนนี้ช่างไร้ธรรมเนียมไร้ความยำเกรง ในเมื่อไม่คิดแต่งคุณหนูโค่ว ฮูหยินก็รีบเฟ้นหาตระกูลที่เหมาะสมให้เร็วไว จะได้ไม่เกิดเรื่อง”
ได้รับคำสั่งจากกู้ชางป๋อมาแล้ว ฮูหยินกู้ชางป๋อก็นัดดื่มน้ำชากับบรรดาฮูหยินตระกูลต่างๆ ต่อเนื่อง ปรากฏว่าไม่สำเร็จสักตระกูล พอเอ่ยถึงไต้เจ๋อ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา
[1] สี่คัมภีร์และห้าตำราในสำนักลัทธิขงจื่อที่บัณฑิตต้องศึกษาเพื่อเตรียมตัวสอบรับราชการ