สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 139 ค่าตอบแทนของใต้เท้าเฮ่อ
ตอนที่ 139 ค่าตอบแทนของใต้เท้าเฮ่อ
หลิวโจวหัวไวปากหวาน ไม่นานก็ถามได้ว่าจวนฉางเล่อโหวอยู่ที่ใด ไปถึงหน้าประตูก็ได้พบกับน้ากุ้ยถือตะกร้าออกมาพอดี
พอเห็นหลิวโจว ปฏิกิริยาแรกของน้ากุ้ยก็คือรีบหลบ ไม่อาจให้คนงานร้านหนังสือเห็นว่านางเป็นคนของจวนฉางเล่อโหว
ทำอย่างไรได้ หลิวโจวเป็นคนตาไว “เอ๋ ท่านไม่ใช่ท่านน้าที่ไปร้านหนังสือวันนั้นหรือ”
น้ากุ้ยหันมาด้วยท่าทางตัวแข็งทื่อ ยืนยันหน้าเป็นเอ่ยปฏิเสธ “เจ้าจำคนผิดแล้ว…”
“เป็นไปไม่ได้!” หลิวโจวน้ำเสียงมั่นใจ “วันนั้นท่านยังซื้อบันทึกการเดินทางไปเล่มหนึ่งด้วยไม่ใช่หรือ ต่อมานำขนมมาให้เจ้าของร้านเรา ชื่อขนมยังไพเราะมาก ชื่อซู…ใช่แล้ว ขนมซูหวงตู๋!”
เอ่ยถึงตรงนี้ หลิวโจวก็ดีใจ “ทุกวันร้านหนังสือมีลูกค้าไม่น้อย ข้าไม่แน่ว่าจะจำได้ แต่ขนมซูหวงตู๋ที่ท่านน้าทำอร่อยมาก วันนั้นเจ้าของร้านเราเหลือสองชิ้น พอดีมีลูกค้าคนสำคัญมา ตอนข้าเก็บจาน ลูกค้าผู้นั้นก็ขอลองชิม”
น้ากุ้ยรู้สึกราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ถามขึ้นด้วยท่าทางเหมือนฝันไปว่า “ลูกค้าผู้นั้นคือ…”
หลิวโจวกวาดตามองป้ายหน้าชื่อเหนือประตูจวนฉางเล่อโหว ในใจก็คิดว่าท่านน้าท่านนี้น่าจะเป็นคนครอบครัวเดียวกับใต้เท้าเฮ่อ ก็ไม่ต้องช่วยใต้เท้าเฮ่อปิดบังแล้ว “ก็คือใต้เท้าเฮ่ออย่างไรเล่า”
น้ากุ้ย “!”
“ท่านน้า ท่านน้าเป็นอันใดไปหรือ”
น้ากุ้ยกดหน้าอก เผยรอยยิ้มเฝื่อน “น้าไม่เป็นอันใด…”
ตายแล้ว นางทำอาหารให้ท่านโหวมากมายหลายครั้ง แต่ไรมาไม่เคยพบว่าเขาเป็นคนตะกละเช่นนี้!
น้ากุ้ยคิดถึงภาพเฮ่อชิงเซียวไปขอขนมคุณหนูโค่วกิน ก็รู้สึกหายใจติดขัด
“ท่านน้า ข้าว่าท่านเหมือนไม่ค่อยสบาย ไม่เป็นอันใดจริงหรือขอรับ ท่านเป็นคนจวนฉางเล่อโหว ข้าเข้าไปส่งท่านดีกว่า พอดีข้ามีธุระกับใต้เท้าเฮ่อ…”
น้ากุ้ยได้ยินว่าคนงานมาหาเฮ่อชิงเซียวก็รีบสงบท่าที “เจ้ามาหาท่านโหว?”
“ใช่ เจ้าของร้านเรามีเรื่องขอพบใต้เท้าเฮ่อ ให้เขาไปร้านหนังสือสักครั้ง ไม่รู้ใต้เท้าเฮ่ออยู่จวนหรือไม่” หลิวโจวรู้สึกว่าตนเองโชคดีไม่เลว ได้พบท่านน้าที่นี่ จะได้ไม่ต้องไปพูดกับคนเฝ้าประตูจวนโหวให้มากความ
คนเฝ้าประตูจวนยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่แน่อาจดูแคลนผู้อื่น
“ท่านโหวอยู่” น้ากุ้ยรีบตอบ
ออกจากบ้านต้องใช้เงินไหมเล่า
หลิวโจวคลี่ยิ้มกว้างทันที “เช่นนั้นรบกวนท่านน้าไปแจ้งสักหน่อยขอรับ เจ้าของร้านเรารออยู่ที่ร้านหนังสือ เร่งด่วนมาก ข้าช่วยท่านน้าถือตะกร้า”
“ไม่ต้องๆ”
“ข้าเอง ข้าแรงเยอะ…” หลิวโจวเข้าไปแย่งตะกร้าจากมือน้ากุ้ยมา ตะกร้าหนักเกือบร่วง
น้ากุ้ยคว้ากลับมาถือไม่ให้ร่วงลงไป “ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้อง”
นางทำงานอยู่หน้าเตามานาน แรงกำลังมากกว่าคนงานหน้าตาบอบบางเป็นแน่
หลิวโจวเก้กังอย่างมาก
ท่านน้าท่านนี้แต่งกายเรียบร้อย ใบหน้าขาวผ่อง เหตุใดจึงแรงเยอะเช่นนี้
มาคิดดู นางออกมาจากจวนฉางเล่อโหว ก็รู้สึกว่าไม่แปลก อย่างไรใต้เท้าเฮ่อก็ไม่เหมือนท่านโหวทั่วไป
น้ากุ้ยพาหลิวโจวเข้าไปในจวน ให้เขาไปนั่งรอที่โถงกลาง ก่อนวางตะกร้าไปตามเฮ่อชิงเซียว
เฮ่อชิงเซียวกำลังอ่านจดหมายอยู่ในห้องหนังสือ
นี่คือจดหมายลับมาจากทางใต้
เสียงเคาะประตูดังขึ้น “ท่านโหว…”
เฮ่อชิงเซียวเก็บจดหมายลับเสร็จก็เดินไปเปิดประตู “น้ากุ้ย มาข้ามีธุระหรือ”
ห้องหนังสือนี้เป็นที่ทำงานในจวนของเขา ปกติมีคนเฝ้าอยู่ด้านนอกตลอดเวลา มีเพียงน้ากุ้ยที่เข้ามาได้
“คนงานร้านหนังสือชิงซงมา บอกว่าคุณหนูโค่วมีธุระต้องการพบท่านโหวเจ้าค่ะ”
เฮ่อชิงเซียวเดินไปพลางถามขึ้นว่า “เขาอยู่ที่ใด”
“รออยู่ที่โถงด้านหน้า”
เห็นเฮ่อชิงเซียวก้าวเท้าออกไปทันที น้ากุ้ยก็รีบไล่ตามไป “ท่านโหว…”
“เป็นอันใดไปหรือ น้ากุ้ย?”
พอเห็นชายหนุ่มนุ่มนวลสุภาพ คำพูดมากมายของน้ากุ้ยได้แต่อัดอั้นไว้ในใจ “ไม่มีอันใด ท่านโหวรีบไปเถอะ”
คิดอย่างไรก็คิดภาพไม่ออกว่าต่อหน้าคุณหนูโค่ว ท่านโหวแสดงท่าทีอย่างไร!
หลิวโจวนั่งอยู่ในห้องโถงหน้าประตูรอคอยอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ได้ดื่มน้ำชาที่วางอยู่ตรงหน้าแม้สักคำ พอเห็นเฮ่อชิงเซียวเข้ามาก็รีบลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าเฮ่อ”
“ไปกันเถอะ” เฮ่อชิงเซียวเอ่ยรวบรัด ไม่เอ่ยอันใดมาก
ทั้งสองคนเดินตามกันออกจากโถงหน้าประตู น้ากุ้ยทำเป็นไม่เห็นสายตาอยากรู้ของคนเฝ้าประตู ยกตะกร้าเดินไปด้านหลัง
ผ้าที่ปิดบนตะกร้าเปิดออก ด้านในเป็นสุราองุ่นหมักเรียบร้อยแล้วไหหนึ่ง
วันนี้นางคิดออกจากบ้าน เพื่อจะนำสุราหมักเสร็จแล้วไปร้านหนังสือชิงซงให้คุณหนูโค่วชิม ตอนนี้ได้แต่แล้วไปแล้วดีกว่า ในใจภาวนาขอท่านโหวอย่าได้ทำอะไรประหลาดอีก
“ท่านเจ้าของร้าน ใต้เท้าเฮ่อมาแล้วขอรับ”
ซินโย่วเดินออกมาจากห้องรับรอง มองไปทางชายหนุ่มที่เดินเข้ามา
เพราะเป็นวันหยุดพัก ปกติเฮ่อชิงเซียวสวมชุดแดง แต่วันนี้สวมชุดสีฟ้าคราม สีอ่อนกลับยิ่งขับให้ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ดุจไข่มุกส่องประกายวาววับจับตา
ซินโย่วรู้ว่าตนเองมิใช่คนให้ความสำคัญกับหน้าตา แต่พอได้เห็นเฮ่อชิงเซียวก็มักจะชื่นชมอยู่ในใจ นางเข้าใจแล้ว ที่นางไม่สนใจหน้าตาภายนอก เพราะเมื่อก่อนคนที่ได้พบไม่ได้รูปงามเหมือนใต้เท้าเฮ่อ
“คุณหนูโค่ว” เฮ่อชิงเซียวทักทายด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่ในใจมิได้นิ่งสุขุมดังเช่นที่สีหน้าแสดงออก
ซินโย่วยิ้มรับคำ เชิญเขาเข้าไปในห้องรับรอง
เฮ่อชิงเซียวกวาดตามอง ของที่ตั้งวางมิได้เปลี่ยนแปลง มีเพียงบนโต๊ะมีของกินพร้อมบริบูรณ์กว่าปกติ
ยามนี้พลันทำให้เขาเกิดความรู้สึกคิดไปเองว่า ของกินในห้องรับรองเหล่านี้คงมิใช่ว่าคุณหนูโค่วตั้งใจเตรียมไว้ให้เขากระมัง
เฮ่อชิงเซียวระงับความคิดคาดเดาเหลวไหลนี้ลงไป แล้วถามน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นว่า “คุณหนูโค่ว ต้องการพบข้ามีธุระอันใดหรือ”
ซินโย่วขยับตัวดันกล่องของกินไปทางเขา “ข้าอยากขอความช่วยเหลือใต้เท้าเฮ่อ ไม่ทราบว่าใต้เท้าเฮ่อพรุ่งนี้มีเวลาหรือไม่”
“ระยะนี้ที่ทำการมีงานตามปกติ แต่พอมีเวลาอยู่บ้าง คุณหนูโค่วต้องการให้ช่วยเหลืออันใดหรือ”
“เจรจาการค้าก้อนใหญ่สำเร็จมาก้อนหนึ่ง แต่ข้าเป็นห่วงว่าจะถูกคนจับจ้อง คิดขอให้ใต้เท้าเฮ่อช่วยข้าคุมสักหน่อย รอให้เสร็จงาน ก็จะมอบค่าตอบแทนให้ใต้เท้าเฮ่อหนึ่งส่วน[1]เจ้าค่ะ”
หนึ่งส่วนของหกแสนตำลึงก็คือหกหมื่นตำลึง ไม่น้อยจริงๆ แต่ซินโย่วคิดว่าสมควรให้
ตั้งแต่นางรู้จักใต้เท้าเฮ่อมา ได้รับความช่วยเหลือจากเขามาหลายครั้ง แม้ว่าเงินเหล่านี้เป็นของโค่วชิง ชิง แม้คนที่ได้รับความช่วยเหลือคือนาง แต่นางทำงานราบรื่นได้ ความจริงก็ถือว่าได้ช่วยโค่วชิงชิง คิดว่าคุณหนูโค่วในปรภพได้รู้ก็คงยินดี
และ…ซินโย่วมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้านิ่งลึก
ใต้เท้าเฮ่อได้เงินค่าตอบแทนก้อนโตนี้ไป นางก็ถือว่าได้ตอบแทนน้ำใจแล้ว เรียกได้ว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
เฮ่อชิงเซียวได้ยินซินโย่วเอ่ยก็ส่ายหน้าเล็กน้อย “ช่วยคุณหนูโค่วคุมสถานการณ์ย่อมไม่มีปัญหา ค่าตอบแทนก็มิต้อง”
“หากใต้เท้าเฮ่อทำเช่นนี้ วันหน้าข้าจะกล้าไปขอความช่วยเหลือจากท่านได้อย่างไรเจ้าคะ”
เฮ่อชิงเซียวมองแววตาเด็ดเดี่ยวของสาวน้อยออก ได้แต่รับคำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็ขอน้อมรับไว้แล้ว แต่สิบละหนึ่งมากเกินไป ร้อยละหนึ่งก็พอ”
คุณหนูโค่วกล่าวถึงการค้าใหญ่ เกรงว่าอย่างมากก็ต้องราวหลักหมื่นตำลึง ร้อยละสิบก็คือหลักพันตำลึง เขาไม่อาจรับเงินทองมากมายเช่นนี้ แต่หากเป็นร้อยละหนึ่งก็ราวร้อยตำลึง ในเมื่อรับแล้วทำให้คุณหนูโค่วสบายใจ เช่นนั้นก็รับไว้ก็แล้วกัน
“ร้อยละหนึ่ง…” ซินโย่วลังเล
“มากกว่านี้ คุณหนูโค่วก็ไม่เห็นข้าเป็นสหายแล้ว”
ซินโย่วฝืนพยักหน้า “ก็ได้เจ้าค่ะ”
[1] จีนจะแบ่งสัดส่วนเป็นสิบส่วน หนึ่งส่วนก็เท่ากับร้อยละ 10