สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 142 ใต้เท้าเฮ่อตาค้าง
ตอนที่ 142 ใต้เท้าเฮ่อตาค้าง
คุณหนูโค่วไปนำสมบัติจากบ้านยายตนกลับบ้านตนเองหรือนี่
หลังจากคุณหนูโค่วออกมาเปิดร้านหนังสือ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จวนรองเจ้ากรมก็เปลี่ยนไปมาไม่หยุด เฮ่อชิงเซียวรู้กระจ่างใจถึงแผนการของจวนรองเจ้ากรมมาโดยตลอด
เฮ่อชิงเซียวเดินเข้าไปร้านรับฝากเงินจิ่นเซิงพร้อมกับการคาดเดานี้
พอผู้ดูแลร้านรับฝากเงินจิ่นเซิงเห็นรองเจ้ากรมต้วน ก็รีบให้คนงานยกน้ำชามา
“ผู้ดูแลร้าน ข้าพาหลานสาวมาคุยธุระสักหน่อย”
ผู้ดูแลร้านมองซินโย่วอย่างแปลกใจ เชิญทั้งสองคนไปคุยที่ห้องรับรองส่วนตัว
ซินโย่วรับห่อผ้าจากมือเฮ่อชิงเซียวมาแล้วก็เดินตามหลังรองเจ้ากรมต้วนเข้าไป
เฮ่อชิงเซียวดื่มน้ำชารออยู่ข้างนอกเงียบๆ
“เมื่อวานก่อนมาเบิกเงิน ผู้ดูแลร้านบอกว่าพรุ่งนี้จึงจะเบิกได้” รองเจ้ากรมต้วนเอ่ยขึ้นก่อน
ผู้ดูแลร้านสีหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม “ใช่ กฎของร้านรับฝากเงินเรา เบิกถอนก้อนโตห้าหมื่นขึ้นไปอย่างน้อยต้องล่วงหน้าสองวัน”
เงินฝากหนึ่งแสนตำลึงไม่ว่าฝากไว้ร้านรับฝากเงินใดล้วนเป็นเงินก้อนโต ผู้ดูแลร้านไม่กล้าเสียมารยาทต่อเทพเจ้าเงินตราตรงหน้า
รองเจ้ากรมต้วนมองซินโย่วทีหนึ่ง “ตราประทับร้านท่าน ข้ามอบให้หลานสาวไปแล้ว วันนี้พานางมาจัดการให้เรียบร้อย”
ผู้ดูแลร้านมองไปทางซินโย่วด้วยแววตาตกใจ
ที่แท้ประเด็นหลักอยู่ตรงนี้!
ซินโย่วหยิบตราประทับออกจากถุงเงินติดตัวด้วยทีท่าสงบนิ่ง ส่งให้พร้อมกับเอ่ยว่า “ผู้ดูแลร้าน ตราประทับนี้เบิกถอนเงินหนึ่งแสนตำลึงจากร้านรับฝากเงินท่านได้จริงหรือ”
นางท่าทีนิ่งสงบเช่นนี้ แต่ผู้ดูแลร้านกลับไม่อาจนิ่งสงบได้
นี่มันตั้งหนึ่งแสนตำลึงเชียวนะ เก็บไว้ในถุงเงินง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
รองเจ้ากรมต้วนมุมปากกระตุกทีหนึ่ง เห็นสีหน้าผู้ดูแลร้านก็เข้าใจ
หากเจ้ารู้ว่าในห่อผ้าที่นางสะพายไว้ยังมีอีกสามแสนตำลึง ตั๋วแลกเงินกับสัญญากรรมสิทธิ์ร้านค้าอีก เกรงว่าคงเป็นลมแน่นิ่งไปแล้ว
ผู้ดูแลร้านรับตราประทับมาพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ขอเพียงเป็นตราประทับร้านเรา เขียนไว้เท่าไรก็เบิกได้เท่านั้น ไม่ขาดไม่เกินขอรับ”
“ข้ายังอยากฝากต่อ เปลี่ยนตราประทับใหม่ได้หรือไม่”
ผู้ดูแลร้านอึ้งไป อดมองไปทางรองเจ้ากรมต้วนไม่ได้
รองเจ้ากรมต้วนสีหน้านิ่งสงบ ในใจนึกแค่นเยาะนังเด็กควรตายนี่ช่างเอาเรื่องจริง
“ผู้ดูแลร้าน?”
“ได้ แน่นอนว่าได้! ไม่ทราบว่าคุณหนูคิดฝากเท่าไรขอรับ”
“ฝากอีกหนึ่งแสนตำลึง”
รองเจ้ากรมต้วนได้ยินก็นิ่งสงบไร้ปฏิกิริยา ผู้ดูแลร้านมองตาค้างไปแล้ว
ซินโย่วเปลี่ยนน้ำเสียง “เงินข้านำมาแล้ว แต่ตั๋วแลกเงินจากร้านรับฝากเงินอื่น ไม่รู้อย่างไร สามารถ…”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา คุณหนูโปรดรอสักครู่”
ถือโอกาสที่ผู้ดูแลร้านออกไป ซินโย่วเปิดห่อผ้า หยิบตั๋วแลกเงินหนึ่งแสนตำลึงออกจากกล่อง
รองเจ้ากรมต้วนมองอยู่ ได้แต่ขมวดคิ้วไม่ส่งเสียงอันใด
ตอนนี้เขาคิดเพียงอย่างเดียว ปล่อยให้นังเด็กนี่เอาเรื่องไปก่อน สุดท้ายเขาจะต้องยึดกลับคืนมาครอง
ไม่นานผู้ดูแลร้านก็เข้ามา ด้านหลังมีเจ้าหน้าที่ร้านผู้หนึ่งตามเข้ามา
เจ้าหน้าที่ร้านตรวจตราประทับกับตั๋วแลกเงินอย่างละเอียดแล้วก็พยักหน้าให้ผู้ดูแลร้าน
ผู้ดูแลร้านเผยรอยยิ้มสบายใจ “ข้าน้อยต้องขอบอกกล่าวคุณหนูสักหน่อย ฝากเงินไว้ที่ร้านเราต้องจ่ายค่าเก็บรักษาจำนวนหนึ่ง และหากฝากตั๋วแลกเงินร้านอื่นไว้ที่พวกเรา ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม…”
พูดตามตรงก็คือ พวกเราไม่รับตั๋วแลกเงินร้านอื่น เพียงแต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าของเงิน จึงไม่ปฏิเสธ เพราะเดี๋ยวก็ต้องนำตั๋วแลกเงินเหล่านี้ไปเปลี่ยนเป็นเงินก้อนทองก้อนกลับมา ดังนั้นจึงต้องจ่ายค่าธรรมเนียมดำเนินการ
ซินโย่วพยักหน้า “เรื่องพวกนี้ข้ารู้ดี และยอมรับได้”
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ซินโย่วก็ได้รับกล่องใบเล็กงานฝีมือประณีตมาใบหนึ่ง กล่องขนาดไม่ถึงฝ่ามือ ในนั้นก็คือตราประทับอันใหม่
ตราประทับคล้ายว่าไม่ได้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ เพียงแต่ด้านล่าง ‘สิบ’ เปลี่ยนเป็น ‘ยี่สิบ’
ซินโย่วเห็นเจ้าหน้าที่ร้านใช้ตราประทับประทับเก็บไว้ในสมุดเล่มหนึ่ง
ผู้ดูแลร้านเห็นนางมองอย่างสนใจ ก็อธิบายว่า “ตราประทับที่ออกจากร้านรับฝากเงินเราล้วนต้องประทับเก็บไว้ ลูกค้านำตราประทับมาเบิกถอนเงินก็จะได้นำมาเทียบลวดลาย”
ตราประทับที่มองดูแล้วเหมือนกัน แต่ลวดลายด้านล่างแต่ละตราล้วนแตกต่าง เป็นหลักฐานแยกแยะจริงเท็จที่สำคัญมาก
ซินโย่วพยักหน้า ไม่หยิบกล่องมา หากนำเพียงตราประทับหย่อนลงในถุงเงินง่ายๆ
ผู้ดูแลร้าน “…”
เจ้าหน้าที่ร้าน “…”
รองเจ้ากรมต้วนทนไม่ไหว เอ่ยเตือนว่า “ชิงชิง เช่นนี้จะหายเอาได้ง่าย”
ซินโย่วตบถุงเงิน “ไม่หรอกเจ้าค่ะ”
รองเจ้ากรมต้วนกำหมัดแน่น อัดอั้นจนปวดร้าวใจ
ผู้ดูแลร้านก็แล้วแต่เจ้าของ เดินออกมาส่งทั้งสองคน
เฮ่อชิงเซียวลุกขึ้นยืน
“ให้ท่านรอนานแล้วเจ้าค่ะ” ซินโย่วเดินไปยิ้มกว้างอย่างรู้สึกขอโทษให้เฮ่อชิงเซียว
ออกจากร้านรับฝากเงินจิ่นเซิง ซินโย่วไม่ได้ขึ้นรถม้า “ทำท่านลุงเสียเวลานาน รู้สึกเกรงใจจริงๆ เจ้าค่ะ”
รองเจ้ากรมต้วนเหลือบมองห่อผ้าซินโย่วทีหนึ่ง มีใจคิดถามว่าเงินที่เหลือนางคิดจัดการอย่างไร แต่วาจาไม่ทันได้เอ่ยออกไปเพราะนึกได้ว่ามีเฮ่อชิงเซียวอยู่ด้วย แล้วไปเสียดีกว่า
มองตามรองเจ้ากรมต้วนขึ้นรถม้าไปแล้ว ซินโย่วถามชายหนุ่มข้างๆ “ใต้เท้าเฮ่อ นอกจากร้านรับฝากเงินจิ่นเซิง ท่านรู้จักร้านรับฝากเงินไหนที่พอไว้ใจได้บ้างหรือไม่เจ้าคะ”
แม้เฮ่อชิงเซียวไม่มีเงินฝากร้านรับฝากเงิน แต่ร้านรับฝากเงินไหนไว้ใจได้เขาย่อมรู้ “ร้านรับฝากเงินเป่าอันมีทางการให้การรับรอง ค่อนข้างปลอดภัย”
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนใต้เท้าเฮ่อไปร้านรับฝากเงินเป่าอันกับข้าสักครั้งแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนูโค่วเกรงใจไปแล้ว”
ทั้งสองคนเดินมาถึงร้านรับฝากเงินเป่าอัน ยังคงเป็นซินโย่วเข้าไปในห้องรับรองกับผู้ดูแลร้าน เฮ่อชิงเซียวดื่มน้ำชารออยู่ด้านนอก
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ซินโย่วก็ถือถุงเงินที่มีตราประทับเพิ่มอีกหนึ่ง
จัดการเรื่องราวเหล่านี้เรียบร้อย ก็เลยเวลาอาหารไปแล้ว นำตราประทับมีค่าถึงสี่แสนตำลึงมาเดินไปเดินมาข้างนอกก็ไม่ค่อยปลอดภัยนัก ซินโย่วเชิญเฮ่อชิงเซียวไปกินข้าวที่ร้านหนังสือเสียเลย
หลังอาหาร ซินโย่วเชิญเฮ่อชิงเซียวนั่งสักครู่ เดินออกไปด้านนอกสั่งการเสี่ยวเหลียนนำตั๋วแลกเงินหกพันตำลึงที่เตรียมไว้แล้วออกมา ก่อนจะหันหลังออกไป
“วันนี้ลำบากใต้เท้าเฮ่อครึ่งค่อนวันแล้ว เกรงใจจริงๆ” ซินโย่วนำกล่องบรรจุตั๋วแลกเงินมามอบให้
ในราชวงศ์ต้าซย่า ค่าตอบแทนพวกนี้จะไม่เปิดต่อหน้าผู้ให้ เฮ่อชิงเซียวรับกล่องเล็กมาแล้วก็กลับที่ทำการ
จัดการการงานเรียบร้อย เขาจึงได้เปิดกล่องออกดูไปอย่างนั้น ในมือมีตั๋วแลกเงินปึกหนาก็นิ่งอึ้งไปทันที
หนึ่งร้อย สองร้อย สามร้อย…
ซินโย่วคิดถึงว่าใต้เท้าเฮ่อการเงินฝืด จึงตั้งใจไม่ได้ให้ตั๋วแลกเงินชนิดพันตำลึง
หกพันตำลึง!
เฮ่อชิงเซียวนับเสร็จ ก็ตาค้างตัวแข็งทื่อไปแล้ว
เป็นนานกว่าเขาจะเหมือนตื่นจากฝัน เก็บตั๋วแลกเงินรีบไล่ตามไปร้านหนังสือชิงซง
ยามนี้ซินโย่วเรียกผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจวไปที่เรือนตะวันออก
ผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจวล้วนกำลังตื่นเต้น
เรือนตะวันออกแยกเป็นเอกเทศ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเรือนพักเจ้าของร้าน…
ทั้งสองคนคาดเดาว่าซินโย่วเรียกพวกเขามามีจุดประสงค์ใด ต่างมีสีหน้าอึดอัด
“ผู้ดูแลร้าน ท่านวันๆ อยู่กับเงินทอง แยกแยะสีของเงินก้อนทองก้อนพอมีประสบการณ์กระมัง”
ผู้ดูแลร้านหูได้ยิน เคราก็กระดกทันที “แน่นอน ข้าน้อยเพียงแค่มองดูหน่อย ชั่งๆ หน่อย ก็แยกแยะได้ว่ามีสอดแทรกอันใดไว้ด้านในหรือไม่”
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ วันนี้เก็บเงินมาก้อนหนึ่ง อยากขอให้ผู้ดูแลร้านมาช่วยตรวจดูสักหน่อย”
ผู้ดูแลร้านหูรับปากทันที
“แล้วข้าน้อยเล่าขอรับ” หลิวโจวไม่รู้ตนเองมาทำอันใด
“เจ้ามาช่วยเป็นลูกมือผู้ดูแลร้าน”
หลิวโจวรับคำ “อ้อ” ในใจคิดว่าเขาคนไม่ต้องทำอันใดเท่าไร
ผู้ดูแลร้านหูเองก็รู้สึกว่าไม่ต้องการลูกมือ แต่เพราะเจ้าของร้านเอ่ยมาแล้ว จึงได้แต่เงียบไม่เอ่ยอันใด
ซินโย่วนำทั้งสองคนไปในห้องที่วางหีบไว้ พยักหน้าให้เสี่ยวเหลียน