สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 144 น้ากุ้ยคับแค้นใจ
ตอนที่ 144 น้ากุ้ยคับแค้นใจ
ซินโย่วไม่อ้อมค้อม “เสี่ยวเหลียน ตราประทับสองชิ้นนี้ ข้าอยากมอบให้เจ้า”
เสี่ยวเหลียนนิ่งอึ้งไปทันที “มอบ…มอบให้ข้า?”
ซินโย่วพยักหน้า
“ไม่ ไม่ ไม่…” เสี่ยวเหลียนตกใจผงะถอยหลังก้าวหนึ่ง คล้ายว่าที่อยู่ตรงหน้านางไม่ใช่ตราประทับสี่แสนตำลึง แต่เป็นสัตว์ร้ายพุ่งทะยานเข้าใส่
“คุณหนู นี่คือเงินสี่แสนตำลึงจะมอบให้บ่าวได้อย่างไรเจ้าคะ!”
ซินโย่วมองตราประทับ ถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เช่นนั้นเจ้ามีความคิดอย่างไร”
เดิมควรถามฟางหมัวมัว แต่ทำอย่างไรได้ ความลับสถานะนาง ไม่อาจแพร่งพรายตอนนี้
“ข้า…” เสี่ยวเหลียนอ้าปากแต่พูดไม่ออก
คุณหนูเคยถามคำถามนี้กับนางแล้ว ตอนนั้นนางนึกภาพไม่ออกว่าควรนำเงินก้อนโตมหาศาลไปทำอันใด
ตอนนี้ก็ยังคงนึกภาพไม่ออก
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง เสี่ยวเหลียนก็เสนอว่า “คุณหนู ตราประทับนี่ท่านเก็บรักษาไว้เถอะเจ้าค่ะ”
ซินโย่วส่ายหน้า “นี่คือสมบัติคุณหนูโค่ว”
เรื่องที่นางจะทำเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายที่ยังคาดเดาไม่ได้ เงินก้อนห้าหมื่นตำลึงกับร้านค้าสิบกว่าร้านที่อยู่ในมือตอนนี้ก็แล้วไป หากเป็นอันใดขึ้นมาจริงๆ อย่างไรก็ไม่อาจย่ำยีเงินทองสี่แสนของโค่วชิงชิง
“แต่คุณหนูเราจากไปแล้ว…” เสี่ยวเหลียนสีหน้าทำอันใดไม่ถูก “สมบัติจะมากมายอย่างไร คุณหนูก็ไม่ได้ใช้อีกแล้ว คุณหนูช่วยคุณหนูเราจัดการไม่ได้หรือ คุณหนูเป็นคนมีความสามารถที่สุดที่ข้าเคยพบมา…”
“ไม่ได้” ซินโย่วตบบ่าเสี่ยวเหลียน น้ำเสียงอ่อนโยนแต่กลับหนักแน่น “ข้ามีความสามารถหรือไม่ ไม่เกี่ยวข้องกับเงินก้อนนี้ หากคิดเช่นนี้ เช่นนั้นนายหญิงผู้เฒ่าอ้างว่าคุณหนูโค่วยังเด็ก กุมสมบัติตระกูลโค่วไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ก็ถูกต้องหรือ อย่างไรเทียบกับคุณหนูโค่วที่ยังอ่อนต่อโลก นายหญิงผู้เฒ่าก็มีความสามารถและประสบการณ์มากกว่ากระมัง”
เสี่ยวเหลียนถูกกล่อมจนคล้อยตามแล้ว แต่ใจยังคงลังเล “ความหมายของคุณหนูก็คือ ให้บ่าวจัดการเงินก้อนนี้”
“เจ้าติดตามคุณหนูโค่วมาแต่เล็กจนโต น่าจะเข้าใจคุณหนูโค่วที่สุด ข้าคิดว่า การจัดการของเจ้าก็จะเป็นสิ่งที่คุณหนูโค่วคาดหวังที่สุด”
เสี่ยวเหลียนได้ยินซินโย่วเอ่ยเช่นนี้ก็นิ่งเงียบไป เป็นนานกว่ายื่นมือออกไปรับตราประทับทั้งสองมา สูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง “คุณหนูเราสงสารพวกคนจนอ่อนแอที่สุด มีปีหนึ่ง มีชาวบ้านประสบภัยหนีความทุกข์ยากมา ได้ยินเรื่องนี้ก็เศร้าใจมาก นำเงินค่าขนมไปบริจาค คุณหนู บ่าวคิดดีแล้ว วันหน้าหากมีชาวบ้านประสบภัย เงินเหล่านี้ก็จะนำไปช่วยชาวบ้านเหล่านั้น”
“ดีมาก”
“แต่คุณหนู บ่าวคิดไม่ออกว่าควรซ่อนตราประทับทั้งสองนี่ไว้ที่ใด ท่านช่วยคิดหน่อยเจ้าค่ะ”
“ได้”
คืนนี้ทั้งสองคนแอบคุยกันอยู่นาน เสี่ยวเหลียนหาวหวอดก่อนออกไปนอนที่ห้องชั้นนอก
เฮ่อชิงเซียวออกจากที่ทำการกลับถึงจวนฉางเล่อโหว น้ากุ้ยก็ทำอาหารไว้รอแล้ว
“ท่านโหว เรื่องคุณหนูโค่วราบรื่นดีไหมเจ้าคะ”
อาหารหลักคืนนี้ก็คือเป็ดย่าง
เป็ดย่างจนเหลืองหั่นเป็นแผ่นบาง น้ากุ้ยใช้แผ่นแป้งใสห่อไว้ ก่อนจะใส่หอมซอย ทาซีอิ๊วสูตรลับ ยิ้มตาหยีส่งให้เฮ่อชิงเซียว
เมื่อวานคนงานร้านหนังสือมาหา ที่แท้คุณหนูโค่วมีธุระไหว้วานท่านโหวให้ช่วยเหลือ แม้น้ากุ้ยไม่รู้ว่าเรื่องอันใด แต่กลับใส่ใจเรื่องราวต่อจากนั้น
ในความคิดนาง ท่านโหวช่วยคุณหนูโค่วให้มากอีกหน่อย ไปๆ มาๆ ความสัมพันธ์ก็เกิดขึ้นเอง
“ราบรื่นมาก” เฮ่อชิงเซียวได้ยินน้ากุ้ยถาม สีหน้าก็แลดูประหลาดเล็กน้อย
น้ากุ้ยยิ้ม “ราบรื่นก็ดี ท่านโหวรีบมาชิมเป็ดย่าง รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
เฮ่อชิงเซียวกินไปสองคำก็พยักหน้า “อร่อย”
หลังอาหาร เฮ่อชิงเซียวเรียกน้ากุ้ยไว้ ส่งกล่องเล็กให้นาง
“นี่คืออันใดเจ้าคะ” น้ากุ้ยไม่ได้เตรียมใจก่อนเปิดกล่องเล็กออก พอเห็นตั๋วแลกเงินในนั้นก็สูดลมหายใจเฮือก “ท่านโหว เอาตั๋วแลกเงินมากมายเช่นนี้มาจากไหนกัน”
เฮ่อชิงเซียวหลบสายตาตกใจของน้ากุ้ย “คุณหนูโค่วให้ค่าตอบแทนแทนคำขอบคุณมา น้ากุ้ยช่วยข้าเก็บไว้หน่อย”
“ค่า ค่าตอบแทนแทนคำขอบคุณ” น้ากุ้ยสมองอื้ออึงไปหมด มือไม้สั่นจนกล่องเล็กแทบร่วง
นางค่อยๆ ก้มหน้าลงมองกล่องที่อัดแน่นไปด้วยปึกตั๋วแลกเงิน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มองไปทางเฮ่อชิงเซียว
“ท่านโหว ท่านช่วยงานคุณหนูโค่ว ยังรับค่าตอบแทนด้วยหรือเจ้าคะ”
เฮ่อชิงเซียวสีหน้าเก้กัง อธิบายว่า “คุณหนูโค่วจะให้ให้ได้”
น้ากุ้ยกุมขมับ ถามเสียงสั่นขึ้นว่า “ตรงนี้เท่าไรหรือ”
“หกพันตำลึง”
น้ากุ้ยมือสั่น ในสมองมีแต่ตั๋วแลกเงินบินไปมา หกพันตำลึง หกพันตำลึง หกพันตำลึง…
ท่านโหวช่วยงานคุณหนูโค่วทีหนึ่ง รับเงินคุณหนูมาหกพันตำลึง!
“น้ากุ้ย ท่านไม่เป็นอันใดกระมัง” เห็นน้ากุ้ยสีหน้าไม่ค่อยดี เฮ่อชิงเซียวถามอย่างห่วงใย
น้ากุ้ยมองชายหนุ่มที่นางดูแลมาแต่เล็กจนโตอย่างสิ้นหวัง มีเพียงความคิดเดียว เสียดายเป็ดย่าง!
น้ากุ้ยหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน วันต่อมาก็นำสุราองุ่นหมักกับขนมที่ทำเสร็จใหม่ไปร้านหนังสือชิงซง
“ท่านน้า” พอเห็นน้ากุ้ย หลิวโจวก็ทักทายอย่างกระตือรือร้น แต่กลับมีท่าทีเหมือนคนหมดแรง
น้ากุ้ยดูคนงานแล้วไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า ก็ถามอย่างห่วงใยขึ้นว่า “ไม่สบายหรือ”
“มิได้ขอรับ แค่ตาลายเท่านั้น” หลิวโจวมือยันโต๊ะเก็บเงินไว้ค่อยๆ เอ่ย
“ผู้ดูแลร้านพวกเจ้าล่ะ” น้ากุ้ยกวาดตามอง พบว่าผู้ดูแลร้านที่คอยเอาแต่กีดกันนางไม่อยู่
หลิวโจวขยี้ตา “ผู้ดูแลร้านปวดตา ยังไม่ตื่นขอรับ”
“เช่นนั้นก็ต้องไปหาหมอ เหตุใดอยู่ๆ ปวดตาขึ้นมาได้” น้ากุ้ยถามไถ่จบ ก็เอ่ยจุดประสงค์ที่มา “ข้าทำขนมมาให้คุณหนูโค่วลองชิม”
เอ่ยถึงตรงนี้นางก็รู้สึกเป็นห่วง “คุณหนูโค่วสบายดีกระมัง”
คงมิได้ตาเจ็บไปเหมือนกัน?
“ท่านเจ้าของร้านเราสบายดีอยู่ สือโถวไปบอกท่านเจ้าของร้านหน่อย ท่านน้าที่เคยนำขนมซูหวงตู๋มาให้มา”
เจ้าของร้านจะไม่สบายดีได้อย่างไร เงินก้อนขาววาววับห้าหมื่นตำลึง ล้วนโยนให้เขากับผู้ดูแลร้าน!
คนงานบ่นในใจ พลันได้กลิ่นหอมโชยมา
ภาพตรงหน้าก็คือขนมที่ขนาดเท่าปากแก้ว ขอบมีความกรอบ ตรงกลางขาวๆ นุ่มๆ เป็นลักษณะขนมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“มาๆ ชิมฝีมือน้ากุ้ยหน่อย” น้ากุ้ยหัวเราะเบาๆ
ขนมนี้แค่มองก็รู้ว่าอร่อยสุดๆ หากมัวเกรงใจก็โง่แล้ว หลิวโจวกล่าวขอบคุณ กัดเข้าไปคำโตทันที กินสองคำก็หมด อร่อยจนหลิวโจวอยากจะเป็นลม “ท่านน้า ขนมนี่ชื่ออะไรหรือ”
ท่านน้าธรรมดาที่ไหนกัน ท่านนี้คือท่านน้าแท้ๆ เลยก็ว่าได้!
น้ากุ้ยไม่ทันได้ตอบ ซินโย่วก็มาถึง “น้ากุ้ยมาหรือ”
“คุณหนูโค่ว” น้ากุ้ยชูตะกร้าในมือขึ้น “สุราหมักที่เอ่ยถึงครั้งก่อนเสร็จแล้ว ข้าเอามาให้คุณหนูลองชิม”
“น้ากุ้ย ตามข้าไปเรือนตะวันออกเถอะเจ้าค่ะ” ซินโย่วดีใจอย่างมากที่จะได้คุยกับน้ากุ้ย
น้ากุ้ยได้ยินก็แอบลอบถอนหายใจ
คุณหนูโค่วต้องรู้แน่ว่านางเป็นคนของท่านโหว ยังดูกระตือรือร้นต้อนรับนางเช่นนี้ ดูท่าท่านโหวพอกู้สถานการณ์ได้บ้างแล้ว
ก่อนตามซินโย่วไปถึงเรือนตะวันออก น้ากุ้ยยังหยิบขนมให้หลิวโจวกับสือโถวกิน
เรือนตะวันออกแบ่งออกเป็นด้านหน้ากับด้านหลัง ซินโย่วเชิญน้ากุ้ยไปที่เรือนบุปผาด้านหน้า
น้ากุ้ยนำขนมออกมา “ขนมนี้ทำออกมาใหม่ๆ อร่อยที่สุด คุณหนูโค่วชิมดู”
ซินโย่วมองดูขนมแต่ละชิ้นขนาดเท่าปากแก้ว ก็สะกดกลั้นคลื่นอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาลงไป “นี่คือขนมซูผีไหน่?”
น้ากุ้ยนิ่งอึ้งไป แววตาเปลี่ยนไป “คุณหนูโค่ว รู้ว่าขนมนี้ชื่อซูผีไหน่ได้อย่างไร”
นางเองไม่เคยรู้สึก ครั้งถามคำถามนี้ออกไปน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย