สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 146 อย่างไรก็ย่อมได้
ตอนที่ 146 อย่างไรก็ย่อมได้
ต้วนอวิ๋นหลิงรู้สึกยินดีดุจดังรอดจากภัยพิบัติมาได้ แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ “เสวี่ยอิ๋ง เจ้าว่าพี่ชิงทำได้อย่างไร”
ต้วนอวิ๋นหลิงไปขอความช่วยเหลือจากซินโย่ว ย่อมไม่ปิดบังสาวใช้ประจำตัว
“บ่าวเองก็คิดไม่ออก” เสวี่ยอิ๋งรู้สึกดีใจแทนคุณหนูตนจากใจ “แต่ไม่ว่าคุณหนูนอกทำได้อย่างไร คุณหนูก็ไม่ต้องแต่งกับคุณชายเสเพลผู้นั้นแล้ว”
ต้วนอวิ๋นหลิงยิ้มออก
ใช่ พี่ชิงมักทำเรื่องที่หญิงสาวทั่วไปทำไม่ได้สำเร็จ
ยามนี้นางเกิดความรู้สึกอยากพบซินโย่วอย่างมาก แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่ตอนนี้ ได้แต่อดทนเอาไว้ก่อน
เทียบกับความดีใจของต้วนอวิ๋นหลิง ในใจต้วนอวิ๋นหวาย่ำแย่สุดขีด เดินไปคำนับท่านย่าที่เรือนหรูอี้ถังด้วยสีหน้าบึ้งตึง
นางพอจะนึกภาพออกแล้ว ภาพน่าอนาถของนางตอนท่านย่าบอกว่าจะพาต้วนอวิ๋นหลิงออกไป
แม้ว่าไม่อยากเผชิญหน้า แต่นางไม่อาจหลบเลี่ยง ไม่เช่นนั้นวันหน้าจะยิ่งเสียหน้ายามเผชิญหน้ากับต้วนอวิ๋นหลิง
ต้วนอวิ๋นหวาก้าวเท้าหนักอึ้งเข้าไปในเรือนหรูอี้ถัง
“คำนับท่านย่าเจ้าค่ะ”
นายหญิงผู้เฒ่ามองท่าทางไร้ชีวิตชีวาของต้วนอวิ๋นหวา แววตาก็ไม่พอใจ แต่ไม่นานก็เผยรอยยิ้มบาง “กินข้าวเช้าแล้วหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ” ต้วนอวิ๋นหวาไม่รู้ท่านย่าถามเรื่องไร้สาระพวกนี้ทำไมกัน
มาคำนับก่อนค่อยกลับไปกินอาหารเช้า แต่ไรมาก็เป็นธรรมเนียมเช่นนี้ หากท่านย่าอารมณ์ดีก็จะได้อยู่กินข้าวด้วย
แน่นอนว่าหลายเดือนมานี้ ท่านย่าไม่เคยอารมณ์ดี
“เช่นนั้นก็อยู่กินข้าวกับย่า”
ต้วนอวิ๋นหวาเงยหน้ามองนายหญิงผู้เฒ่าอย่างตกใจ
มุมปากนายหญิงผู้เฒ่ามีรอยยิ้มบาง “รอให้กินเสร็จกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกไปข้างนอกกับย่าหน่อย”
“ท่านย่า…” ต้วนอวิ๋นหวาได้ยินนายหญิงผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ หัวใจก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
ท่านย่าหมายความว่าอย่างไร
วันนี้ไม่ใช่วันที่นัดพบกับฮูหยินกู้ชางป๋อหรือ เหตุใดพานางออกไป แล้วต้วนอวิ๋นหลิงเล่า
ขณะที่รู้สึกตกใจระคนสงสัย ต้วนอวิ๋นหวาก็ถามขึ้นว่า “แล้วน้องสามล่ะเจ้าคะ”
นายหญิงผู้เฒ่าสีหน้าเย็นเยียบ เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “น้องสามเจ้าเป็นหวัดกะทันหัน ต้องพักรักษาตัวให้ดี”
เป็นหวัด…ต้วนอวิ๋นหวาครุ่นคิดคำนี้แล้วก็อดแย้มยกมุมปากไม่ได้
กล่าวเช่นนี้ หากไม่ใช่ต้วนอวิ๋นหลิงทำให้ท่านย่าไม่พอใจ ก็คงเป็นเพราะโชคร้ายป่วยจริง สรุปโอกาสที่ได้ออกไปครั้งนี้ตกใส่ศีรษะนางแล้ว!
ความดีใจของต้วนอวิ๋นหวาเผยออกมาชัดเจน ทำให้นายหญิงผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “หวาเอ๋อร์ เจ้าได้วัยจะออกเรือนแล้ว อยู่บ้านก็แล้วไป หากออกไปข้างนอกต้องสุขุมนิ่งสักหน่อย”
ต้วนอวิ๋นหวาสะดุ้งใจ
วันนั้นที่อารามชิงเฟิง ฮูหยินกู้ชางป๋อถูกชะตากับต้วนอวิ๋นหลิง นางหวนคิดถึงรายละเอียดตอนพบกันซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดหลายรอบว่าเพราะเหตุใด สุดท้ายได้แต่คาดเดาว่าฮูหยินกู้ชางป๋อน่าจะชอบตอไม้
“หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ตอไม้ ผู้ใดทำไม่เป็นกัน
กลับถึงห้องนอน ต้วนอวิ๋นหวาก็บรรจงเลือกไปเลือกมา จึงเลือกเครื่องแต่งกายได้
นายหญิงผู้เฒ่ามองแล้วก็พยักหน้าอย่างพอใจ พาต้วนอวิ๋นหวาออกไป
ตอนฮูหยินกู้ชางป๋อเห็นนายหญิงผู้เฒ่าพาต้วนอวิ๋นหวามา แม้ไม่ได้ชักสีหน้า แต่แววตากลับมีแต่คำถามอย่างเห็นได้ชัด
นายหญิงผู้เฒ่าถอนหายใจ “งานเลี้ยงในจวนเราวันที่สิบ เด็กนั่นก็บอกว่าไม่สบาย เมื่อวานยิ่งหนักขึ้นอีก”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้”
จากนั้นฮูหยินกู้ชางป๋อก็พูดคุยยิ้มแย้มกับนายหญิงผู้เฒ่า ต้วนอวิ๋นหวาตั้งใจเงี่ยหูฟัง แต่ก็ไม่ได้ยินเอ่ยถึงงานแต่งงานแต่อย่างใด
หรือว่าฮูหยินกู้ชางป๋อกำหนดแล้วว่าต้องเป็นน้องสาม
อารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจปะทุขึ้นมา ต้วนอวิ๋นหวาหลุบตาลงเม้มปาก กำมือแน่น
ฮูหยินกู้ชางป๋อเหลือบมองสาวน้อยที่สงบนิ่งกว่าตอนที่พบกันที่อารามชิงเฟิงวันนั้น ก็รู้สึกสบายตาขึ้นมาก
เพราะจวนรองเจ้ากรมเปลี่ยนคน ฮูหยินกู้ชางป๋อจึงไม่ได้เอ่ยถึงการแต่งงานแม้แต่น้อย นายหญิงผู้เฒ่าเองก็ระงับอารมณ์ตนเองได้ ตอนพาต้วนอวิ๋นหวากลับก็เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “สองสามวันมานี้นิ่งให้มาก สำเร็จหรือไม่อีกไม่นานก็รู้ผลแล้ว”
ต้วนอวิ๋นหวาพยักหน้า หัวใจราวกับแขวนอยู่บนท้องฟ้า
ฮูหยินกู้ชางป๋อกลับไปแล้วก็ไปหารือกับกู้ชางป๋อ “ข้าเขียนอยู่ในเทียบเชิญชัดเจนว่าเป็นคุณหนูสาม แต่วันนี้นายหญิงผู้เฒ่าจวนรองเจ้ากรมกลับพาคุณหนูรองมา บอกว่าคุณหนูสามล้มป่วย…”
กู้ชางป๋อหวนคิดถี่ถ้วนแล้วก็เอ่ยว่า “คุณหนูสองคนนั้นหน้าตาล้วนไม่เลว ล้วนครอบครัวเดียวกัน คนไหนก็เหมือนกัน”
ฮูหยินกู้ชางป๋อเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจ “แม้ต่างกันไม่มาก แต่จวนรองเจ้ากรมเปลี่ยนคนเอาเอง ไม่ให้ความเคารพต่อจวนป๋อเรานะเจ้าคะ”
ในใจฮูหยินกู้ชางป๋อ การแต่งงานนี้เดิมก็ลดศักดิ์ศรีบุตรชายแล้ว จวนรองเจ้ากรมถึงกับจัดการเปลี่ยนด้วยตนเองพลการ ไม่รู้จักดีชั่วจริง
“หรือว่าเจ้าก็นัดพบฮูหยินจวนอื่นต่อ” กู้ชางป๋อเอ่ยอย่างรู้สึกว่าอย่างไรก็ได้
ฮูหยินกู้ชางป๋อคิดถึงเรื่องที่ต้องพบเจอกำแพงปฏิเสธมาต่อเนื่อง สีหน้าก็บึ้งตึง “แล้วไปดีกว่าเจ้าค่ะ”
สองสามีภรรยาตกลงเห็นพ้องกันแล้ว ฮูหยินกู้ชางป๋อก็ให้สาวใช้ไปตามไต้เจ๋อมา
ไต้เจ๋อยุ่งมาหลายวัน ในที่สุดก็ได้เรื่อง กำลังตื่นเต้นดีใจจะรีบไปพบซินโย่ว ก็พบกับสาวใช้ที่มาตามเขา
“ท่านแม่หาข้าทำไมกัน”
กวาดตามองดูการแต่งกายของไต้เจ๋อ ฮูหยินกู้ชางป๋อถามขึ้นว่า “เจ๋อเอ๋อร์ เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ”
“อ่า… ใช่” ไต้เจ๋อก้มหน้ามองชุดที่เพิ่งเปลี่ยน พยักหน้าเอ่ยว่า “ออกไปทำธุระนิดหน่อยขอรับ”
ฮูหยินกู้ชางป๋อได้ยินไต้เจ๋อเอ่ยเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจ
บุตรชายมีธุระให้ทำด้วยหรือ
“อย่าเพิ่งรีบร้อนออกไป แม่มีเรื่องคุยกับเจ้า” ฮูหยินกู้ชางป๋อขยิบตาให้บ่าวรับใช้ในห้องถอยออกไปเงียบๆ
“เรื่องอันใดกัน เหตุใดดูลึกลับเช่นนี้” ไต้เจ๋อรีบร้อนออกไป สีหน้าเริ่มทนไม่ไหว
“แม่กับพ่อหาคู่หมั้นหมายให้เจ้าได้แล้ว”
เดิมไต้เจ๋อนั่งอยู่ในท่วงท่าสบายๆ พลันนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที “หมั้น หมั้นหมายอันใด”
“หมั้นหมายให้เจ้า”
ไต้เจ๋อตกใจนิ่งอึ้งไปทันที
เคราะห์ติดตัวเขายังไม่จางหายไป เหตุใดอยู่ๆ มาหมั้นหมายให้เขา
หรือว่า…
“ท่านแม่ต้องการให้ข้าเสริมมงคล[1]หรือ”
แย่แล้วๆ คุณหนูโค่วบอกว่าไม่อาจเผยออกไปให้ผู้ใดรู้ ท่านแม่รู้ได้อย่างไร
ฮูหยินกู้ชางป๋อนิ่งอึ้งไปทันที จากนั้นก็บิดหูไต้เจ๋อ “เสริมมงคลอะไร เสริมมงคลให้ผู้ใด เจ้าลูกอกตัญญู!”
การที่ต้องการเสริมมงคล ส่วนใหญ่ไม่บิดามารดาฝ่ายชายจะตาย ก็เป็นฝ่ายชายเองที่จะตาย จึงต้องเสริมมงคล เจ้าลูกเหลวไหลนี่กำลังเอ่ยอันใดกัน
“เจ็บๆๆ!” ไต้เจ๋อกุมใบหู รีบเอ่ยขอร้อง “ข้าชอบพูดผิดอยู่เรื่อยไหมเล่า ท่านแม่ ท่านรีบปล่อยมือ!”
ฮูหยินกู้ชางป๋อปล่อยมือ เอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “คุณหนูรองต้วนจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวง พอจำได้ไหม เทศกาลฉงหยางวันนั้น เจ้าก็ได้พบ”
“ไม่ได้” ไต้เจ๋อตอบได้รวดเร็วยิ่ง
ไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นในใจเขามีแต่คุณหนูโค่ว
อา ตอนนั้นเขาถึงกับเกิดความคิดเหลวไหลกับผู้สูงส่งเช่นคุณหนูโค่ว บาปกรรมจริงๆ
ฮูหยินกู้ชางป๋อสะอึก ได้แต่พูดต่อไปว่า “ผู้ที่หมั้นหมายให้เจ้าก็คือคุณหนูรองต้วน”
“ทราบแล้วขอรับ” ไต้เจ๋อลอบถอนหายใจ
ไม่ใช่คุณหนูโค่วก็พอ
“ท่านแม่ยังมีเรื่องอื่นอีกไหมขอรับ หากไม่มี ข้าก็จะออกไปแล้ว”
เห็นบุตรชายรีบร้อนจะออกไป ฮูหยินกู้ชางป๋อก็รีบถามเขาก่อนไว้ “เจ๋อเอ๋อร์ เจ้าไม่มีความเห็น?”
“ไม่มี”
ก็มิได้ส่งผลกระทบต่อเขาที่จะไปเกาะแกะคุณหนูท่านอื่นนี่
“เจ้ารู้ว่าหมั้นหมายคืออันใดใช่ไหม” ฮูหยินกู้ชางป๋อย้ำอีกครั้ง
“รู้ รู้ ท่านแม่ หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าไปละ ข้ายุ่งอยู่”
ไต้เจ๋อวิ่งหายตัวไปรวดเร็วดังหมอกควัน
[1] มาจากคำว่า ชงสี่ หมายถึงจัดงานมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไร