สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 147 ความคืบหน้า
ตอนที่ 147 ความคืบหน้า
บุตรชายไม่คัดค้าน ทำให้ฮูหยินกู้ชางป๋อโล่งใจ ไม่นานก็ส่งคนนำจดหมายไปจวนรองเจ้ากรม
ไต้เจ๋อไม่สนใจเรื่องที่บ้านหมั้นหมายให้เขา ตรงไปร้านหนังสือชิงซง
เป็นเวลายามบ่ายแล้ว ซินโย่วหยิบต้นฉบับนิยายออกมา ก่อนจะเรียกผู้ดูแลร้านหูกับหัวหน้าจ้าวมา
“ท่านเจ้าของร้านมีอันใดสั่งการหรือขอรับ?” ทั้งสองคนถามพร้อมกัน
ซินโย่วเชิญทั้งสองนั่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “หนังสือใหม่ท่านซงหลิงเขียนเสร็จเล่มหนึ่งแล้ว ข้าอ่านต้นฉบับแล้วรู้สึกว่ายอดเยี่ยมมาก ผู้ดูแลหูกับหัวหน้าจ้าวก็เอาไปอ่านดู หากไม่มีปัญหา ก็จัดการตีพิมพ์ได้เลย”
“นิยายใหม่ท่านซงหลิงเขียนเสร็จแล้ว” ทั้งสองคนแววตาส่องประกาย พูดขึ้นพร้อมกัน
ซินโย่วส่งต้นฉบับให้ สองมือก็ยื่นมาทันที แต่ละมือคว้ามุมต้นฉบับนิยายเอาไว้
“น้องจ้าว เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน รอไว้ตอนแกะแม่พิมพ์ เจ้าก็จะได้อ่านจนพอใจ”
“ท่านผู้ดูแลร้าน ตาแดงแล้ว พักผ่อนดีกว่า”
ทั้งสองคนถลึงตาจ้องกัน ผู้ใดก็ไม่ยอมปล่อยมือ
สุดท้ายซินโย่วตัดสิน “ผู้ดูแลหูอ่านก่อนแล้วกัน”
ผู้ดูแลร้านหูได้ใจดึงต้นฉบับมาจากมือหัวหน้าจ้าว
หัวหน้าจ้าวคับแค้นใจมองซินโย่วทีหนึ่ง
เจ้าของร้านลำเอียง!
ดังคาด ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าของร้านบ่อยๆ ย่อมได้เปรียบ
ซินโย่วอมยิ้มปลอบใจหัวหน้าจ้าว “สองสามวันมานี้ผู้ดูแลร้านทำงานไม่น้อย ลำบากท่านแล้วจริงๆ”
หัวหน้าจ้าวได้ยินซินโย่วกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกอยากรู้ขึ้นมา
ตาเฒ่าหูสองสามวันมานี้แท้จริงยุ่งกับเรื่องใด ถามก็ไม่ตอบ ยังบอกว่าเห็นเงินก็กลัว…
หัวหน้าจ้าวกำลังครุ่นคิด พลันได้ยินเสียงตบฉาด ทำเอาเขาตกใจสะดุ้งสบถไม่เป็นภาษา
“สนุกมาก!” ผู้ดูแลร้านหูกำต้นฉบับแน่น แววตาร้อนแรง “ท่านซงหลิงเป็นอัจฉริยะร้อยปีไม่อาจพานพบโดยแท้ นิยายใหม่นี้วางโครงเรื่องใหญ่ ความคิดแยบยล เยี่ยมกว่า ‘วาดหนัง’ ไปอีกขั้น…”
“จริงหรือ ข้าอ่านบ้าง” หัวหน้าจ้าวยื่นมือไปคว้าต้นฉบับ
ผู้ดูแลร้านหูรีบกอดต้นฉบับไว้แน่น “ข้ายังอ่านไม่จบ!”
ผ่านไประยะหนึ่งก็ตบอีกฉาด
“ยอดเยี่ยมสุดยอด! สุดยอดไปเลย!”
อีกครู่หนึ่ง ผู้ดูแลร้านหูก็ทนไม่ไหวตบโต๊ะดัง หัวหน้าจ้าวแอบพับแขนเสื้อ
ยอมไม่ได้แล้ว เกินไปแล้วนะ เขาต้องสู้กับตาแก่นี่สักตั้งแล้ว!
ตอนสองคนแย่งกันอ่าน สือโถวก็มารายงาน “ท่านเจ้าของร้าน คุณชายไต้มาอีกแล้ว”
ต่างจากสีหน้าเป็นห่วงของสือโถว ซินโย่วได้ยินว่าไต้เจ๋อมาก็รู้สึกยินดี รีบก้าวไปด้านหน้า
ไต้เจ๋อรออยู่ในโถงร้าน ดวงตาจ้องมองไปทางประตูที่เชื่อมไปด้านหลังอยู่ตลอด พอเห็นซินโย่วออกมาก็รีบเข้าไปหาอย่างแทบทนไม่ไหวแล้ว “คุณหนูโค่ว!”
แววตาที่พยายามระงับความตื่นเต้นทำให้ซินโย่วเคร่งเครียดขึ้นมาไม่น้อย แต่สีหน้ายังคงไม่ส่อแววพิรุธใด “คุณชายไต้ เชิญที่ห้องรับรองเจ้าค่ะ”
เส้นทางไปห้องรับรองเพียงไม่กี่ก้าว ซินโย่วกลับเดินช้ามาก
ข่าวที่ไต้เจ๋อนำมาบอกนางจะเป็นข่าวใดกัน ดูท่าทางของเขาแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ได้คว้าน้ำเหลว
ซินโย่วแอบสูดลมหายใจ เดินเข้าไปในห้องรับรอง
“คุณชายไต้เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
“คุณหนูโค่วอย่าได้เกรงใจ” ไต้เจ๋อเผชิญหน้ากับซินโย่ว ก็ยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว
ทำอย่างไรได้ วันนั้นนกยูงถ่ายรดใบหน้าเขา ทำให้จิตใจของเขาเกิดบาดแผลใหญ่มาก บุคคลสูงส่งเช่นคุณหนูโค่วผู้นี้ เขาจำเป็นต้องสานสัมพันธ์ให้ดี
หลิวโจวเข้ามารินน้ำชาแล้วก็มองไต้เจ๋ออย่างระแวดระวัง ในใจคิดว่าเจ้าหมอนี่ยิ้มบานแฉ่งดังบุปผา คงมิได้คิดอันใดกับเจ้าของร้านพวกเขากระมัง
“ไปทำงานเถอะ” ซินโย่วบอกหลิวโจว
หลิวโจวจ้องมองไต้เจ๋อทีหนึ่งก่อนจะถอยออกไป
“คุณชายไต้หาพบแล้วหรือ”
ไต้เจ๋อแววตาส่องประกาย “คุณหนูโค่วช่างแม่นยำราวกับตาเห็น!”
ซินโย่ว “…” ก็มิต้องยกยอกันเพียงนี้
ไต้เจ๋อกวาดตามองไปที่ประตูด้วยสัญชาตญาณก่อนจะหรี่เสียงลงเอ่ยว่า “ข้าแอบสืบมาแล้ว จึงได้รู้ว่า คนที่ลงใต้ไปมีไม่น้อยเลยทีเดียว”
เขาพูดไปก็ควักกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาดันไปตรงหน้าซินโย่ว
“คุณหนูโค่วดูสิ ข้าจดมาหมดแล้ว ไต้เฉียงไปซินหนาน ตระกูลเรามีที่นาผืนใหญ่…”
“นี่หมายความว่าอย่างไร” ซินโย่วชี้ไปที่วงกลมหนึ่งในนั้น
ไต้เจ๋อมองแล้วก็ตอบว่า “อ๋อ คนนี้ชื่อฉางเหลียง อักษร ‘เหลียง’ ข้าเขียนไม่เป็น”
ซินโย่วแอบเบือนหน้าเล็กน้อย
ไต้เจ๋อคล้ายไม่รู้สึกเก้อเขินอันใด ถอนหายใจเอ่ยว่า “คุณหนูโค่วร้ายกาจจริง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขามีปัญหา”
“หืม?”
“ฉางเหลียงออกจากจวนไปเดือนสี่ คนมากมายออกไปพร้อมเขา แต่มีเพียงเขากลับมาเดือนห้า คนอื่นตอนนี้ยังไม่กลับมา…”
“คนอื่นล้วนจดว่าไปที่ใด มีเพียงฉางเหลียงที่ว่างไว้” ซินโย่วแสร้งถามอย่างไม่สนใจนัก
ไต้เจ๋อรีบอธิยาย “เรื่องนี้มิใช่เพราะข้าเขียนไม่เป็น สมุดที่ข้าแอบดูมา จดเพียงว่าเขาลงใต้ ไม่ได้ระบุว่าไปที่ใด น่าแปลกมาก ทางใต้มีกิจการค้าใดที่ทำให้เขาต้องอยู่นานเพียงนั้น ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา…”
“คนที่ไปกับฉางเหลียงไม่ได้จดไว้ในสมุดนี้หรือ”
“คุณหนูโค่วบอกว่าข้าสัมผัสกลิ่นอายทางใต้มิใช่หรือ พวกที่ยังไม่กลับมา ข้าก็ไม่ได้จดมา” เอ่ยถึงตรงนี้ไต้เจ๋อก็เผยรอยยิ้มเก้อเขิน “เขียนหนังสือเหนื่อยมาก”
ซินโย่วกระตุกมุมปากเยาะรวดเร็วทีหนึ่ง ก่อนจะถามถึงฉางเหลียงว่าทำหน้าที่ใดในจวนกู้ชางป๋อ
“เขาเป็นผู้คุ้มกัน ไม่ค่อยเป็นที่สังเกตนัก” ไต้เจ๋อพูดไปเรื่อยๆ “แต่ท่านอาเขาเดิมเป็นขุนพลลูกน้องบิดาข้า ฝีมือดีมาก พวกที่ออกไปพร้อมกับฉางเหลียงตอนเดือนสี่ ยังไม่กลับมา”
ในใจซินโย่วกระตุกวาบ อยากจะถามเรื่องอาของฉางเหลียงอย่างละเอียด แต่เพราะความรอบคอบ ทำให้ระงับใจตนเองเอาไว้ก่อน
แม้ไต้เจ๋อไม่ได้ฉลาดมาก แต่ก็ไม่ใช่คนโง่แท้จริง อย่าได้รีบร้อนเกินไปจะดีกว่า
“คุณหนูโค่วจากนี้ทำอย่างไรต่อ จะต้องนำตัวเจ้าฉางเหลียงนั่น…” เขาทำท่าปาดคอ
ซินโย่วนิ่งเงียบลง พลันคิดถึงคำเตือนวันนั้นของเฮ่อชิงเซียว
เขาบอกว่าไต้เจ๋อเป็นคุณชายเสเพลที่ดูเหมือนความคิดเรียบง่าย แต่ไม่เข้าใจธรรมเนียม ทันทีที่นิสัยชั่วร้ายระเบิดออกมาก็ย่อมร้ายกาจยิ่ง
ช่างเป็นคนที่ไม่เห็นชีวิตคนเป็นสาระเสียจริง
“ก็มิจำเป็น” ซินโย่วผ่อนน้ำเสียงลง ระยะเวลาอันสั้นนี้ แผนการรับมือที่นางคิดได้ก็คือ “ไม่ไกลจากจวนท่านมีต้นไหวต้นหนึ่งใช่หรือไม่”
ไต้เจ๋อนิ่งอึ้งไปทันที จากนั้นก็ตบหน้าขาฉาดใหญ่ “คุณหนูโค่ว เทพจริง เรื่องนี้ก็พยากรณ์ได้!”
“ข้าเคยผ่านจวนท่านเจ้าค่ะ”
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ไต้เจ๋อเกาศีรษะ
“วันที่สิบห้าเดือนนี้ ท่านให้ฉางเหลียงอุ้มไก่ตัวผู้วิ่งรอบต้นไหวสามรอบในยามเช้า กลิ่นอายชั่วร้ายก็จะถูกทำลายลงเอง”
“แค่นี้เองหรือ”
ซินโย่วพยักหน้า “แค่นี้เอง แต่ทว่า…”
ไต้เจ๋อดีใจ “ข้าก็รู้ว่ายังมีแต่ว่าอีก คุณหนูโค่วว่ามา”
“ดีที่สุดอย่าให้เขารู้ความคิดแท้จริงของคุณชายไต้”
“เรื่องนี้ไม่ยาก มีเรื่องอื่นอีกไหม”
“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ”
อีกสามวันก็วันที่สิบห้า หากไต้เจ๋อทำให้ฉางเหลียงทำตามที่นางบอก นางก็นำชื่อฉางเหลียงกับใบหน้ามาประกอบกันได้
จากนั้นก็ค่อยคิดหาวิธีทำให้แน่ใจว่าฉางเหลียงลงใต้ไปนั้นเกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิดกับมารดานางหรือไม่
“เช่นนั้นรอให้ฉางเหลียงทำแล้ว ข้ายังต้องมาหาเจ้าอีกไหม”
“ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ ขอเพียงทำตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว”
ไต้เจ๋อพยักหน้าแสดงทีท่ารู้แล้ว ก่อนจากไปพลันคิดขึ้นมาได้ว่า “คุณหนูโค่วรู้หรือไม่ ข้าจะหมั้นหมายกับลูกพี่ลูกน้องเจ้าแล้ว”