สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 182 เทพ
ตอนที่ 182 เทพ
รองเจ้ากรมคลังเผยจั่วก็แล้วไป ส่งขุนนางกรมคลังไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติก็เป็นเรื่องตามธรรมเนียม แต่ส่งชิ่งอ๋องเป็นผู้แทนพระองค์ก็เป็นเรื่องที่ผู้คนต่างคาดเดากันไป
ขุนนางใหญ่ในที่นั้นล้วนเป็นคนฉลาดเป็นกรด คาดเดาได้ว่าฮ่องเต้คิดให้โอกาสชิ่งอ๋องได้สร้างความดีความชอบเพื่อวันข้างหน้า
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เองก็คิดใช้โอกาสนี้ฝึกฝนชิ่งอ๋องเช่นกัน
หากจะว่าไป ก็เกี่ยวข้องกับคุณหนูโค่ว
ชิ่งอ๋องประลองสุรากับคุณหนูโค่วในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพองค์หญิงใหญ่เจาหยาง ทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงผิดหวังไม่น้อย
บุคลิกเหลาะแหละไม่เอาไหนเช่นนี้ เขาไม่อาจวางใจวางแผ่นดินไว้ในมือบุตรชายคนนี้ได้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ใช่บิดาเมตตาที่รักและเมตตาต่อชิ่งอ๋องเพียงนั้น แต่ที่ดีกับชิ่งอ๋องต่างจากโอรสพระองค์อื่นก็เพราะรู้สึกว่าเหมาะสมที่สุด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ทรงโปรดซิ่วอ๋อง พระโอรสองค์โต องค์ชายอื่นๆ ก็อายุยังน้อย ก็เหลือเพียงชิ่งอ๋องแล้ว
ชิ่งอ๋องถูกเรียกตัวเข้าวัง รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องรับหน้าที่เป็นผู้แทนพระองค์เดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่ติ้งเป่ยแล้วก็ตรงไปตำหนักฮั่นตั้นกง
พระสนมซูเฟยไม่ได้ข่าวมาก่อน พอเห็นชิ่งอ๋องมาก็รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง “อี้เอ๋อร์ เหตุใดเข้าวังมาตอนนี้”
ฟ้ามืดแล้ว
“เสด็จพ่อเรียกข้าเข้าวัง ให้พรุ่งนี้ตามรองเจ้ากรมคลังเผยจั่วไปติ้งเป่ยช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ”
พระสนมซูเฟยนิ่งอึ้งไปทันที “ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ? ติ้งเป่ยเกิดอันใดขึ้นหรือ”
“เมื่อวานแผ่นดินไหว ว่ากันว่าติ้งเป่ยประสบภัยรุนแรง บางพื้นที่กลายเป็นซากปรักหักพังทั้งแถบ…” ชิ่งอ๋องเอ่ยถึงข่าวที่ไปถามมาแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น
ใกล้จะปีใหม่แล้ว อากาศหนาวเช่นนี้ต้องเดินทางไกล ยังต้องไปดูคนตายแขนขาไม่ครบมากมาย…ชิ่งอ๋องคิดเช่นนี้แล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้
“กลายเป็นซากปรักหักพังทั้งแถบ?” พระสนมซูเฟยแทบไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าซีดเผือด
ชิ่งอ๋องพยักหน้า “ข่าวด่วนที่มาน่าจะไม่ผิด”
พระสนมซูเฟยคว้าข้อมือชิ่งอ๋องคิ้วเข้มขมวดแน่น “พรุ่งนี้ก็จะต้องออกเดินทาง? เร็วเพียงนี้ จากนี้จะเกิดแผ่นดินไหวอีกหรือไม่”
“ลูกไหนเลยจะรู้ได้” ชิ่งอ๋องสลัดมือพระสนมซูเฟยออก สะบัดใบหน้าอย่างหงุดหงิด
ดูท่าทางเสด็จพ่อ หากไม่ใช่ฟ้าใกล้มืดแล้ว ก็แทบจะอยากให้เขาออกเดินทางเสียตอนนี้
ความหงุดหงิดของบุตรชายกลับทำให้พระสนมซูเฟยนิ่งสงบลง “อี้เอ๋อร์ เสด็จพ่อให้ความสำคัญต่อเจ้า”
ไปพื้นที่ประสบภัยครั้งหนึ่ง แม้ไม่ต้องทำอันใด กลับมาก็จะกล่าวได้ว่าสร้างความดีความชอบ
“ข้ารู้” ชิ่งอ๋องก็มิได้โง่ ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ตอนได้ยินเรื่องนี้จึงได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นอย่างมาก แต่พอมาพบพระสนมซูเฟยจึงไม่ต้องเก็บงำท่าที “ก็แค่คิดว่าต้องออกจากจวนตอนอากาศหนาวเช่นนี้ เลยรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง”
“รอบคอบหน่อย ทุกอย่างเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก…” พระสนมซูเฟยกำชับไม่หยุด
ชิ่งอ๋องรำคาญนาง จึงรีบไปทันที
ซิ่วอ๋องได้ยินเรื่องนี้ก็เก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือเป็นนาน วันรุ่งขึ้นก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ร่วมขบวนไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้วย
ติ้งเป่ยห่างจากเมืองหลวงไม่นับว่าไกล เมื่อวานมีม้าเร็วชุดหนึ่งขี่นำไปสอบถามสถานการณ์แล้ว ขบวนเดินทางวันนี้ยิ่งใหญ่มาก
ชาวเมืองหลวงเห็นเช่นนี้ ก็พากันเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดมีทหารมากมายเช่นนี้”
“ข้าได้ยินว่าแถบติ้งเป่ยเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ หลายหมู่บ้านหลายพื้นที่ราบเป็นหน้ากลอง!”
“จริงหรือ”
“ผู้ใดจะเอาเรื่องพวกนี้มากล่าวเหลวไหล ไม่เห็นหรือ แม้แต่องค์ชายก็ยังเสด็จไป”
“ติ้งเป่ยห่างจากเมืองหลวงสองร้อยกว่าลี้ มิน่าแม้แต่เมืองหลวงยังรู้สึกได้ว่าแผ่นดินไหว”
“เฮ่อ มีคนบาดเจ็บล้มตายเท่าไรกันนะ อย่างไรเมืองหลวงเราก็ดีกว่า ไม่มีเรื่องอันใด”
“เจ้าไม่รู้เสียแล้ว ข้าได้ยินว่าบ้านเรือนแถบเป่ยโหลวฝางถล่มหมด โชคดีที่คุณหนูโค่ว…”
คนที่ตกข่าวพอได้ยินแล้วก็รีบไปร้านหนังสือชิงซง “คุณหนูโค่วจิตใจดีงามเช่นนี้ ข้าไปซื้อนิยายสักเล่มให้การสนับสนุนนางดีกว่า”
“ข้าไปด้วย คุณหนูโค่วช่วยเหลือคนอย่างไม่ตั้งใจเช่นนี้ เห็นได้ว่าบุญบารมีหนัก ข้าไปขอรับรัศมีบารมีคุณหนูโค่วบ้าง”
ดังนั้นจึงมีคนไปให้การสนับสนุน มีคนไปรับรัศมีบารมี แต่ที่มากไปกว่านั้นก็เพราะอยากรู้ ผู้ดูแลร้านหูเกือบถูกคนที่กรูกันเข้ามาเบียดออกไปนอกร้านหนังสือ
คนพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาเพราะนิยาย แต่ในเมื่อมาแล้ว หนังสือเล่มหนึ่งไม่ถึงสองร้อยเหรียญทองแดง ซื้อติดมือกลับไปสักเล่มก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ
ไม่นานผู้ดูแลร้านหูก็ยุ่งจนหัวหมุน
ซิ่วอ๋องยืนอยู่ริมถนนมองไปยังร้านหนังสือชิงซงที่ผู้คนหนาแน่นอย่างเหม่อลอยเป็นนาน
แผ่นดินไหวไกลถึงติ้งเป่ยทำให้น้องรองมีโอกาสได้สร้างความดีความชอบ และทำให้ชื่อเสียงจิตใจดีมีเมตตามากบุญบารมีของคุณหนูโค่วขจรกระจายไปไกล
เขาไม่ทันได้ทำอันใด ของบางอย่างก็ที่ห่างไกลจากเขาก็ยิ่งไกลออกไป
ซิ่วอ๋องเม้มปากยิ้มก่อนจะหันหลังคิดจะจากไป ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดหน้าประตูร้านหนังสือ มีหญิงสาวลงมาสองคน
ซินโย่วมาจากร้านตัดเสื้อผ้า
เกิดเหตุภัยพิบัติในวันอากาศหนาวจัดเดือนสิบสองเช่นนี้ สวมเสื้อผ้าป้องกันความหนาวมากมายเพียงใดก็ไม่มีผู้ใดรังเกียจว่ามาก
“เหตุใดจึงมีคนมากมายเพียงนี้” เสี่ยวเหลียนจะเดินเข้าร้านหนังสือพร้อมกับซินโย่ว
ซินโย่วเองก็เห็นคนในร้านหนังสือมืดฟ้ามัวดิน เป็นห่วงว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น จึงได้ลงจากรถ
มีคนตาไวเห็นซินโย่ว “คุณหนูโค่ว!”
เสียงตะโกนดังทำให้คนที่ออกันอยู่ในโถงร้านหนังสือหันขวับมองออกมาด้านนอก
“คุณหนู พวกเขาเหมือนมาหาท่าน!”
ซินโย่วเองก็ตั้งสติได้ เห็นว่าคนเหล่านี้จะกรูกันออกมา ก็ยกชายกระโปรงวิ่ง
“เอ๋ คุณหนูโค่วล่ะ” คนที่วิ่งออกมาพลันมองไปรอบทิศ
ซิ่วอ๋องที่อยู่ไม่ไกลกำลังมองตาค้าง จากนั้นก็เริ่มครุ่นคิด
ความเร็วการวิ่งของคุณหนูโค่วไม่เหมือนหญิงสาวปกติทั่วไป
หิมะทับถมสองข้างทาง ถนนหนทางกวาดสะอาด ซิ่วอ๋องเดินไปก้มลงเก็บปิ่นบุปผาอันหนึ่งขึ้นมา
ร้านหนังสือชิงซงวุ่นวายติดต่อกันหลายวันก่อนจะสงบลง มีข่าวลือแพร่เงียบๆ กันในสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน
“พวกเจ้ารู้ไหม คุณหนูโค่วช่วยคนเหล่านั้นได้ ความจริงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะคุณหนูโค่วทำนายราวเทพพยากรณ์ ทำนายได้ว่ากู่อวี้มีเคราะห์เลือดตกยางออก!”
“แค็ก แค็ก”
ได้ยินเสียงไอของเมิ่งจี้จิ่ว นักเรียนที่รวมตัวกันก็รีบส่งเสียงทักทาย “ใต้เท้า”
“เมื่อครู่พวกเจ้าคุยอันใดกัน”
“ไม่มีอันใดขอรับ!”
“หืม?”
นักเรียนหัวไวคนหนึ่งรีบเอ่ยว่า “พวกเรากำลังคุยเรื่องการสอบเดือนนี้”
เมิ่งจี้จิ่วเห็นว่าถามไม่ได้ความ ก็ทำสีหน้าเข้มเดินไป
อย่าคิดว่าเขาอายุมากหูไม่ดี เจ้าเด็กพวกนี้กำลังคุยเรื่องคุณหนูโค่วชัดๆ
คุณหนูโค่วดูนรลักษณ์เป็นหรือ
เมิ่งจี้จิ่วส่ายหน้าอย่างนึกขำ
วันที่ยี่สิบ เดือนสิบสอง สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนหยุด ผลการสอบประจำเดือนออกแล้ว จังซวี่ได้รองที่โหล่กลับถึงบ้าน ก็อิดๆ ออดๆ ไปพบท่านปู่ท่านย่า
“ซวี่เอ๋อร์กลับมาแล้ว” ย่าของจังซวี่แซ่จู รักหลานชายหัวแก้วหัวแหวนยิ่งกว่าไข่มุก “เป้าฉิน ตักซุปเนื้อแพะตุ๋นมาให้คุณชายหนึ่งชาม”
ซุปเนื้อแพะตุ๋นแม้รสเลิศ แต่จังซวี่กำลังกังวลที่ต้องรายงานผลการสอบต่อปู่และย่าตน “ท่านย่า ท่านปู่ล่ะ”
วันนี้ก็เป็นวันพักผ่อนของขุนนาง
นายหญิงผู้เฒ่าจูถอนหายใจ “ราชสำนักกำลังร้อนใจเรื่องแผ่นดินไหวที่ติ้งเป่ย ปู่เจ้าเป็นโส่วฝู่ก็มิอาจอยู่เฉยได้”
จังซวี่เบิกตากว้าง “ท่านปู่ไม่หยุดหรือ”
“ใช่ พักที่ห้องในที่ทำการ”
“ดีจริง…” พอได้สติว่าดีใจเช่นนี้ไม่ดีนัก จังซวี่ก็รีบหุบปาก ทำสีหน้าตกใจ พึมพำว่า “เทพจริง!”
นายหญิงผู้เฒ่าจูได้ยินไม่ชัด “ซวี่เอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดอะไรน่ะ”